Skip to main content

กว่า 7 เดือนมาแล้ว...
ที่ความป่วยไข้มาเยือนอย่างหนักหนาสาหัส
หลังจากที่ส่อแสดงความ "แปรปรวน" ของเหตุปัจจัยมาบ้างแล้ว
นับย้อนทวน ก็อาจเป็นเวลากว่า 1 ปี

ใครเคยมีประสบการณ์แห่งความเจ็บปวดทางกายมาบ้าง
คงพอเข้าใจได้ว่า..หากอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดบาดเจ็บ
กระทั่งทุพลภาพชั่วคราว
จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และความลังเลสงสัย
ที่ไม่รู้-ไม่แน่ใจ
ย่อมนำไปสู่เวทนา และตามมาด้วยการปรุงแต่ง
กระทั่งจบลงที่ความทุกข์อันทนได้ยาก

แต่ถ้าใครสักคน...
มีเหตุให้ต้องเจ็บปวดไปแทบทุกข้อกระดูก
ทุกเส้นเอ็น ทุกมัดกล้ามเนื้อ
และท้ายสุด ถึงกับปวดแปลบแสบร้อนไปทั่วผิวหนังแทบทั้งกาย
เขาอาจจะจินตนาการไปได้ไกลสุดกู่
หรือแทบหมดสิ้นกระบวนคิดเอาเลยทีเดียว

ผู้เขียนตกอยู่ในประเภทหลัง
และดูจะรุนแรงถึงระดับเกินเชื่อของใครต่อใครอยู่ไม่น้อย...

จากแรกเริ่มที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อกระดูกบางจุด
โดยย้ายไปมา ตามส่วนต่างๆ เช่น หัวไหล่ ข้อศอก ข้อเท้า ข้อมือ
จนมาหนักที่สุดที่เข่าซ้าย
ขณะนั้นสรุปง่ายๆ ว่าน้ำหนักเกินเกณฑ์มามาก

แถมยังเดินทางบ่อย เพื่อติดตามงานที่รับผิดชอบ
การบำบัดด้วยการนวดแผนไทยและประคบร้อน จึงพอคลี่คลายไปได้บ้าง

อาการเพิ่งแสดงความพิเศษของมันที่เข่าขวา
ที่นอกจากจะนวดไม่หาย ประคบไม่คลาย แถมยังทำท่าอักเสบบวมแดงร้อน
ถึงตอนนี้หลายคนอาจสรุปว่าคงเป็นผลจากกรดยูริค และโรคเกาต์
แต่ผลทางห้องปฏิบัติการไม่ตรงกันกับข้อสรุปพื้นๆ นั้นทีเดียวนัก

กระนั้น คุณหมอทางโรคข้อกระดูกท่านหนึ่งก็สรุปง่ายๆ เช่นนั้นไปด้วย

ผลก็คือ ต้องใช้ยาลดยูริค ทั้งที่ยูริคไม่มาก(จากผลแลป)
ต้องลดอาหารหลายประเภท เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบจากเกาต์

ปฏิบัติการนี้นานร่วม 2-3 เดือน
จนมีหมอพื้นบ้านชาวดาระอั้งทำยาประคบร้อนมาให้
จึงช่วยให้อาการดีขึ้น(บ้าง)
แต่ที่ทีเด็ดกว่านั้น คือชาวบ้าน ที่แสดงเจตนาดี(มากๆ)ด้วยความมีน้ำใจ
ในการนำยาน้ำสมุนไพรซื้อจากรถฉายหนังเร่มาให้ลอง

รู้ทั้งรู้ว่านั่นต้องประกอบด้วยสเตียรอยด์เป็นแน่
แต่ก็ฉลองศรัทธาต่อเนื่องไป 6-7 ขวด(ขนาดขวดสุราขาวทั่วไป)
ค่าที่มันหยุดทุกขเวทนาเก่าไปจนแทบหมดสิ้น
และหารู้ไม่ว่า หายนะกำลังจะมาเยี่ยมเยือนในไม่ช้า

เพราะหลังจากหาข้อมูลของสเตียรอยด์ได้มากพอ
ก็สามารถเทียบเคียงกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตนได้เอง
ว่ามีแบบแผน และการขยายผลขึ้นมาเช่นไร

น้ำหนักที่ลดลงระหว่างควบคุมอาหารหลายเดือน..ก่อนหน้าเริ่มยาหนังเร่
พลิกกลับมาเพิ่มขึ้นราวทวีคูณ ใบหน้ากลมบวมฉุยิ่งกว่าคนอ้วนทั่วไป
ข้อเท้าซ้ายขวาบริเวณตาตุ่ม เม็ดสีผิวหนังเปลี่ยนไป
เกิดตกกระ หลังมือหลังเท้าบวมพอง ฯลฯ

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นทำให้ตัดสินใจลดยาหนังเร่
จนหยุดไปในที่สุด พร้อมๆ กับความเจ็บปวดที่ย้อนกลับมาอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเก่า
ทำให้ต้องหันไปพึ่งยาแก้ปวด-บรรเทาปวดแผนใหม่
ที่มีการรับรองว่าอันตรายไม่มากนัก หลายต่อหลายชนิด

ดูราวกับว่า นี่เป็นช่วงชีวิตหนึ่ง
ที่ปฏิบัติตนเป็นหนูทดลองยาอย่างสมบูรณ์แบบ และเอาจริงเอาจัง
มีเภสัชกรบางท่าน ที่ร่วมมือด้วยอย่างลับๆ
เพราะสงสาร-เอ็นดู หรือมุ่งจะขายยาแรงๆ แพงๆ ให้คนป่วยโง่ๆ
ก็ไม่อาจทราบได้

และแล้ว...

ผลสรุปสุดท้าย ก็เป็นอย่างที่เล่าในตอนต้น
กล่าวคือ ความเจ็บปวดมาเยี่ยมเยือนแทบทุกข้อกระดูก
ทุกเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และผิวหนัง...

กระทั่งทำไม่ได้
แม้แต่จะเปลี่ยนอริยาบทพื้นๆ เช่น การขยับตัว หรือลุกขึ้นนั่งเอง
(ไม่ต้องกล่าวถึงการยืนและเดิน)

ความที่เป็นคนรังเกียจอาการโอดโอย คร่ำครวญ มาแต่ไหนแต่ไร
และมุ่งจะพิจารณาความเจ็บปวดให้เป็นอุบายกรรมฐาน
ยิ่งทำให้ใครต่อใครยิ่งเข้าใจผิด ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก

กว่าจะรู้และยอมเข้าใจ(หรือเชื่อ) จึงเล่นเอาคนเจ็บปางตาย
และ "รูมาตอยด์" -เจ้าโรคแห่งความปวดร้าวแสนสาหัส
เดินหน้าฝ่าแดดลมเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ
อยู่ร่วมกันกับผู้เขียนมากว่า 6-7 เดือน

ความทุกข์ทางกายนั้น ท่านว่าหากจิตไม่ทุกข์ด้วย
ก็ย่อมพอจะประคับประคองกายสังขาร
ให้ดำเนินไปตามกระแสแห่งกรรม ตามอัตภาพของตนๆ

ผู้เขียนเชื่อ และกล้ายืนยันเช่นนั้นด้วย
จากการพิสูจน์ของตน...ด้วยตัวของตัวเองมาแล้ว

หากแต่ต้องย้ำไว้สักนิด ว่าพลังแห่งสติและสัมปชัญญะขณะปวดเจ็บ
จำต้องอาศัยสมาธิจิต หรือพลังใจอย่างเหลือประมาณจริงๆ
และการสังเกตความเจ็บปวด เพื่อพิจารณามันอย่างเรียนรู้ที่จะไม่โกรธเกลียด
แม้จะให้ผลทางการยกระดับจิต
แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า กว่าจะฝ่าข้ามได้แต่ละครั้ง
เสี้ยววินาทีก็ยาวนานจนแทบเกินทน หรือทนแทบไม่ไหวเอาเสียเลย

ถึงวินาทีนี้ ที่กลับมาเริ่มเขียนบล้อคได้
ก็ใช่ว่าจะหายขาด
เพียงแต่สเตียรอยด์ได้กลับมายับยั้งอาการปวดอีกครั้งหนึ่ง...

ต่างจากครั้งแรกตรงที่ว่า...

คราวนี้มันมาในรูปยาเม็ด ที่สั่งโดยแพทย์ปริญญา
และชำนาญการเฉพาะทาง โดยอ้างแบบเขินๆ ว่าต้องใช้เพื่อระงับปวด
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองได้(บ้าง)

ความเรียงเรื่องความป่วยไข้ภาคแรกจบลงที่การเขียนบันทึกนี้
แต่ใครจะรู้ ว่าภาคต่อๆ ไปจะเป็นเช่นไร

ได้เล่นบทเป็นคนไม่ป่วย
หรือเหลือเพียงบันทึกให้ใครต่อใครอ่านกันในหนังสืองานศพ...

..........

ก็สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมิใช่หรือ?

บล็อกของ พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ

พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
นางคำ เหล้าหวาน ถูกจับกุมเมื่อต้นเดือนเมษายน 2551ในข้อหาประมาณว่า.."ประมาท ทำให้เกิดเพลิงไหม้ เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ฯลฯ.."เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 254816 วัน หลังจากนางคำพบศพพระสุพจน์ สุวโจซึ่งถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2548
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
กว่า 7 เดือนมาแล้ว...ที่ความป่วยไข้มาเยือนอย่างหนักหนาสาหัสหลังจากที่ส่อแสดงความ "แปรปรวน" ของเหตุปัจจัยมาบ้างแล้วนับย้อนทวน ก็อาจเป็นเวลากว่า 1 ปีใครเคยมีประสบการณ์แห่งความเจ็บปวดทางกายมาบ้างคงพอเข้าใจได้ว่า..หากอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดบาดเจ็บ กระทั่งทุพลภาพชั่วคราวจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และความลังเลสงสัยที่ไม่รู้-ไม่แน่ใจ ย่อมนำไปสู่เวทนา และตามมาด้วยการปรุงแต่ง กระทั่งจบลงที่ความทุกข์อันทนได้ยากแต่ถ้าใครสักคน...มีเหตุให้ต้องเจ็บปวดไปแทบทุกข้อกระดูกทุกเส้นเอ็น ทุกมัดกล้ามเนื้อและท้ายสุด…
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
  .............. ว่ากันว่า...โชคลาภวาสนาเป็นเรื่องชะตาลิขิต แต่ถึงอย่างนั้นในฐานะชาวพุทธ คงจะละเลยเรื่องเหตุปัจจัยและ "กรรม-วิบากกรรม" ไปไม่ได้ .............. จะอย่างไรก็แล้วแต่ถึงบัดนี้ คุณสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ผ่านขั้นตอนแบไทยๆ คือมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเรียบร้อยแล้วรอเพียงการเสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโปรดเกล้าฯ และเสนอนโยบายรัฐบาลผ่านสภาฯ ... คำปรามาสของใครต่อใครก็จะกลายเป็นการดูหมิ่นและอาจนำไปสู่ระดับที่คุณสมัครถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทไปได้ในที่สุด สรุปความได้ ว่า "นายกรัฐมนตรี คนที่ 25" คือ นายสมัคร…
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
  คุยกันเล่นๆ ในบางวันของชีวิตว่าเรามี "รัฐ" และ "รัฐบาล" ไปทำไม? บางคนตอบทีเล่นทีจริงแต่ค่อนข้างขมขื่น ว่า...ไม่ได้อยากมี มัน "มี" มาแล้วและมัน "มี" ของมันเอง ทำนองว่า... มีมาแต่ไหนแต่ไรหรือ "ที่ไหนๆ" และ "ใครๆ" ก็มีกัน อะไรทำนองนั้น...ประมาณนั้น ! "รัฐ" คือ อะไร? และมีความจำเป็นอย่างไร?ฟังดูเป็นวิชาการ และขึงขัง "เป็นงานเป็นการยิ่ง"... ลองค้นดูใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ พ.ศ.2542 ก็พบความหมาย(หรือคำแปล?) ว่า...รัฐ, รัฐ- [รัด, รัดถะ-] น. แคว้น เช่น รัฐปาหัง, บ้านเมือง เช่น กฎหมายสูงสุดของรัฐ, ประเทศ เช่น รัฐวาติกัน. (ป. รฏฺ?; ส. ราษฺฏฺร). อ่านแล้ว "งง" ไหม?…
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
  2 - 3 วันมานี้มีโอกาสอ่านบทความเชิงวิเคราะห์ เกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นเร็วๆ นี้ หลายต่อหลายชิ้น ที่เห็นพ้องกันว่า... สุดท้าย..พรรคแกนนำก็คงเป็น "พลังประชาชน"โดยมีพรรคการเมืองขนาดกลางและเล็ก เข้าร่วมด้วยทั้งหมดยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นพรรคการเมืองอีกฟาก... คอลัมนิสต์บางรายเชื่อว่านี่เป็นผลมาจาก "คณิตศาสตร์การเมือง" เกี่ยวกับจำนวน ส.ส.และความน่าจะเป็น ของชัยชนะจากการเลือกตั้ง และเลือกตั้งซ่อมตลอดจนสัดส่วน ของการแบ่งสรรตำแหน่งรัฐมนตรีที่พรรคพลังประชาชนสามารถตอบสนองได้ดีกว่าประชาธิปัตย์ แถมยังน่าจะมั่นคงกว่าเกี่ยวกับอนาคตของรัฐบาลผสม... บางคนบอกว่านี่เป็น…
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
เคยซื้อหนังสือ "ฟ้าเดียวกัน" ราย 3 เดือนมาอ่านอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ซื้อจาก "ลุงเสริฐ" ที่มักมีหนังสือทางเลือกมาขายแบกะดินตามงาน หรือตามกิจกรรม เคลื่อนไหว-รณรงค์ ต่างๆ อยู่เสมอก็ได้แต่ชื่นชมกับใครต่อใคร ว่าคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ช่างกล้าหาญและดูจะมากความสามารถเพราะประเด็นของ "ฟ้าเดียวกัน" แต่ละเล่ม เป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้ความสามารถในการ จัดการ-จัดทำ มากทีเดียว ต้องออกตัวไว้นิด ว่าไม่เคยอ่านเล่มไหนจบใน 3 เดือนเลยด้วยว่าเนื้อหามากมาย หนักหน่วง หลายประเด็นเกินสติปัญญาไปมาก... หลังๆ มาได้ข่าวอยู่ ว่าคุณธนาพล ซึ่งเป็นบรรณาธิการถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"ดูเหมือนจะพร้อมๆ กับ…
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
๑.การเมืองของนักเลือกตั้งเร่าร้อนยิ่งขึ้นทุกขณะการแถลงข่าวของบุคคล กลุ่ม ก๊วน และพรรค ตลอดจน "อนาคตพรรคการเมือง"มีขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับตลาดนัดในอดีต ที่มีทั้งปาหี่ คนเล่นกล พ่อค้าเร่และแม่ค้า "เจ้าประจำ" คุ้นหน้าสถานที่พบปะระหว่าง "ผู้ซื้อ" กับ "ผู้ขาย" นั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า "ตลาด" โดยมี "สินค้า" เป็นสื่อกลาง แลกเปลี่ยนความพึงใจระหว่างกัน...ในที่ชุมนุมเช่นนี้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง "คุณค่า" และ "มูลค่า"นอกจากจะมี "ความจริง" เป็นเครื่องเทียบเคียงแล้วดูเหมือนว่า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็มีส่วนอยู่ไม่น้อยสำหรับการตัดสิน หรือชี้วัดความพึงใจตลาดโดยทั่วไปมักเปิดเป็นประจำ…
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
๑. หลวงพ่อปัญญาพระเดชพระคุณ พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ “หลวงพ่อปัญญา” ของศิษยานุศิษย์ ละสังขาร หรือมรณภาพเสียแล้ว เมื่อเช้าวันที่ ๑๐ ตุลาคม ท่ามกลางความรู้สึกสูญเสียของผู้เกี่ยวข้องผู้เขียนไม่เคยมีโอกาสศึกษาธรรมะจากท่านโดยตรงไม่ว่าโดยการฟัง พูดคุย หรืออ่านหนังสืออีกทั้งยังไม่เคยได้รับใช้ใกล้ชิด หรือมีโอกาสได้จำพรรษาร่วมอารามกับท่านแม้สักพรรษาเดียวแต่ด้วยความที่เติบโตมาในจังหวัดบ้านเกิดของท่านบวชเรียนในวัดที่หลวงพ่อเคยชี้ให้ดูโคนต้นขนุนชราแล้วบอกว่า… ครั้งที่ท่านยังเป็นเด็กเลี้ยงวัว เคยนั่งพักร่มขนุนต้นนี้บ่อยๆในคราวหนึ่ง เมื่อท่านแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนวัดเล็กๆ วัดนั้นหลวงพ่อปัญญา…
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
หลายองค์กรชาวพุทธออกมา “คัดค้าน”การประกวด การตัดสิน และการให้รางวัล ผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งอย่างรุนแรง และต่อเนื่องกล่าวโทษถึงขั้นมุ่งร้าย และ/หรือ ทำลายพระพุทธศาสนาค่าที่ศิลปินผู้นั้นเขียนภาพ “ภิกษุสันดานกา”ในลักษณะอาการ ตำหนิ หรือติเตียน การกระทำสำหรับพฤติกรรมอันน่ารังเกียจอย่างที่ชาวโลกเห็นว่าผู้เป็น “สมณะ” ไม่ควรประพฤติแต่ในที่สุด กลุ่มบุคคล หรือองค์กร รวมทั้งหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติก็ได้พบว่า…มีชาวพุทธจำนวนหนึ่งเช่นกันที่ไม่เห็นด้วย เอือมระอา หรือรังเกียจ “การแสดงออก” ของตน หรือของพวกตน และมีบ้าง ที่ถึงขั้นกล่าวว่าเป็นอาการ “ร้อนตัว” “วัวสันหลังหวะ” หรือ “กินปูนร้อนท้อง”…