2 - 3 วันมานี้
มีโอกาสอ่านบทความเชิงวิเคราะห์ เกี่ยวกับรัฐบาลใหม่
ที่จะจัดตั้งขึ้นเร็วๆ นี้ หลายต่อหลายชิ้น ที่เห็นพ้องกันว่า...
สุดท้าย..พรรคแกนนำก็คงเป็น "พลังประชาชน"
โดยมีพรรคการเมืองขนาดกลางและเล็ก เข้าร่วมด้วยทั้งหมด
ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นพรรคการเมืองอีกฟาก...
คอลัมนิสต์บางรายเชื่อว่า
นี่เป็นผลมาจาก "คณิตศาสตร์การเมือง" เกี่ยวกับจำนวน ส.ส.
และความน่าจะเป็น ของชัยชนะจากการเลือกตั้ง และเลือกตั้งซ่อม
ตลอดจนสัดส่วน ของการแบ่งสรรตำแหน่งรัฐมนตรี
ที่พรรคพลังประชาชนสามารถตอบสนองได้ดีกว่าประชาธิปัตย์
แถมยังน่าจะมั่นคงกว่า
เกี่ยวกับอนาคตของรัฐบาลผสม...
บางคนบอกว่านี่เป็น "ธรรมชาติ" ของ "การเมืองไทยๆ"
ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับผลประโยชน์ และอำนาจ ของผู้เกี่ยวข้องเป็นด้านหลัก
แทนที่จะเชื่อมโยงไปถึงผลประโยชน์ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
หรือประชาชน และสังคมโดยรวม...
ดูเหมือนทุกอย่างจะสามารถอธิบายได้
ขอเพียงเราละวางมโนธรรมสำนึก และจริยธรรมทางการเมือง
ตลอดจนหัวใจและเป้าหมายของระบอบประชาธิปไตยไปเสีย
ไม่ต้องคิดไปถึง "ธรรมาธิปไตย" ดอก
นั่นมันเกินระดับสติปัญญาของใครต่อใคร ที่เป็น "นักเลือกตั้ง" มากเกินไป
และขณะเดียวกัน พูดอย่างนี้
ก็ไม่ได้หมายถึงใครดีใครเลว ในระดับพรรค หรือกลุ่มการเมือง
เพียงแต่ภาพที่ปรากฏมันแสดงออกว่าไม่อาย
และไร้สัจจะ อย่างที่กล่าวไว้เมื่อหาเสียง เพียงชั่วระยะไม่กี่วัน
เท่านั้นเอง...
ถึงจุดนี้ "ข่าวการเมือง" ดูจะเป็นเรื่องผะอืดผะอมไปอย่างสิ้นเชิง
และ "นักการเมือง" กลับกลายเป็นจำอวด หรือปาหี่ราคาถูกไปตามๆ กัน
ดีไม่ดี ก็ยิ่งแย่กว่าก่อนนี้เสียอีก...
ชาวบ้านบางคนถึงกับกล่าวว่า...
ยังไม่ทันไร ฝนก็ตกชะขี้หมูไหล ให้ใครต่อใครมารวมกันเสียแล้ว
ชนิดแทบจะหน้าไม่อายกันเอาเลย...
ข่าวคุณเสนาะ คุณบรรหาร คุณสุวัจน์
คุณสุรเกียรติ์ คุณสมศักดิ์ และใครต่อใคร หันไปซุกชนิดรวมมุ้ง
เพื่อหวังพึ่ง "ศักยภาพ" ของคุณทักษิณ
ทั้งด้าน "โอกาส" และ "กำไร"
บ่งบอกสภาพการณ์ทางการเมือง ชนิดไม่ต้องกล่าวคำใดๆ อีก
เช่นเดียวกับ "ข้าราชการ" ที่เริ่มชะเง้อชะแง้
เหลียวแลเบิ่งหา ว่าใครจะสวมหัวโขนมาเป็นนาย
อย่างน้อยก็จะได้ดักทางถูก หรือจัดแถวของตนเองกับเพื่อนๆ
ให้สอดคล้องกับ "นาย" ที่กำลังจะมาอยู่รำไร...
แน่ล่ะ...
คำและนิยามของ "คุณธรรม" - "จริยธรรม"
ทั้งทางรัฐกิจและการเมือง คงเลือนๆ ไป
และอาจจะถูกกล่าวถึงอีกครั้ง เมื่อเราจะไล่ใครออกไปสักคน
หรือจะมีการเลือกตั้ง และมีการหาเสียงในแต่ละท้องถิ่น
เช่นเดียวกับ
"ความจงรักภักดี" และ "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"
ที่ดูจะเป็นเครื่องมือ ซึ่งหน้าตาท่าทางละม้ายกันเหลือเกิน
ขึ้นอยู่กับว่า
ในที่สุด ใครจะใช้ และใช้กับใคร...เท่านั้นเอง
ฝ่ายวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า...
นักการเมืองที่เอ่ยชื่อมาข้างต้นอายุค่อนข้างมาก
และดูท่าว่าหลายคนก็รู้ดี
ว่ายามชราภาพ ตนเองคงไร้พื้นที่ ที่จะพักพิงอิงอาศัยในฐานะรัฐบุรุษ
(รัฐบุรุษโดยนิยาม หาใช่โดยการแต่งตั้งไม่)
จึงพากันกระโดดขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย อย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใดอีก
ชนิดใครจะติเตียน
หรือจะตำหนิ แล้วด่าซ้ำ อย่างสาดเสียเทเสียก็ยังยอม
ขอเพียงได้ร่วมรัฐบาลเป็นพอ...
นี่ก็เป็นตลกร้ายที่ออกจะน่าขมขื่นไม่น้อย
..............................................
อีกไม่นาน...
พวกเราก็จะมีตำนานหน้าใหม่
เช่นเดียวกันกับบันทึกของประวัติศาสตร์
ที่จำหลักเรื่องราวร้อยแปด
ไว้รอใครสักคน(หรือหลายคน)มาค้นพบ และยอมรับฟัง
เพียงเพื่อเราจะมั่งคง
และมั่นใจขึ้น ในการไม่เดินซ้ำรอยเดิม
...............................................
ตลาดความดีงามวายเสียแล้ว
เช่นเดียวกับตลาดของสัจจะ หลักการ
และความถูกต้อง...
กล่าวอย่างถึงที่สุด
ผู้ใช้สิทธิ์ และผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ตลอดจนรัฐบาล กกต. และพรรคการเมือง
ช่วยกันเล่นอะไรอยู่?
ประชาชนได้อะไรจากการเลือกตั้ง
ประชาชนได้อะไร จากระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
และกฏหมายแม่บทอย่างรัฐธรรมนูญ...
ยังเป็นคำถามที่รอคำตอบอยู่เช่นเคย...
และตอบยากยิ่งขึ้นทุกที
ว่าเราจะมีรัฐบาลใหม่ไปทำไม?
จะปฏิรูปการเมืองไปทำไม?
... ... ...