Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กวีประชาไท
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/sakyaputto/images/songkran02.jpg              กังวลร้อนชั่วร้าย            ฤๅสราญ  สงกรานต์เอย        สร้างแต่งแม้ปราการ           ฝ่าฟื้น        เธอฉันเช่นเทศกาล             กรายเยี่ยม  เวียนมา        ได้ผุดภวังค์พื้น                  ผ่านครั้งสาละวน  ฯลฯ        ภาวะใด ใดขวาง                ไหวหวั่นกาง วางไว้ด้น    ร้อยเรื่อง ภาระตน                   จัดเรียงแต้ม เพื่อแย้มพราย  ฯ        เห็นฟอง น้ำ เล็ก เล็ก          ผุดวัยเด็ก สะท้อนฉาย    นอนแผ่ เมษากราย -               แววละหาน สงกรานต์มา  ฯ        สรงเนา เก่าใหม่แว่ว            กระซิบแผ่ว สรงน้ำหนา    หยดเผื่อ ทิพย์สุธา -                สุธาธาร ทานแผ่นดิน  ฯ        ท่านให้ ระลึกถึง                 น้ำพรมซึ้ง ซึ่งถวิล    ชะล้างระมลทิน                      ที่ก่ายกั้น ๙ ปราการ ...        หนึ่ง โกรธโกรธาหนา          น้ำล้างหน้า ล้างขุ่นขาน    กล่าวกลั่นดั่งดวงมาลย์ -          โดยดอกแก้ว จำรูญใจ  ฯ        สอง เคยลบหลู่ท่าน            น้ำชื่นหวาน แง้มขานไข    เปิดจิต ไว้คิดใด      -               นึกขมผ่าน ม่านขุ่นเคือง  ฯ        สาม คิดริษยา                    น้ำล้างหน้า ผลัดผ้าเปลื้อง    ความเด่น ด้อยเปล่าเปลือง       ได้ปลูกไว้ ให้ชีวี  ฯ        สี่ ตระหนี่ ถี่เหนียว              น้ำใจเปลี่ยว ล้างหน้าหนี    น้ำใจ รับให้ดี                         น้ำใจกับรับให้งาม  ฯ        ห้า มายาเจ้าเล่ห์                น้ำสาดเท สราญคร้าม    คืนเย็น ร้อนผ่อนตาม                น้ำหยดย้ำ ฉ่ำเย็นพร  ฯ        หก โอ้อวด เลว - ดี -           น้ำวจี อุทาหรณ์    วลี ที่ราน รอน                        ให้ละลาย คลาย วดี  ฯ        เจ็ด กล้ำ คำพูดปด             สลายคด เสื่อมสูญนี้    เหนือใต้ ธรณี                       น้ำขุ่นใส ไว้ใจจริง  ฯ        แปด เปื้อน น้ำใจร้าย          ให้หื่นหาย เหลือบแร้งสิง    ปราการ ที่ย่ำอิง                    อาบชำระ หน้าดวงใจ  ฯ        เก้า มิจฉาทิฐิ                   ความรู้ผลิ ละอองไหว    ซ่านผิด – ถูกวางไว้              แย้มแยก-รด-หยด-พร เย็น  ฯ        ภวังค์ภาวะร้อน                น้ำค้างย้อนสายบ่ายเร้น    โลกหวังใฝ่ฝันเป็น                ล้างชำระฝ่าปราการ .                                                             ณรงค์ยุทธ  โคตรคำ                
Carousal
มีใครเคยบอกว่าคุณเป็นคนแปลกบ้างไหมคะ?การเป็นคนแปลกในสายตาคนทั่วไปนี่ จะว่าดีก็คงดี แต่จะว่าไม่ดีก็คงได้ ในบางมุม ความแปลกแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ แสดงถึงอิสระเสรี แสดงถึงการไม่ตามกระแสและไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของใคร แต่ในอีกบางมุม ความแปลกก็อาจหมายถึงความอุตริไม่เข้าเรื่อง หมายถึงช่องว่างอันใหญ่โตโอฬาร ระหว่างสิ่งที่สังคมยอมรับนับถือกับสิ่งที่คนแปลก ๆ คนนั้นยอมรับนับถือ หมายถึงความไม่เข้าใจ และในบางครั้งก็ลากยาวไปถึงความอยากดัง หรือความเกรียนไปโน่น ๆถ้างั้นจริง ๆ แล้ว ความแปลกมันหมายถึงอะไรกันแน่นะ?ฉันมีสาวน้อยอันเป็นตัวอย่างของความแปลกคนหนึ่งมาแนะนำให้คุณรู้จักค่ะ เธอคือนาคาฮาร่า ซูนาโกะ หรือที่บรรดาคุณลุงคุณป้าในย่านร้านค้าพากันพร้อมใจตั้งชื่อเล่นอย่างไม่เป็นทางการให้ว่า ‘สาวน้อยสุดสยอง’ เธอเป็นตัวละครเอกจากการ์ตูนเรื่อง ‘หนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว’ หรือ Yamato Nadeshiko Shichi Henge ผลงานของ Tomoko Hayakawa จัดจำหน่ายในรูปแบบภาษาไทยโดยบงกชคอมิคส์ค่ะหากเอ่ยถึงเด็กสาวมัธยมปลาย คนทั่วไปอาจคิดถึงเด็กผู้หญิงวัยกำลังเริ่มสาว ที่ใช้ชีวิตอย่างสดใสส่องประกายของวัยดรุณ แต่ซูนาโกะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับภาพนั้นอย่างที่เรียกได้ว่าจากขาวเป็นดำ ซูนาโกะไม่ชอบการรวมพลเพื่อนสาวไปกินบุฟเฟต์เค้ก ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าคาราโอเกะ เกลียดการถ่ายปุริคุระ (รูปสติ๊กเกอร์) แบบเอาเป็นเอาตาย เธอไม่ชอบสีชมพู เกลียดอะไรที่หวานแหวว และสิ่งที่สามารถฆ่าเธอตายได้คือเครื่องสำอางและการไปร้านเสริมสวย
หัวไม้ story
จุดเริ่มต้นของคนเดินทาง ยุคที่น้ำมันแพง ราคาเบนซินกระฉูดไปแตะที่ลิตรละ 35 บาท ส่วนดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 31 บาทกว่า การเดินทางในช่วงวันหยุดสงกรานต์ปีนี้ รถโดยสารสาธารณะที่มีเส้นทางขนส่งประจำทางข้ามจังหวัดดูจะเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับผู้ที่มีงบประมาณในการเดินทางไม่มากนัก ด้วยเหตุผลเรื่องราคาที่พอจ่ายได้ ความสะดวกสบายและความปลอดภัยจากผู้ให้บริการที่มีอยู่จำนวนมาก อีกทั้งมีเส้นทางเดินรถจากสถานีต่างๆ ในกรุงเทพฯ กระจายไปทั่วประเทศ  การเดินทาง 1. "สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)" หรือ "หมอชิต" สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางไปภาคเหนือ สามารถซื้อตั๋วได้ที่บริเวณด้านนอกของชั้น 1 ส่วนด้านในจะเป็นของภาคกลางและภาคตะวันออก สำหรับชั้น 3 จะเป็นศูนย์รวมบริษัทรถสายต่างๆ ที่วิ่งสู่ภาคอีสาน 2. "สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (เอกมัย)" ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ภาคตะวันออกทั้งหมด ได้แก่ ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว 3. "สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้)" อยู่ที่ ถ.บรมราชชนนี จากเดิมอยู่ที่ ถ.จรัญสนิทวงศ์ บริเวณสามแยกไฟฉาย แต่ด้วยมีปริมาณจำนวนของผู้โดยสารที่ใช้บริการมากขึ้นจึงมีการย้ายไปที่ใหม่  ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์วันที่ 11-17 เม.ย.จำนวนเที่ยวรถโดยสารสาธารณะของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรถร่วม ถูกจัดเตรียมไว้ให้บริการเพิ่มขึ้นกว่ากว่าปรกติร้อยละ 45 โดยช่วงวันที่ 10-13 เม.ย.จากเดิม 14,976 เที่ยววิ่ง เพิ่มขึ้นเป็น 21,726 เที่ยววิ่ง เพื่อให้รองรับประมาณการณ์ผู้โดยสารที่คาดว่าจะมีจำนวนถึง 912,492 คน[i] ซึ่งความเป็นจริงอาจมากกว่านั้น ส่วนการเตรียมรับมือสำหรับการจราจรที่คับคั่งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่ากระทรวงคมนาคม กรมการขนส่ง หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เตรียมพร้อมแผนการอำนวยความสะดวก ความมั่นคง และความปลอดภัย เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากช่วงเทศการนี้ในปีก่อนๆ มากนัก นั่นคือมุ่งเน้นการจัดเตรียมยานพาหนะให้เพียงพอกับความต้องการ การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดมีเป้าหมายในการลดยอดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บให้ต่ำกว่าใช่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 50 ที่มีอุบัติเหตุ 4,274 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 361 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 4,805 ราย  รถโดยสารสาธารณะกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ข้อมูลจำนวนอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะขนาดใหญ่ปี 2541-2549 จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าแต่ละปีมีรถโดยสารขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุ 3-4 พันครั้ง โดยส่วนใหญ่เกิดในกรุงเทพฯ มากกว่าต่างจังหวัด และจากข้อมูลของสำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง พบว่าเฉลี่ยแล้วเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับรถโดยสารสาธารณะ 1 ครั้ง จะมีผู้เสียชีวิต 0.42 ราย บาดเจ็บสาหัส 0.90 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 2.69 ราย มูลค่าความสูญเสียอยู่ที่ครั้งละประมาณ 2,300,000 บาท ซึ่งในแต่ละปีมูลค่าความเสียหายจะมหาศาลถึง 8,000-9,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจัยซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการรถโดยสาร นั้นมาจากความผิดพลาดของคนสูงถึง 75% ยานพาหนะบกพร่อง 14% และถนนบกพร่อง 11% ดังนั้นการวางมาตรฐานความปลอดภัยเกี่ยวกับรถโดยสารสาธารณะจึงเป็นสิ่งสำคัญทั้งในส่วนของอุปกรณ์ป้องกันในฉุกเฉินต่างๆ มาตรฐานของรถในด้านการตรวจซ่อมบำรุง รวมทั้งสวัสดิการและมาตรฐานของพนักงานขับรถ  ทั้งนี้ จากการสำรวจคนขับ 600 คน ของ รศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ ครึ่งหนึ่งของพนักงานขับรถ มีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน รายได้ที่น้อยเช่นนี้คงไม่แปลกหากพนักงานขับรถจะพยายามเพิ่มรอบในการขับรถหรือหารายได้เพิ่มเติมโดยวิธีการใดก็แล้วแต่อันอาจจะกระทบถึงประสิทธิภาพในการขับขี่ได้ นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 3 เรียนรู้การขับรถด้วยตัวเอง และ 1 ใน 5 เรียนรู้จากการเป็นเด็กรถมาก่อน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างเสริมความมั่นใจในพนักงานขับรถแม้แต่น้อย สำหรับในปี 2550 ที่ผ่านมา ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นกับรถโดยสารสาธารณะจำนวน 6 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งผลของคดีทำให้พนักงานขับรถถูกลงโทษจำคุก และผู้ประกอบการขนส่งต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหลายล้านบาท ทำให้นายศิลปะชัย จารุเกษมรัตนะ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ต้องออกมาสั่งการให้เข้มงวดในการตรวจสอบสภาพรถโดยสารที่มีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2 ครั้ง และขอความร่วมมือกับผู้ประกอบกาขนส่งใส่ใจตรวจสอบสภาพรถก่อนนำมาให้บริการ รวมทั้งเข้มงวดกวดขันพนักงานขับรถให้มีจิตสำนึกและวินัยในการขับรถ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงขึ้นอีก  ความคืบหน้าของคดีอุบัติเหตุรถโดยสารครั้งร้ายแรงในปี 2550 1. กรณีรถโดยสารไม่ประจำทางของห้างหุ้นส่วนนาฎตะวันทรานสปอร์ต เสียหลักพุ่งชนราวคอนกรีตแล้วพลิกคว่ำลงข้างทาง ที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2550 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บ 34 ราย ซึ่งผลของคดีได้สิ้นสุดแล้ว โดยศาลอาญาเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาจำคุกพนักงานขับรถเป็นเวลา 4 ปี และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทเสียชีวิตรายละ 500,000 บาท และจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้แก่ผู้บาดเจ็บแล้วจำนวน 32 ราย โดยอยู่ระหว่างการเจรจา 2 ราย 2.เหตุเพลิงไหม้รถโดยสารประจำทางร่วมบริการ บขส.สายที่ 25 กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2550 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 32 ราย บาดเจ็บ 31 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาสั่งฟ้องพนักงานขับรถในข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ สำหรับการชดใช้ค่าเสียหาย บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตรายละ 400,000 บาท และจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้บาดเจ็บแล้วจำนวน 29 ราย อยู่ระหว่างการดำเนินการ 2 ราย 3.กรณีรถโดยสารประจำทางปรับอากาศยูโรทู (ขสมก.) สายที่ 72 สี่เสาเทเวศร์-ท่าเรือคลองเตย ระบบเบรกมีปัญหาชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟเสียหาย 19 คัน ที่แยกวัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ 4 เม.ย.2550 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 9 รายโดยศาลได้รับฟ้องพนักงานขับรถในข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินคดีสำหรับการชดใช้ค่าเสียหาย ขสมก.และบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตแล้ว จำนวน 1,350,000 บาท และจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้บาดเจ็บแล้วจำนวน 7 ราย โดยอยู่ระหว่างการเจรจา 2 ราย 4.อุบัติเหตุรถโดยสารประจำทางร่วมบริการ บขส.สายที่ 590 หนองคาย-ระยอง แซงทางโค้งทำให้เสียหลักตกเขา ที่ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2550 มีผู้เสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 41 ราย ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบพยานเพิ่มเติม สำหรับการชดใช้ค่าเสียหาย บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตรายละ 400,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้บาดเจ็บแล้ทั้งหมด 432,101 บาท 5.กรณีรถโดยสารประจำทางร่วมบริการ ขสมก.สายที่ 149 ตลิ่งชัน-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (เอกมัย) เบรกแตกชนรถจอดรอสัญญาณไฟ 14 คัน ที่บริเวณเชิงสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อวันที่ 18 ส.ค.2550 มีผู้บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตภายหลัง 1 ราย บาดเจ็บ 13 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบพยานเพิ่มเติม สำหรับการชดใช้ค่าเสียหายกรณีผู้เสียชีวิต บริษัท อาคเนย์ประกันภัย (2000) จำกัด ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพ จำนวน 250,191 บาท โดยบิดาผู้เสียชีวิตได้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ประกอบการขนส่ง บริษัท กรุงเทพรถร่วมบริการ จำกัด จำนวน 4,000,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาสำหรับค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บได้ดำเนินการแล้ว จำนวน 2 ราย อยู่ระหว่างการเจรจา 10 รายและติดต่อผู้เสียหายไม่ได้ 1 ราย ส่วนความเสียหายของรถยนต์จำนวน 14 คัน มีการชดใช้ค่าเสียหายแล้ว 6 คัน อยู่ระหว่างการเจรจา 7 คัน และติดต่อผู้เสียหายไม่ได้ 1 คัน 6.กรณีรถโดยสารประจำทางร่วมบริการ ขสมก.สายที่ 6 พระประแดง-บางลำพู ขับสวนทางวันเวย์พุ่งชนรถจักรยานยนต์และร้านค้าเสียหาย เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2550 มีผู้บาดเจ็บ 11 ราย ศาลแขวงจังหวัดสมุทรปราการ ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกพนักงานขับรถ 1 ปี 11 เดือน 15 วัน ส่วนค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายของทรัพย์สินผู้ประกอบการขนส่ง บริษัท ธิติวัชการขนส่ง จำกัด และบริษัท กมลประกันภัย จำกัด ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนแล้ว จำนวน 9 ราย อยู่ระหว่างการเจรจา 4 ราย ข้อมูลจาก: ทรานสปอร์ต เจอร์นัล ฉบับที่ 467 ประจำวันที่ 25 ก.พ. - 2 มี.ค. 2551  ช่องโหว่ของการชดเชยผู้เสียหายทั้งที่การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะน่าจะปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว แต่ความจริงกลับไร้หลักประกัน นอกจากนี้สาเหตุหลักๆ ของอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะยังคง ‘ซ้ำซาก' อยู่ที่สภาพรถและอุปกรณ์ในตัวรถไม่ได้มาตรฐาน คนขับไม่ชำนาญ รีบเร่งทำเวลา และที่สำคัญคือการบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยาน แต่แม้ว่าอันตรายจากการไม่ควบคุมคุณภาพรถโดยสารสาธารณะจะนับว่าหนักหนาแล้ว การพิทักษ์สิทธิผู้ประสบอุบัติเหตุรถโดยสารยังสาหัสกว่ามาก  ด้วยเหตุที่ค่าเสียหายที่ผู้ประสบภัยได้รับจากกรมธรรม์ประกันภัยและกรมการขนส่งทางบกไม่มีการคุ้มครองด้านทรัพย์สินติดตัวที่เสียหายหรือสูญหาย การเสียโอกาสในการเดินทาง การเสียโอกาสทำงานหารายได้ในอนาคต ตลอดจนสภาพจิตใจที่เสียไป นอกจากนั้นค่าเสียหายที่ได้รับยังแสดงถึงการไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิเท่าเทียมกัน และเป็นการชดใช้ในเชิง ‘สงเคราะห์' มากกว่าการ ‘คุ้มครอง' ตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ของผู้ประสบอุบัติเหตุและญาติ ด้วยจ่ายเฉพาะค่าปลงศพ และการบาดเจ็บโดยถือตามสภาพหนักเบาของการบาดเจ็บและค่ารักษาพยาบาล ฐานะ และรายได้ของผู้ประสบอุบัติเหตุ "จากกรณีรถโดยสารประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550 มีผู้เสียชีวิต 32 คน บาดเจ็บ 31 คน นั้น การชดใช้เยียวยาความเสียหายจะเหลือเพียงกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น ตาย 4 แสนบาท บาดเจ็บมากน้อย เต็มที่ 3 แสนบาท เจ็บแล้วตายทีหลังก็ได้ 4 แสนบาท ถึงรอดก็ได้แค่นั้น ถ้ารอดแล้วอยากเรียกค่าทำขวัญ การเจรจาก็จะเป็นการเจรจาไกล่เกลี่ยกับตัวแทนประกัน ซึ่งจะพยายามพิทักษ์สิทธิของตัวเองมากสุด ประกอบกับผู้ประสบเหตุจากรถโดยสารมักไม่เข้าใจการคุ้มครอง แยกเจรจากัน และที่สำคัญต้องเดินทางมาเจรจายังสถานที่เกิดเหตุ ใช้จ่ายเงินมาก ผลสุดท้ายจึงเกิดความไม่เป็นธรรม"   นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา จากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวในเวทีสาธารณะเพื่อยกระดับคุณภาพรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งจัดโดยศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) เมื่อวันที่ 27มี.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้นายอิฐบูรณ์ ยังให้ข้อมูลต่อมาอีกว่า ทั้งที่กรมธรรม์ต้องจ่ายเงินแก่ผู้เสียหาย แต่หากผู้ประสบอุบัติเหตุไม่ยอมเซ็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็จะไม่ยอมจ่ายเงิน ซึ่งกระบวนการนี้จะกระทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้น เมื่อเซ็นยินยอมความไปแล้ว แม้ภายหลังผู้ประสบอุบัติเหตุจะรู้ว่าตัวเองบกพร่อง ก็ไม่สามารถไปเรียกร้องทางแพ่งได้แล้ว "ในฐานะผู้บริโภค คงไม่สามารถรอมาตรฐานที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร แต่จะต้องสร้างเกราะป้องกันตนเองขึ้นมาให้ได้ การประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำให้ผู้ประสบอุบัติเหตุพึงพอใจได้ แต่พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะส่วนใหญ่เมื่อต้องรักษาพยาบาลจากการประสบอุบัติเหตุ ค่ารักษาจากกรมธรรม์ก็จะไม่พอ ก็ต้องใช้บัตรทอง" นายอิฐบูรณ์กล่าวแสดงความคิดเห็น อนึ่ง นอกจากมาตรฐานความปลอดภัยที่รัฐควรที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชนที่เดินทางโดยรถสาธารณะอย่างเต็มที่แล้ว มาตรฐานการให้บริการก็คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ระบบขนส่งมวลชนของไทยต้องปรับปรุง เพราะการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะน่าจะเป็นสวัสดิการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดสรรให้แก่ประชาชน อีกทั้งในช่วงเทศกาลเช่นนี้ยิ่งทำให้กิจการขนส่งคึกคัก เพราะจะมีผู้โดยสารจำนวนมากต้องการใช้บริการ เมื่ออุปสงค์มากเกินอุปาทานจึงเกิดเป็นช่องโหว่ที่อาจทำให้เกิดการละเมิดสิทธิผู้โดยสารในกรณีต่างๆ เกิดขึ้นได้ง่าย  พลเมืองชั้นสอง - เรื่องจริงที่ใครก็ไม่อยากเจอเป็นที่รู้กันว่าเมื่อถึงช่วงวันหยุดยาวอย่างปีใหม่หรือสงกรานต์ การเดินทางของผู้คนออกจากกรุงเทพฯ สู่ต่างจังหวัดจะทวีจำนวนขึ้นจากปรกติหลายเท่าตัว ผู้โดยสารหลายคนที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้าไม่ทันแต่ต้องการเดินทางหลายต่อหลายคนต้องมานอนรอเข้าคิวเพื่อที่จะซื้อตั๋วโดยสารแบบวันต่อวัน และก็หลายคนที่ต้องพบกับการบริการที่แย่ๆ หรือสภาพรถโดยสารที่ทรุดโทรม แต่ก็ต้องจำทนเพราะถือว่านานๆ ครั้งจะมีโอกาสกลับบ้าน จึงหวังเพียงให้การเดินทางถึงที่หมายและเป็นไปโดยปลอดภัย รถโดยสารสาธารณะซึ่งเป็นรถทัวร์ปรับอากาศชั้น 2 (ป 2) สายอีสาน สายหนึ่ง ใช้วิธีเอาเปรียบ ล่อลวงรับผู้โดยสารในราคาเต็มปรกติ แต่ให้ผู้โดยสารลงไปนั่งเบียดเสียดกันใต้ท้องรถที่ปรกติจะเห็นว่าใช้เป็นที่เก็บกระเป๋า ซึ่งถูกดัดแปลงให้โล่ง ขนาดกว้างพอที่คนจะลงไปนั่งได้ การดัดแปลงเช่นนี้ทำให้รถโดยสารสามารบรรจุคนได้มากขึ้น แต่อาจบรรทุกเกิดน้ำหนัก และมาตรฐานความปลอดภัยที่รถคันนั่นมี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถูกบันทึกเป็นภาพถ่ายนำมาเผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ต[ii] และถูกได้มีการร้องเรียนผ่านทางเว็บบอร์ดไปที่กรมการขนส่งทางบก เมื่อราวเดือนพฤษภาคมปี 2550 ซึ่งก็ได้มีคำตอบรับในการที่จะแก้ไขจากหน่วยงานดังกล่าวอย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามไปยังผู้ที่เคยใช้บริการรถโดยสารสาธารณะสายอีสาน ได้รับการยืนยันว่ากระกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้วสำหรับรถโดยสารปรับอากาศชั้น 2 โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลต่างๆ  "เมื่อก่อน น่าจะประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว เคยต้องลงไปนั่งอยู่ที่ใต้ท้องรถของรถ ป 2 เหมือนกัน ในช่วงเทศการสงกรานต์ เพราะต้องเดินทางกลับบ้าน เลยต้องทนอึดอัดนั่งไป แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ใช้บริการรถ ป 2 แล้ว เพราะเป็นที่รู้กันว่าคนแออัดและถึงที่หมายช้ามาก" ผู้โดยสาร รถโดยสารสาธารณะคนหนึ่งกล่าวถึงการกระทำผิดกฎหมายที่ต่อเนื่องมายาวนาน นอกจากนี้ การเอาเปรียบผู้โดยสารด้วยการให้นั่งเก้าอี้เสริม การให้นั่งเบียดกัน 3 คน ในเบาะ 2 ที่นั่ง ได้กลายเป็นเรื่องปรกติของการโดยสาร รถ ป 2 สายอีสาน หรืออีกหลายเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ด้วยเหตุผลจากหลายสายเป็นการเดินทางที่ไม่ไกลนักและการแบ่งปันแก่เพื่อนร่วมทาง แต่น้ำใจของคนเดินทางที่กลับกลายมาเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการรถโดยสารแสวงหาผลประโยชน์เช่นนี้ ควรอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งจะเข้ามาดูแลจัดการรถโดยสารสาธารณะให้มีจำนวนเพียงพอต่อความ และมีการบริการที่มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น  ทั้งนี้ บริการที่เป็นมาตรฐานทั้งในรถปรับอากาศชั้น 1 ชั้น 2 หรือรถโดยสารชั้น 3 (รถพัดลม) เป็นสิ่งที่ผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะทุกคนอยากเห็น แม้จะยอมรับได้ว่าการจ่ายในราคาที่ต่างบริการที่ได้รับย่อมแตกต่างกับ แต่การใช้บริการรถ ป 2 และรถพัดลมก็ไม่น่าจะทำให้ผู้โดยสารต้องตกอยู่ในที่นั่งของพลเมืองชั้น 2 ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม  จากสิทธิผู้บริโภคถึงสิทธิผู้โดยสารการที่เราเป็นผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะหรือรถโดยสารประจำทาง ถือว่าเราได้กลายเป็นผู้บริโภคสินค้าบริการเหล่านั้น และย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค[iii] รวมถึงได้รับการคุ้มครองตามที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน[iv] ได้ประกาศรับรองหลักความคุ้มครองผู้บริโภคใน 3 หลักใหญ่ คือ การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่เป็นความจริง การร้องเรียนเพื่อให้ได้รับการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย และการรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค จากกฎหมายสิทธิผู้บริโภคเมื่อนำมาประยุกต์ใช้จึงกลายมาเป็น สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้บริการรถสาธารณะ 10 ข้อ[v] ที่ควรถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนี้  สิทธิก่อนเลือกใช้บริการ1.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพเกี่ยวกับบริการรถโดยสาร รวมทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเป็นจริง ครบถ้วน เพียงพอต่อการตัดสินใจใช้บริการ ข้อมูลยกตัวอย่างเช่น ประเภทและคุณภาพมาตรฐานของรถโดยสาร สิ่งที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสาร วันเวลาในการเดินทางและถึงที่หมาย ค่าบริการ รายละเอียดในความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยประเภทสมัครใจที่ผู้ประกอบการมีให้ รวมถึงข้อมูลจำเป็นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับบริการของรถโดยสาร คือสิ่งที่ผู้โดยสารควรได้รับรู้เพื่อตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งหากผู้ให้บริการแสดงข้อความเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริง โดยผู้โดยสารได้ตกลงจ่ายค่าโดยสารไปแล้วและมารู้ว่าตนถูกหลอกลวงในภายหลัง ผู้ให้บริการอาจมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีโทษทั้งจำและปรับ 2.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในด้านสัญญา และค่าบริการการห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการเรียกเก็บค่าโดยสารเกินกว่าที่ทางการกำหนด  3.ผู้โดยสารมีอิสระในการเลือกใช้บริการรถโดยสารได้โดยสมัครใจ และปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรมการที่ผู้ให้บริการหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เรียกให้คนขึ้น รถด้วยการส่งเสียงดังในลักษณะที่ก่อความรำคาญให้แก่ ผู้โดยสารหรือผู้คนที่อยู่โดยรอบ หรือทำการต้อน ดึง เหนี่ยว หรือยึดยื้อผู้โดยสาร รวมทังสิ่งของเพื่อให้ไปขึ้นรถโดยสารคันใดคันหนึ่ง ถือว่าผิดกฎหมาย[vi] มีโทษปรับไม่เกิน 1 พันบาท สิทธิขณะใช้บริการ4.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้บริการรถโดยสารเมื่อให้บริการรถโดยสารต้องมีคุณภาพ มาตรฐานด้านความปลอดภัยตามหลักวิชาการที่กฎหมายกำหนด มีสภาพมั่นคงแข็งแรงไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้โดยสาร และผู้ขับขี่ต้องไม่อยู่ในสภาพหย่อนยาน ไม่เมาสุราหรือเสพยาเสพติด ไม่ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ขับขี่โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ 5.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสารและผู้ใช้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐานเมื่อให้บริการรถโดยสารต้องมีคุณภาพมาตรฐานด้านการบริการตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ให้บริการต้องให้บริการต่อผู้โดยสารด้วยความสุภาพ ไม่เสียดสี ดูหมิ่น ก้าวร้าว หรือแสดงกิริยาอื่นใดที่เป็นการไม่ให้เกียรติผู้โดยสาร ไม่สูบบุหรี่ คุยกัน หรือส่งเสียงรบกวนก่อความเดือดร้อนรำคาญในขณะให้บริการ สิทธิเมื่อถูกละเมิดหรือเมื่อประสบภัย6.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ให้บริการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา เยียวยา หรือชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นหากเกิดปัญหาจาการใช้บริการไม่ว่าจะร้ายแรงมากน้อยแค่ไหน การร้องทุกข์ถือเป็นสิทธิและหน้าที่ของผู้บริโภคทุกคน เพื่อจะช่วยให้เกิดการแก้ไขปัญหา เยียวยา หรือชดใช้ในความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้การร้องเรียนยังจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพ และยกระดับมาตรฐานของรถโดยสารสาธารณะให้ดีขึ้นได้ 7.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายจากการประกันภัยด้วยความเป็นธรรม โดยไม่มีการประวิงเวลา หรือบังคับให้ประนีประนอมยอมความเมื่อผู้โดยสารประสบภัยจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ฯ และประกันภัยประเภทสมัครใจที่ผู้ให้บริการจัดให้ถือเป็นการเยียวยาเบื้องต้นที่ผู้โดยสารควรได้รับโดยทันที ไม่ควรถูกประวิงเวลา หรือถูกบังคับให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จนทำให้ผู้โดยสารหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกิดความเสียหายมากยิ่งกว่าที่ได้รับ 8.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายทั้งทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน และสิทธิอื่นๆ ที่ถูกละเมิดการชดใช้ความเสียหายให้กับผู้โดยสาร ในส่วนของค่าปลงศพและค่ารักษาพยาบาลนั้นอาจไม่เพียงพอ ทั้งนี้ควรได้รับการพิจารณาครอบคลุมถึงสิทธิอื่นๆ ที่ผู้โดยสารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้สูญเสียไปด้วย เช่น รายได้จากการประกอบอาชีพที่ต้องขาดไปขณะเจ็บป่วย หรือการชดใช้ความเสียหายให้กับทายาทที่ต้องขาดผู้อุปการะ เป็นต้น 9.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายตามหลักแห่งพฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งละเมิด ด้วยความเป็นธรรมและเสมอภาค การเลือกปฏิบัติต่อผู้โดยสารที่ประสบภัยจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ อย่างไม่เป็นธรรม ด้วยการใช้ความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความเชื่อทางศาสนา การศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม สภาพทางการหรือสุขภาพ หรือความคิดเห็นทางการเมือง ถือเป็นการขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ว่าความเท่าเทียมกัน 10.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนเองและผู้อื่นข้อนี้เป็นประโยชน์ที่จะช่วย เพิ่มอำนาจการต่อรองเรียกร้อง ทำให้ข้อเรียกร้องเกิดความเข้มแข็ง มีพลัง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาหรือชดใช้เยียวยาความเสียหาได้ดีกว่าการต่อสู้เรียกร้องโดยลำพัง เหมือนดังสุภาษิตคำพังเพยที่ว่าหนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย และถ้าเป็นสาม สี ห้า หก... อาจนำสู่การแก้เปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่าก็อาจจะเป็นได้ หากถูกละเมิดสิทธิ ผู้โดยสารสามารถร้องเรียน รวมถึงดำเนินการฟ้องร้องหากถึงคราวจำเป็น เพื่อการแก้ไขเยียวยาในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นธรรมตามที่กฎหมายกำหนด โดยช่องทางดังนี้ หมายเหตุ หน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนและให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ผู้โดยสารรถสาธารณะ หน่วยงานเบอร์โทรศัพท์การบริการความช่วยเหลือศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ1584รับเรื่องร้องเรียนหรือรับแจ้งข้อมูลในเรื่องการบริการรถขนส่งสาธารณะแจ้งร้องทุกข์เกี่ยวกับรถโดยสารของ บขส.และรถร่วม1508ตำรวจทางหลวง1193ศูนย์ร้องเรียนเรื่องขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ184มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค02-2483733-37รับเรื่องร้องเรียน ให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมาย และช่วยเหลือด้วยคดีของผู้บริโภคสภาทนายความ02-6291430รับเรื่องร้องเรียนให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมาย และช่วยเหลือด้วยคดีของผู้บริโภค รวมทั้งคดีความทั่วไปสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย1186รับเรื่องร้องเรียน ให้คำปรึกษาด้านการประกันภัยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค1166รับเรื่องร้องเรียน ให้คำปรึกษาปัญหาผู้บริโภค  ค่าชดเชยตามความคุ้มครองเบื้องต้น พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ๐ ค่าเสียหายเบื้องต้นคืออะไร?ผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครองในความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ เป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด บริษัทจะชดใช้ให้แก่ผู้ประสบภัย หรือทายาทของผู้ประสบภัย ภายใน 7 วัน นับแต่บริษัทได้รับคำร้องขอ ค่าเสียหายดังกล่าว เรียกว่า "ค่าเสียหายเบื้องต้น" โดยมีจำนวนเงิน ดังนี้ 1.กรณีบาดเจ็บ จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท2.กรณีเสียชีวิต จะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพ และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 35,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เม.ย.2546 เป็นต้นมา)3.กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาล จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท และค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เม.ย.2546 เป็นต้นมา) รวมแล้วจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท   ๐ ค่าเสียหายส่วนเกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้นคืออะไร? ค่าเสียหายส่วนเกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าเสียหายที่บริษัทจะชดใช้ให้ภายหลังจากที่มีการพิสูจน์ความรับผิดตามกฎหมายแล้ว โดยบริษัทที่รับประกันภัยรถที่เป็นฝ่ายผิด ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัย หรือทายาทผู้ประสบภัย เมื่อรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้นที่ผู้ประสบภัย หรือทายาทได้รับแล้ว เป็นดังนี้ 1.กรณีบาดเจ็บ เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามความเป็นจริงไม่เกิน 50,000 บาท  2.กรณีเสียชีวิต หรือสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพ จำนวน 100,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เม.ย.2546 เป็นต้นมา) ไม่ว่าจะมีการรักษาพยาบาลหรือไม่ ๐ รถ 2 คันชนกัน ผู้ประสบภัยเป็นผู้โดยสาร พ.ร.บ.คุ้มครองเท่าใด? กรณีรถตั้งแต่ 2 คัน ขึ้นไป ชนกัน ต่างฝ่ายต่างมีประกันตาม พ.ร.บ. และไม่มีผู้ใดยอมรับผิดในเหตุที่เกิด ผู้ประสบภัยที่เป็นผู้โดยสารจะได้รับความคุ้มครองตามหลักการสำรองจ่าย กรณีบาดเจ็บ บริษัทจะสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จ จำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน แก่ผู้ประสบภัย กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร บริษัทจะสำรองจ่ายทดแทน หรือค่าปลงศพ จำนวน 100,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เม.ย.2546 เป็นต้นมา) ต่อคน แก่ทายาทผู้ประสบภัย ความคุ้มครองกรณีอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี กรณีผู้ประสบภัย ที่เป็นผู้ขับขี่และเป็นฝ่ายผิดเอง หรือไม่มีผู้ใดรับผิดตามกฎหมายต่อผู้ขับขี่ที่ประสบภัย ผู้ประสบภัยที่เป็นผู้ขับขี่จะได้รับความคุ้มครองไม่เกินค่าเสียหายเบื้องต้น กล่าวคือ หากบาดเจ็บจะได้รับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 15,000 บาท หากเสียชีวิตจะได้รับค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท หรือเสียชีวิตภายหลังรักษาพยาบาลจะรับค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท กรณีผู้ประสบภัย ที่เป็นผู้โดยสารหรือบุคคลภายนอกรถ จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายไม่เกิน 50,000 บาท กรณีบาดเจ็บ และ 100,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เม.ย. 2546 เป็นต้นมา) กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร (ทั้งนี้ ผู้ขับขี่รถที่บริษัทรับประกันภัยไว้ต้องเป็นฝ่ายรับผิดตามกฎหมาย)   [i] มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2551[ii] http://thaibus.50webs.com/[iii] พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ.2541)[iv] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 61[v] นำเสนอในเวทีสาธารณะเพื่อยกระดับคุณภาพรถโดยสารสาธารณะ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม จัดโดยศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)[vi] ความผิดตามมาตรา 86 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 
Hit & Run
   อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘ดรีมทีม ฮีโร่ฟันน้ำนม' (Dream Team) ปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์แสนน่ารักออกมายั่วยวนคนรักเด็กแล้ว ในสัปดาห์แรกที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายซึ่งประจวบเหมาะเป็นช่วงปิดเทอม จึงเห็นมีเด็กตัวเล็กๆ มาดูกันคับโรงไปหมด เช่นเคย ทุกครั้งก่อนภาพยนตร์จะได้ฉาย คนดูหนังจะต้องลุกขึ้นยืนเมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีบรรเลงขึ้น และอาจจะด้วยความไร้เดียงสา เด็กคนหนึ่งพูดออกมาเสียงงอแงค่อนข้างดังว่า "มาดูหนัง ทำไมต้องยืนด้วย"อาจไม่แปลกที่เด็กน้อยไม่คุ้นชินกับธรรมเนียมที่โลกของผู้ใหญ่ปฏิบัติกันมายาวนาน แต่นั่นยังไม่ซับซ้อนน่าสงสัย เท่ากับการที่เรื่องทำนองนี้อาจสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตีความได้ว่า เป็นการดูหมิ่นเบื้องสูง และการ ‘ดูหมิ่น' นี้ต่างจากกรณีดูหมิ่นทั่วๆ ไป ที่เปิดช่องให้ผู้อื่นเรียกร้องสิทธิ์และศักดิ์ศรีแทนกันได้ โดยไม่จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นผู้เสียหายสังคมไทยยอมให้มีการเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันได้ อาจเพราะเชื่อว่า เป็นการแสดงความรักและปรารถนาดีต่อสถาบันอันเป็นที่รัก กฎหมายจึงเปิดให้การคุ้มครองป้องกันการถูกดูหมิ่นมีหลายระดับ มีทั้งมาตราธรรมดา กับมาตราที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองไทย เมื่อคนสองคนเข้าไปดูภาพยนตร์แล้วไม่ลุกขึ้นยืนก่อนหนังฉาย จนทำให้มีคนอีกคนหนึ่งโกรธแล้วทะเลาะวิวาทกันขึ้น ตอนนี้กำลังเป็นคดีความที่คนผู้นั้นฟ้องร้องว่า คนทั้งสองได้ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงในด้านหนึ่ง กฎหมายอาจใช้คุ้มครองสังคม แต่ลืมไม่ได้ว่า ผู้ที่สามารถใช้อำนาจตามกฎหมาย ก็เปรียบดั่งคนที่มีดาบอยู่ในมือ เราจึงได้ยินบ่อยๆ ว่า คนที่ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องใช้มีระดับการไตร่ตรองที่สูงตามระดับอำนาจที่ถือครอง เพราะแม้จะมีดาบอยู่ในมือ แต่การใช้ดาบฟาดฟันโดยหวังให้ผลลัพธ์ผลิดอกออกมาเป็นความรักและศรัทธา ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะไปทางเดียวกัน เราคงยากจะตีความไปว่า ยิ่งจำนวนคดีหมิ่นเบื้องสูงมากขึ้น ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความรัก แต่ข้อเท็จจริงชี้ว่าตำรวจทำคดีที่เป็นความผิดตาม ป.ม.อาญา มาตรา 112 มากขึ้นเรื่อยๆ กรณีล่าสุด ตำรวจเข้าแจ้งข้อหาหมิ่นเบื้องสูงต่อนาย โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียของบีบีซี และคณะกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) สืบเนื่องจากการจัดสัมมนาหัวข้อ Coup, Capital and Crown เป็นวงเสวนาเกี่ยวกับหนังสือ 2 เล่ม คือ Thai Capital after the 1997 Crises ซึ่ง ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ร่วมเขียนกับ คริส เบเกอร์ และ Journal of Contemporary Asia Special: The Thailand Coup ซึ่งเควิน ฮิววิสัน และไมเคิล คอนเนอร์เป็นบรรณาธิการร่วมกัน โดยกล่าวหาว่า นายโจนาธานซึ่งเป็นพิธีกรกล่าวเปิดงานสัมมนา ใช้ถ้อยคำเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง (อ่านข่าวนี้เพิ่มเติม)เมื่อเร็วๆ นี้เอง (3 เม.ย. 50) เจ้าหน้าที่กระทรวงไอซีทีก็ได้ขอเชิญประชุมผู้ดูแลเว็บไซต์ประชาไท และเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน เพราะทั้งสองเว็บไซต์นี้มีเว็บบอร์ดที่ดูจะเป็นพื้นที่ที่มีการวิเคราะห์วิพากษ์ถกเถียงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ค่อนข้างมาก บ้างก็เป็นไปในทางวิชาการ บ้างก็เป็นไปในทางหมิ่นเหม่ ที่ไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร แต่ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ไอซีทีนั่งไม่ติดและตกเป็นจำเลยของสังคมว่า ทำไมปล่อยให้เรื่องแบบนี้โลดแล่นได้ในโลกไซเบอร์ กระทรวงเล็กๆ ที่ไม่ค่อยจะได้รับความสนใจเท่าไร อย่างกระทรวงไอซีที จึงถึงกับต้องมีหน่วยหน่วยหนึ่งที่คอย "กำกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" ของประชาชน มีหน้าที่เปิดอินเตอร์เน็ตตามไปยังที่ที่มีการร้องเรียนเข้ามามากๆ ว่าเนื้อหาหมิ่นเหม่ อย่างที่เรารู้กันว่าโลกไซเบอร์นั้นไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด มันกลายเป็นภาระชิ้นโตที่กระทรวงขนาดจิ๋วต้องรับผิดชอบ แต่ไม่ว่ากระทรวงไอซีทีจะขยับตัวอย่างไรก็ถูกก่นด่าไปทุกทาง ทางหนึ่งก็บอกว่าทำไมปล่อยให้เนื้อหาเหล่านั้นเรี่ยราดออกมาได้ อีกทางก็บอกว่าทำไมคิดจะมากีดกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในทางวิชาการเรื่องทำนองนี้เถียงอย่างไรก็ไม่จบง่ายๆ เพราะประเด็นมันอยู่ที่ เรา - สังคม คิดและเชื่ออย่างไร ต่อการวางแนวปฏิบัติ ที่เชื่อว่าจะเป็นการเคารพและปรารถนาดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์?แนวคิดในการปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักนั้น ที่ต้องขอเรียกว่า เป็นแบบ ‘ไทยๆ' ยังมีอีกตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และเป็นตัวอย่างที่น่าเวทนา คือเมื่อคณะกรรมการเซ็นเซอร์ เซ็นเซอร์ภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษ โดยจะตัดออก 4 ฉากที่เขาเชื่อว่าไม่สมควร และเมื่อมีการอุทธรณ์ให้ทบทวนการพิจารณา ผลกลับออกมาว่า ยืนยันตัด 4 ฉากเดิม และตัดเพิ่ม 2 ฉาก รวมเป็น 6 ฉาก!ธรรมเนียมการทำงานเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ของไทย คือ ถ้าภาพยนตร์เรื่องไหน มีสถาบัน มีวิชาชีพไหนมาเกี่ยวข้อง ก็จะมีตัวแทนจากสถาบัน วิชาชีพ นั้น เข้าร่วมเป็นกรรมการพิจารณาสำหรับภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษ ที่โดนหั่น 4 ฉากแรก ประกอบด้วย ฉากพระเล่นเครื่องร่อน และฉากพระเล่นกีตาร์ ซึ่งตัวแทนองค์กรสงฆ์ออกมาป้องว่า แม้ไม่ผิดศีลธรรม แต่ผิดพระวินัย และฉากหมอดื่มเหล้าในโรงพยาบาล ฉากหมอจูบกับแฟนสาวแล้วอวัยวะเพศแข็งตัวในโรงพยาบาล ซึ่งตัวแทนองค์กรแพทย์บอกว่า มันทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์ต่อวิชาชีพแพทย์คณะกรรมการเซ็นเซอร์ลงความเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ไร้ซึ่งความเป็นศิลปะ ทำให้เสื่อมเสีย ซึ่งอีกสองฉากที่โดนหั่นเพิ่ม คือ ฉากที่เห็นพระรูปปั้นของสมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี และฉากที่เห็นพระรูปปั้นสมเด็จพระบรมราชชนก เพราะทั้งสองฉากนี้ทำให้คนที่เห็นอาจรู้ได้ว่า ‘ที่นี่เมืองไทย'คณะกรรมการเซ็นเซอร์จึงตัดออกไป 6 ฉาก แต่ในทางปฏิบัตินั้นโดนตัดไป 7 ฉาก เพราะตำรวจตัดผิด ไปตัดรูปปั้นอื่น ที่ไม่ใช่พระรูปปั้นนั่นคือผลสรุปที่มาจากความปรารถนาจะปกป้องหวงแหนสถาบันอันเป็นที่เคารพรักอีกกรณีที่โด่งดังไปข้ามโลก และยืนยันถึงเอกลักษณ์ทำนอง ‘ที่นี่เมืองไทย' คือ กรณีที่เกิดกับเว็บไซต์ยูทูบ (youtube.com)เมื่อเมษายนปีที่แล้ว รัฐไทยตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ในการบล็อคเว็บไซต์ยูทูบในประเทศไทย หลังจากมีคลิปหนึ่งถูกเผยแพร่ ไอซีทีเจรจากับทางเว็บไซต์ยูทูบให้ถอดคลิปดังกล่าวออก แต่ไม่เป็นผลในคราวแรก เพราะยูทูบถือว่า คลิปนั้นซึ่งมีเนื้อหาเป็นการล้อเลียนผู้นำประเทศไม่ได้ผิดนโยบายของยูทูบ กระทรวงไอซีทีจึงตัดสินเอง ด้วยการปิดช่องทางให้คนที่อยู่ในประเทศไทยดูคลิปในยูทูบไม่ได้เป็นเวลานาน 4 เดือน (เมษายน 2550 - สิงหาคม 2550)มาวันนี้ คนไทยเข้าเว็บไซต์ยูทูบได้แล้ว หลังจากกระทรวงไอซีทีตกลงกับยูทูบสำเร็จเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2550 โดยยูทูบตกลงใช้มาตรการ ‘เซ็นเซอร์ตัวเอง' คือ จัดการบล็อคคลิปที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายไทยหรือ ‘ทำร้ายจิตใจคนไทย' ทำให้คนที่อยู่ในประเทศไทยดูไม่ได้ ปรากฏข้อความที่ว่า This video is not available in your country - "วิดีโอนี้ไม่ได้รับอนุญาตในประเทศของคุณ"แต่อย่างที่รู้กัน วิธีคิดในการปิดกั้น ไม่เคยเป็นคำตอบที่ดีในการปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพรัก คณะกรรมการเซ็นเซอร์ตัด 6 (ซึ่งจริงๆ คือ 7) ฉาก เรื่องนี้ถูกพูดถึงไปทั่วว่ากองเซ็นเซอร์ทำอะไรลงไป เราได้รู้วิธีคิดของกองเซ็นเซอร์ไปพร้อมๆ กับรู้รายละเอียดส่วนที่เขาหั่นหนังออก ทั้งยังมีช่องทางอื่นๆ ที่กองเซ็นเซอร์ตามไล่จับไม่ทัน (ไม่เชื่อลองวิ่งตามทีละก้าว 1... 2... 3... 4... 5... 6...)มิพ้นคนส่วนใหญ่ยังต้องสมเพชกับวงการแพทย์และพระสงฆ์ ที่มีตัวแทนมาปฏิบัติการในนามขององค์กรวิชาชีพที่วิธีคิดคับแคบ .. คงได้แต่ภาวนาหวังว่า สังคมไทยคงไม่เหมารวมคนทั้งสองวิชาชีพนี้ว่ามีวิสัยทัศน์แบบเดียวกับตัวแทนองค์กรทั้งสอง ส่วนกรณียูทูบนั้น สะท้อนว่าเราจะใช้วิธีที่เคยชินแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ในเมื่อโลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันสะท้อนชัดว่า การแบนไม่ได้ช่วยอะไร อย่างน้อยก็มีวิธีง่ายๆ มากมายในการเขาถึงสิ่งที่รัฐพยายามปิดกั้น ไม่เพียงเท่านั้น มันจะมีความหมายอะไรที่คลอบกะลามาให้คนเฉพาะในอาณาเขตด้ามขวานทอง ให้เข้าไม่ถึงสิ่งที่คนทั่วโลกเข้าถึงมาถึงตรงนี้ ทำให้หวนนึกไปถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่กระทรวงไอซีที ที่เชิญประชาไทและฟ้าเดียวกันไปร่วมประชุม เขาตั้งประเด็นนำไว้ว่า ต้องการชวนคิดว่า "เราจะมีแนวทางร่วมกันจงรักภักดีอย่างไร"อาจยังไม่มีคำตอบชัดเจนนักที่จะรับมือกับโลกยุคใหม่ แต่พอจะบอกได้ชัดว่าวิธีแบบไหนไม่เข้าท่า อาทิ  วิธีการปิดกั้นการแสดงออก ปิดกั้นไปถึงความคิดและวิญญาณ เป็นทางที่ไม่มีวันบรรลุผล และยังน่าจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีและว่ากันตามตรง บางที.. วิธีการออกมาปกป้อง แสดงความเคารพอย่างไม่ยั้งคิด ดูจะเหมาะที่จะใช้กับศัตรู มากกว่าใช้กับคนที่เคารพรักเสียอีก.
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ สำหรับชาวเชียงใหม่ ก็จะทักทายกันว่า “สวัสดีปีใหม่เมือง”นางสงกรานต์ปีนี้ นามว่าพระนางทุงสะเทวี ทรงพาหุรัตน์ ทัดดอกทับทิม มีแก้วปัทมราชเป็นอาภรณ์ มีอุทุมพร (มะเดื่อ) เป็นภักษาหาร พระหัตถ์ขวาทรงจักร  พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตรมาบนหลังพญาครุฑคำทำนายกล่าวว่า ปีนี้ประชาชนจะเดือดเนื้อร้อนใจ ข้าวยากหมากแพง ของขาวของแดงจะขึ้นราคา ข้าวผลในนาได้หนึ่งส่วนเสียห้าส่วน พายุแรง มีศึกนอกศึกใน เกิดภัยพิบัติต่างๆ ง่าย ผลหมากรากไม้จะราคาตกต่ำบ้านเมืองจะเริ่มเข้าสู่ความสงบ (แต่เพียงเล็กน้อย) ระวังภัยจากแผ่นดินล่ม แผ่นดินไหว  ขุนนางเจริญก้าวหน้า แต่สตรีผู้เป็นใหญ่จะเดือดเนื้อร้อนใจ คนเกิดวันจันทร์และพุธมีโชคลาภดี อังคารกับศุกร์รับทุกขลาภ อาทิตย์และพฤหัสบดีระวังจะมีภัย ส่วนใครเกิดวันเสาร์จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับพญาดอกไม้ในปีนี้คือ ดอกแก้ว ค่ะ :-)
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นนั้นแหละ                    ไม่ต้องแตะแต้มแต่งแสร้งเสกสรรค์                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นทุกวัน                    ไม่ต้องปั้นเปลี่ยนสีหน้าท่าทางใดพูดอย่างที่เธอพูดอย่างนั้นแหละ       ไม่ต้องแตะแต่งถ้อยร้อยคำใหม่พูดสั้น-สั้น กลั่นออกมาจากหัวใจ      เหมือนเคยใช้ทุกวันนั้นดียิ่งคิดอย่างที่เธอคิดอย่างนั้นแหละ       ไม่ต้องแตะแต่งจริตคิดเพริศพริ้งคิดอย่างที่เธอรู้สึก นึกคิด จริง           กับทุกสิ่งในระบอบ รอบ-รอบกายอยู่อย่างที่เธออยู่อย่างนั้นแหละ       ไม่ต้องแตะแต่งสามัญอันเรียบง่ายด้วยแสงสีจัดจ้าจนพร่าพราย           จนความอาย ไม่มี-ที่ซ่อนหน้าเป็นอย่างที่เธอเป็น…เช่นนี้เถิด          อย่าเตลิดหลงใหลไปไขว่คว้าเป็นอะไรที่เป็นอื่นฝืนอัตตา              สูงเทียมฟ้า ยิ่งดูชั่ว-ใช่ตัวเรางดงามแล้ว ควรเพียงพอ-อย่าต่อเติม   ไปสร้างเสริมแนวทางเอาอย่างเขาเป็นชาวดิน งามตามถิ่น-ดินกล่อมเกลา  ถึงงาม เศร้า แต่ก็มีศักดิ์ศรีดินรักอย่างที่เธอเป็นเช่นนี้แหละ            ไม่ต้องแตะแต้มแต่งให้ใครถวิลรักอย่างที่เธอเป็นมาเป็นอาจิณ          รักในวิญญาณ ซื่อ ใส ในตัวเธอ.8 เมษายน 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ 
ชาน่า
ข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มรักร่วมเพศมีให้ติดตามโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง จริงหรือไม่  ดังนั้นเราจึงเห็นได้ชัดว่า "กลุ่มรักร่วมเพศปนอยู่ในสังคมเราอย่างแยกเสียไม่ได้"  เคยคิดจะเขียนคอลัมน์เรื่อง  "การไม่ยอมรับผู้บริจาคเลือดที่อยู่ในกลุ่มอัตราเสี่ยงหรือรักร่วมเพศ"  ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้มาจากเว็บเกย์สากลในสหรัฐอเมริกา แต่งานประจำรัดตัวยังไม่ทันจะเขียนก็มีข่าวคราวจากเมืองไทยเข้ามาในเรื่องนี้ คราวนี้ชาน่านิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ประสานงานไปทางเพื่อน ๆ หลายฝ่าย รวมทั้งเพื่อนๆ ชาวสยามสแควร์  ของเว็บสังคมชาวไทย "พันทิป" ตั้งกระทู้ถามไถ่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จึงได้เป็นไอเดียเพื่อผู้อ่านชาวประชาไท  บอกแล้วไงคะว่า..สิ่งไหนที่ชาน่าพอทำได้... "เต็มเหนี่ยวไปเลยเพ่"  รักที่จะทำและทำด้วยใจรักฮ่า...
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
กว่า 7 เดือนมาแล้ว...ที่ความป่วยไข้มาเยือนอย่างหนักหนาสาหัสหลังจากที่ส่อแสดงความ "แปรปรวน" ของเหตุปัจจัยมาบ้างแล้วนับย้อนทวน ก็อาจเป็นเวลากว่า 1 ปีใครเคยมีประสบการณ์แห่งความเจ็บปวดทางกายมาบ้างคงพอเข้าใจได้ว่า..หากอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดบาดเจ็บ กระทั่งทุพลภาพชั่วคราวจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และความลังเลสงสัยที่ไม่รู้-ไม่แน่ใจ ย่อมนำไปสู่เวทนา และตามมาด้วยการปรุงแต่ง กระทั่งจบลงที่ความทุกข์อันทนได้ยากแต่ถ้าใครสักคน...มีเหตุให้ต้องเจ็บปวดไปแทบทุกข้อกระดูกทุกเส้นเอ็น ทุกมัดกล้ามเนื้อและท้ายสุด ถึงกับปวดแปลบแสบร้อนไปทั่วผิวหนังแทบทั้งกายเขาอาจจะจินตนาการไปได้ไกลสุดกู่หรือแทบหมดสิ้นกระบวนคิดเอาเลยทีเดียวผู้เขียนตกอยู่ในประเภทหลังและดูจะรุนแรงถึงระดับเกินเชื่อของใครต่อใครอยู่ไม่น้อย...จากแรกเริ่มที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อกระดูกบางจุดโดยย้ายไปมา ตามส่วนต่างๆ เช่น หัวไหล่ ข้อศอก ข้อเท้า ข้อมือจนมาหนักที่สุดที่เข่าซ้ายขณะนั้นสรุปง่ายๆ ว่าน้ำหนักเกินเกณฑ์มามากแถมยังเดินทางบ่อย เพื่อติดตามงานที่รับผิดชอบการบำบัดด้วยการนวดแผนไทยและประคบร้อน จึงพอคลี่คลายไปได้บ้างอาการเพิ่งแสดงความพิเศษของมันที่เข่าขวาที่นอกจากจะนวดไม่หาย ประคบไม่คลาย แถมยังทำท่าอักเสบบวมแดงร้อนถึงตอนนี้หลายคนอาจสรุปว่าคงเป็นผลจากกรดยูริค และโรคเกาต์แต่ผลทางห้องปฏิบัติการไม่ตรงกันกับข้อสรุปพื้นๆ นั้นทีเดียวนักกระนั้น คุณหมอทางโรคข้อกระดูกท่านหนึ่งก็สรุปง่ายๆ เช่นนั้นไปด้วยผลก็คือ ต้องใช้ยาลดยูริค ทั้งที่ยูริคไม่มาก(จากผลแลป)ต้องลดอาหารหลายประเภท เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบจากเกาต์ปฏิบัติการนี้นานร่วม 2-3 เดือนจนมีหมอพื้นบ้านชาวดาระอั้งทำยาประคบร้อนมาให้จึงช่วยให้อาการดีขึ้น(บ้าง)แต่ที่ทีเด็ดกว่านั้น คือชาวบ้าน ที่แสดงเจตนาดี(มากๆ)ด้วยความมีน้ำใจในการนำยาน้ำสมุนไพรซื้อจากรถฉายหนังเร่มาให้ลองรู้ทั้งรู้ว่านั่นต้องประกอบด้วยสเตียรอยด์เป็นแน่แต่ก็ฉลองศรัทธาต่อเนื่องไป 6-7 ขวด(ขนาดขวดสุราขาวทั่วไป)ค่าที่มันหยุดทุกขเวทนาเก่าไปจนแทบหมดสิ้นและหารู้ไม่ว่า หายนะกำลังจะมาเยี่ยมเยือนในไม่ช้าเพราะหลังจากหาข้อมูลของสเตียรอยด์ได้มากพอก็สามารถเทียบเคียงกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตนได้เองว่ามีแบบแผน และการขยายผลขึ้นมาเช่นไรน้ำหนักที่ลดลงระหว่างควบคุมอาหารหลายเดือน..ก่อนหน้าเริ่มยาหนังเร่พลิกกลับมาเพิ่มขึ้นราวทวีคูณ ใบหน้ากลมบวมฉุยิ่งกว่าคนอ้วนทั่วไปข้อเท้าซ้ายขวาบริเวณตาตุ่ม เม็ดสีผิวหนังเปลี่ยนไปเกิดตกกระ หลังมือหลังเท้าบวมพอง ฯลฯความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นทำให้ตัดสินใจลดยาหนังเร่จนหยุดไปในที่สุด พร้อมๆ กับความเจ็บปวดที่ย้อนกลับมาอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเก่าทำให้ต้องหันไปพึ่งยาแก้ปวด-บรรเทาปวดแผนใหม่ ที่มีการรับรองว่าอันตรายไม่มากนัก หลายต่อหลายชนิดดูราวกับว่า นี่เป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่ปฏิบัติตนเป็นหนูทดลองยาอย่างสมบูรณ์แบบ และเอาจริงเอาจังมีเภสัชกรบางท่าน ที่ร่วมมือด้วยอย่างลับๆเพราะสงสาร-เอ็นดู หรือมุ่งจะขายยาแรงๆ แพงๆ ให้คนป่วยโง่ๆก็ไม่อาจทราบได้และแล้ว...ผลสรุปสุดท้าย ก็เป็นอย่างที่เล่าในตอนต้นกล่าวคือ ความเจ็บปวดมาเยี่ยมเยือนแทบทุกข้อกระดูก ทุกเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และผิวหนัง...กระทั่งทำไม่ได้แม้แต่จะเปลี่ยนอริยาบทพื้นๆ เช่น การขยับตัว หรือลุกขึ้นนั่งเอง(ไม่ต้องกล่าวถึงการยืนและเดิน)ความที่เป็นคนรังเกียจอาการโอดโอย คร่ำครวญ มาแต่ไหนแต่ไรและมุ่งจะพิจารณาความเจ็บปวดให้เป็นอุบายกรรมฐานยิ่งทำให้ใครต่อใครยิ่งเข้าใจผิด ว่าไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าจะรู้และยอมเข้าใจ(หรือเชื่อ) จึงเล่นเอาคนเจ็บปางตายและ "รูมาตอยด์" -เจ้าโรคแห่งความปวดร้าวแสนสาหัส เดินหน้าฝ่าแดดลมเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบอยู่ร่วมกันกับผู้เขียนมากว่า 6-7 เดือน ความทุกข์ทางกายนั้น ท่านว่าหากจิตไม่ทุกข์ด้วยก็ย่อมพอจะประคับประคองกายสังขาร ให้ดำเนินไปตามกระแสแห่งกรรม ตามอัตภาพของตนๆผู้เขียนเชื่อ และกล้ายืนยันเช่นนั้นด้วย จากการพิสูจน์ของตน...ด้วยตัวของตัวเองมาแล้วหากแต่ต้องย้ำไว้สักนิด ว่าพลังแห่งสติและสัมปชัญญะขณะปวดเจ็บจำต้องอาศัยสมาธิจิต หรือพลังใจอย่างเหลือประมาณจริงๆและการสังเกตความเจ็บปวด เพื่อพิจารณามันอย่างเรียนรู้ที่จะไม่โกรธเกลียดแม้จะให้ผลทางการยกระดับจิตแต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า กว่าจะฝ่าข้ามได้แต่ละครั้งเสี้ยววินาทีก็ยาวนานจนแทบเกินทน หรือทนแทบไม่ไหวเอาเสียเลยถึงวินาทีนี้ ที่กลับมาเริ่มเขียนบล้อคได้ก็ใช่ว่าจะหายขาดเพียงแต่สเตียรอยด์ได้กลับมายับยั้งอาการปวดอีกครั้งหนึ่ง...ต่างจากครั้งแรกตรงที่ว่า...คราวนี้มันมาในรูปยาเม็ด ที่สั่งโดยแพทย์ปริญญาและชำนาญการเฉพาะทาง โดยอ้างแบบเขินๆ ว่าต้องใช้เพื่อระงับปวดช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองได้(บ้าง)ความเรียงเรื่องความป่วยไข้ภาคแรกจบลงที่การเขียนบันทึกนี้แต่ใครจะรู้ ว่าภาคต่อๆ ไปจะเป็นเช่นไรได้เล่นบทเป็นคนไม่ป่วยหรือเหลือเพียงบันทึกให้ใครต่อใครอ่านกันในหนังสืองานศพ.............ก็สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมิใช่หรือ?
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี ที่ต้องตรากตรำงานกลางแจ้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อเก็บเงินไว้เรียนหนังสือหรือซื้อหาสิ่งที่ชอบของตนเองโดยไม่รบกวนผู้เป็นพ่อแม่“ต้นไม้กำลังผลิใบอ่อนดูคล้ายงานเลี้ยงเพิ่งเริ่มต้น” ฉันคิด ขณะที่ย่ำเท้าไปบนยอดหญ้าอ่อนๆ พื้นดินเปียกชุ่มน้ำฝนที่หลั่งสายมาทุกค่ำคืน“น้าศิลป์ดูนี่สิครับ นี่รอยของหนูที่มากินรากต้นเพ็ก  หลายตัวเลย” โชคตื่นเต้นพลางชี้ให้ฉันดู คืนนี้เขาจะมาวางบ่วงดักหนู ฉันสงสัยว่ามันจะไม่เดินออกนอกเส้นทางบ้างเหรอ เขาบอกว่า “ไม่”มิน่า จึงมีคติของคนภาคอีสานที่ว่า “ทางหนู หนูไต่ ทางไหน่ ไหน่เดิน”เราเดินเลาะมาตามร่องน้ำ ซึ่งบัดนี้มีน้ำเต็มปริ่ม ทั้งที่เมื่อสิบกว่าวันก่อนบริเวณนี้คือความร้อนแล้งแห้งผาก ไม้ยืนต้นโกร๋นไร้ใบราวกับตายซากไปแล้ว แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ราวกับเนรมิต
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เสาร์วันหนึ่งกลางสวนรถไฟ กรุงเทพมหานคร ติดตลาดนัดสวนจตุจักรที่คนกรุงคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะกลางเมืองใหญ่เช่นนี้จะมีสักกี่สถานที่ที่จะมีสีเขียวให้ได้สูดลมหายใจได้เต็มปอดกิ่งใบสีเขียวแก่จัดของต้นก้ามปูใหญ่ยื่นยาวแตกกิ่งก้านสาขาร่มครึ้มอยู่กลางสวน ดอกตะแบกสีม่วงร่วงเกลื่อนพื้นตัดกับสนามหญ้าสีเขียว เด็กผู้พิการทางสายตาจากโรงเรียนสอนคนตาบอด อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถีส่งเสียงเจี๊ยว รอเวลาที่จะได้ เฮละโลกลุ่มกิจกรรมอิสระเล็กในชื่อกลุ่ม Pay Forward นำเด็กที่มองไม่เห็นมาทำกิจกรรม แรลลี่เพื่อเด็กพิการทางสายตา เด็กๆ จำนวน 24 คน จะมีพี่เลี้ยงเป็นเสมือนดวงตาเข้าสู่กิจกรรมในฐานปฏิบัติการต่างๆ เช่น คณิตคิดเร็ว ช่วยลดร้อนให้โลกหรือให้พี่เลี้ยงจำนวนหนึ่ง ปิดตา ร่วมกิจกรรมเด็กหนึ่งคนต่อพี่เลี้ยงหนึ่งคน จะปั่นจักรยานไปตามฐานต่างๆ เหนื่อยและสนุก หากสิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ โอกาส ..“คุณเคยเดินปิดตาไหม”หากคุณอยากรู้ว่าในโลกสัมผัสของเด็กๆ กลุ่มนี้เป็นอย่างไร คุณลองปิดตาสิติดต่อกลุ่ม Pay Forward เพื่อเข้าร่วมหรือสนับสนุนกิจกรรมได้ที่คุณหมู 081 634 1121 โรงเรียนสอนผู้พิการทางสายตา อนุเสาวรีย์ชัย
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อนิตยสาร      :    ฅ คน ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๕ (๒๔)  มีนาคม ๒๕๕๑บรรณาธิการ     :    กฤษกร  วงค์กรวุฒิเจ้าของ           :    บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย” มันเป็นประโยคเตือนสติให้ยอมรับว่าบางครั้ง สิ่งที่น่ารำคาญในชีวิตคนเรา กลับเป็นเรื่องที่จบได้ยาก“อ้าว ทำไรอยู่ เงียบไป” เพื่อนหนุ่มทักท้วงมา อาจพอรู้ได้ว่าฉันปล่อยความคิดไปไกลเกินไป เขาดึงฉันกลับมาด้วยเหตุการณ์น่าระทึกขวัญพอสมควร เกี่ยวกับกลับบ้านเที่ยวนี้“พ่อผมโดนรถชน ขาหักสามท่อน ตอนนี้ยัดเหล็กเข้าไป แล้วนอนอยู่โรงพยาบาล”“ตายจริง” ฉันอุทานออกมา คราวนี้สติกลับมาอยู่ครบถ้วน นึกไปยังใบหน้าเรียวเล็กของเขา กลับแววตาเลื่อนลอยครั้งหลังสุดก่อนจะย้ายกลับไป“ผมว่ามันเป็นชะตากรรมนะ จำได้ไหม ผมบอกว่าผมควรจะกลับบ้าน อย่างน้อยก็กลับมาตั้งหลัก ว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต ผมได้กลับมาทันดูแลพ่อ”“แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง”“ตอนนี้เขาก็รู้สึกตัวอยู่บ้าง แต่ขยับร่างกายไม่ได้ ก็ต้องมานอนเฝ้า เช้ามาปล่อยให้เขาอึ เขาฉี่ เราก็คอยเช็ด คอยเก็บ แล้วก็ป้อนข้าว เช็ดเนื้อตัว พอบ่ายๆ ก็ถึงเวลานอน ผมก็จะมีเวลาส่วนตัวแบบนี้มาโทรศัพท์”“แล้วหมอว่ายังไงบ้าง ต้องรักษาตัวนานไหม” ฉันถามอย่างเป็นห่วง เรื่องราวของพ่อเขาซึ่งรับรู้มาเรื่อยๆ พ่อกับแม่นั้นแยกทางกันนานแล้ว แต่ก่อนอาศัยอยู่กับน้องชาย แต่ตอนนี้น้องชายเขาแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปแล้ว เท่ากับว่าพ่อเองก็ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังนั้น“หมอบอกว่าคงต้องรักษาตัว 2-3 เดือน แต่ไม่รู้เขาจะให้เราอยู่โรงพยาบาลนานหรือเปล่า ดีขึ้นก็อาจต้องไปรักษาตัวที่บ้าน”“อืม ค่าใช้จ่ายคงเยอะเนอะ” ฉันอดรำพึงไม่ได้ แต่เพื่อนหนุ่มกลับหัวเราะเบาๆ“ไม่ต้องกังวลหรอก ญาติพี่น้องพอมีช่วยเหลือกันได้อยู่ ตอนแรกกะว่าทุนรอนที่พอมี จะลองทำสวนดูสักตั้ง ว่าจะปลูกสมุนไพร”“อ๋อๆ ที่เคยเล่าไว้ใช่ไหม แล้วจะทำยังไงต่อ”“ก็คงต้องใช้รักษาพ่อเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน เพราะยังไงที่ดินให้คนอื่นเช่าอีกหลายเดือนกว่าจะหมดสัญญา”ฉันไม่อยากคิดว่า ในระหว่างที่เหมือนจะมีเรื่องร้ายๆ แต่บางอย่างก็กลับลงตัว ในเมื่อที่ดินยังไม่ได้คืน ทุนรอนก็ยังไม่พอ และพ่อก็ยังต้องรักษาตัวอยู่ ทุกอย่างถูกจัดวางราวกับกำหนดไว้แล้ว แน่นอนว่า เขายังเริ่มต้นความฝันนั้น ยังไม่ได้“ก็คงค่อยเป็นค่อยๆ ไปนะ กลับไปคราวนี้จะได้ไม่ต้องใจร้อนรีบกลับมา”ฉันเอ่ยแซวกึ่งให้กำลังใจ เพื่อนชายหัวเราะออกมาอย่างรู้ทัน“กลัวจะเห็นผมหอบผ้าผ่อนไปอีกน่ะสิ โอ้ยคราวนี้ไม่ต้องห่วง อยู่อีกนานเลยแหละ ถึงพ่อจะถอดเหล็กได้แล้ว ก็ไม่รู้จะเดินได้หรือเปล่า น้องชายก็อยู่คนละบ้าน แวะมาบ้างแต่เขาก็ต้องทำงาน ใครจะไปเฝ้าพ่อได้ทุกวัน”น้ำเสียงนั้นไม่เจือปนความน้อยใจ หรือไม่มีร่อยรอยของการกังวลแม้สักนิด ฉันไม่อยากคิดไปเองว่า น้ำเสียงเหงาๆ และแววตาเหม่อๆ ก่อนเขาจะไปวันก่อนนั้น มันหายไปหมดแล้ว

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม