นางคำ เหล้าหวาน ถูกจับกุมเมื่อต้นเดือนเมษายน 2551
ในข้อหาประมาณว่า..
"ประมาท ทำให้เกิดเพลิงไหม้ เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ฯลฯ.."
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548
16 วัน หลังจากนางคำพบศพพระสุพจน์ สุวโจ
ซึ่งถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2548
2 ปีเศษมาแล้ว...
ระหว่างนั้น หลายฝ่ายเชื่อว่าการเผาบ้านนางคำ
น่าจะมีเหตุมาจากการรู้เห็นการกระทำผิดของคนร้าย
หรือมีความพยายามจะกดดันให้นางคำออกไปเสียจากสวนเมตตาธรรม
หรือกดดันให้นางคำให้การเพื่อปรักปรำผู้ที่เจ้าหน้าที่ประสงค์จะจับกุม
เพราะผู้กำกับการตำรวจภูธรอำเภอฝาง(ขณะนั้น)
ได้สั่งการให้สารวัตรสอบสวนมาพบผู้เขียนหลายครั้ง
พร้อมกับสำนวนกล่าวโทษผู้ต้องสงสัย
เพื่อให้ผู้เขียนลงชื่อเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์
แล้วจะจับกุมบุคคลเหล่านั้นไปควบคุมตัว
เพื่อ "รีด" ข้อมูลเกี่ยวกับคดีพระสุพจน์
ผู้เขียนปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ
ในวิธีการสกปรกเช่นนี้ไปอย่างน้อย 2 คดี
หนึ่งในนั้นคือคดีนางคำเผาบ้านตัวเอง
ที่ว่ามาข้างต้น
เวลาผ่านมาเกือบ 3 ปี
ที่ นางคำ เหล้าหวาน ยังทำงานอยู่ในสวนเมตตาธรรม
สถานที่ซึ่ง พระสุพจน์ สุวโจ ถูกฆ่าอย่างอำมหิต
และชาวบ้านแถบนั้นแทบจะไม่กล้าเยี่ยมกรายเข้ามา
เพราะเกรงอาญาเถื่อน
จากผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่รัฐบางคน
กระทั่งเมื่อเดือน มกราคม 2551
นางคำ เหล้าหวาน ได้ตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตคู่อีกครั้ง
และขออนุญาตออกไปก่อร่างสร้างตัว
สร้างกระท่อมเล็กๆ สำหรับครอบครัวใหม่
ไม่ไกลจากสวนเมตตาธรรมนัก
และแล้ว...
วันหนึ่งในต้นเดือนเมษายน 2551
ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนหนึ่ง
มาพบนางคำ และสามี
แจ้งว่าจะเชิญตัวไปสอบปากคำ โดยไม่ระบุข้อหา
ไม่มีการแสดงหมายศาล
ไม่มีการแจ้งว่าจะนำตัวไปควบคุม ในฐานะจำเลย
กระทั่งมืดค่ำ และสามีกับญาติพบว่าผิดสังเกต
จึงติดตามไปที่สถานีตำรวจ
จึงได้ทราบว่า นางคำ เหล้าหวาน
ได้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน ดังที่กล่าวแล้วในเบื้องต้น
โดยไม่สามารถประกันตัวได้
เพราะเจ้าหน้าที่ระบุว่า
ต้องใช้หลักทรัพย์หรือเงินสดประมาณ 200,000 บาท
อันเป็นเรื่องเกินกำลัง ทั้งของสถานปฏิบัติธรรม
และของญาติ ทั้งฝ่ายนางคำและสามี
เมื่อผู้เขียนทราบข่าว(ระหว่างที่รับกิจนิมนต์อยู่ที่กรุงเทพฯ)
จึงติดต่อกับกรรมการสิทธิมนุษยชน และทนายความ
เพราะเห็นว่ามีเงื่อนงำบางประการ ที่ผิดปกติวิสัย
เช่น ระหว่าง 2 ปีเศษ
ที่นางคำทำงานและพักอาศัยอยู่ในสวนเมตตาธรรม
เธอไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี
หรืออันที่จริงเธอไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ว่ามีคดีความค้างคาอยู่
ในช่วงเวลาดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.ฝาง
มารักษาการในสวนเมตตาธรรมอยู่เป็นระยะ
โดยคำสั่งของผู้กำกับการตำรวจภูธรฝาง อย่างเป็นทางการ
หากการจับกุมนางคำ เป็นไปดังที่ตำรวจระบุกับกรรมการสิทธิ์ฯ
ว่าเป็นเรื่อง "เคลียร์หมายศาลในคดีค้าง" ตามปกติจริง
ก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษาการในสวนเมตตาธรรม
และรู้จัก นางคำ เหล้าหวาน
(ผู้จัดอาหารเลี้ยงตำรวจในหลายๆ มื้อ) เป็นอย่างดี
จะไม่เป็นการ "ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่" ดอกหรือ?
หรือแม้แต่นายตำรวจระดับสูงแห่ง สภ.ฝาง
ที่เข้าออกสวนเมตตาธรรม
หรือเป็นผู้สอบปากคำนางคำในคดีพระสุพจน์อยู่เอง
จะอ้างว่าไม่ทราบ
ไม่รู้ไม่เห็นหมายศาลในคดีนางคำเผาบ้านตัวเองได้ล่ะหรือ?
และที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ
เหตุใดการจับกุมตัวนางคำ เหล้าหวาน
จึงต้องมาเกิดขึ้น หลังจากคณะทนายฯ จากสภาทนายความ
มาพบและสอบปากคำนางคำเพิ่มเติมเพียงไม่ถึงสัปดาห์?
...............
ล่าสุด...
อัยการได้สรุปสำนวน และสั่งฟ้อง นางคำ เหล้าหวาน
และศาลจังหวัดฝาง ได้ประทับรับฟ้องคดีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยแจ้งว่า...
คำให้การของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(คุณสุนี ไชยรส)
และพระภิกษุแห่งสวนเมตตาธรรม
ตลอดจนเจ้าหน้าที่มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์
และเพื่อนคนงานของนางคำ..ที่ระบุตรงกัน
ว่า "คืนเกิดเหตุนางคำมิได้อยู่ในบ้านดังกล่าว
อีกทั้งยังไม่มีเหตุอันควรเชื่อ
ว่านางคำจะประมาท หรือเจตนา เป็นเหตุให้เพลิงไหม้ ฯลฯ"
ไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้
จึงต้องสั่งฟ้อง กระทั่งศาลได้ประทับรับฟ้องดังที่ได้กล่าวแล้ว
...............
นางคำ เหล้าหวาน เป็นสตรีอายุสามสิบปีเศษ
มีเชื้อสายไทยใหญ่จากรัฐฉาน ประเทศพม่า
แม้ว่าจะเกิดในประเทศไทย แต่ก็มิได้มีสัญชาติไทย
ต้องใช้บัตรประจำตัวบุคคลในพื้นที่สูง หรือบัตรชนเผ่า
พักอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ บนพื้นที่ของคริสตจักรกับสามี
โดยประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป
รายได้รวมกัน 2 คน ประมาณวันละไม่เกินสองร้อยบาทเศษ
บัดนี้เธอถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำฝาง
จำนวนการฝากขังต่อเนื่อง 5 ครั้งเป็นเวลาเดือนเศษ
โดยไร้ความสามารถสามารถจะประกันตัวได้
คำถามที่น่าสนใจก็คือ...
คดีอาญา หรือความอาญา เช่นคดีของนางคำ
สตรีผู้สิ้นไร้ไม้ตอก ที่บังเอิญไฟไหม้บ้าน
(หรือถูกลอบวางเพลิงโดยคนฆ่าพระสุพจน์)
และเจ้าของบ้านนั้นไม่ติดใจเอาความ
หรือประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ
จะมีประโยชน์โภชน์ผลใดๆ กับแผ่นดิน
หากจะต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล
และสุดท้าย
หากใช้กลวิธี หรือกโลบายทางกฎหมาย
พิจารณาจนทำให้สตรีนางนี้ต้องจำคุก?
ขณะที่คดีอื่นๆ ที่สำคัญยิ่งกว่า
และเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชนจำนวนมาก
กลับถูกละเลย หรือปล่อยให้ขาดอายุความ
หรือถูกทำให้ "สำนวนอ่อน-ไม่พอฟ้อง"
อยู่อีกมากต่อมาก...
กระทั่งมีเสียงติฉินต่อๆ กันมา
ว่าทุกส่วนงานของกระบวนการยุติธรรม
ตั้งแต่ชั้นต้นจนระดับสูงสุด
สามารถ "ซื้อ" หรือ "สั่ง" ได้เสมอ
ขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้น "รวย" หรือ "มีอำนาจ"
มากพอหรือไม่เท่านั้น
วันที่ 30 มิถุนายน 2551 "คดีนางคำ" จะขึ้นศาลนัดแรก
โดยศาลสั่งตั้งทนายให้
(หลังจากที่ผู้เขียนร้องขอทนายจากสภาทนายความ
แต่ไม่มีใครให้ความสนใจช่วยเหลืออย่างจริงจัง..ดังที่ควรจะเป็น)
เชื่อว่าถึงวันนั้น นอกจากสมาชิก "สวนเมตตาธรรม"
คงไม่มีใครไปให้กำลังใจกันสักกี่คน
ด้านหนึ่งเพราะคนในพื้นที่หวาดกลัว
และอีกด้าน
ก็เพราะเธอเป็นเพียงสตรีชายขอบ เป็นคนเล็กคนน้อย
และ "ไม่ใช่คนไทย"
ตามมาตรฐานของรัฐชาติที่เธอถือกำเนิด
หากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หากอัยการ
และหากศาล
จะใส่ใจกับคดีการฆาตกรรม พระสุพจน์ สุวโจ
สักเพียงครึ่งหนึ่งของความขมีขมันที่จะเอานางคำเข้าคุก
โยมพ่อและโยมแม่ของพระสุพจน์ ก็คงจะคลายทุกข์โศก
เช่นเดียวกับผู้ร่วมชะตากรรม หรือผู้เสียหาย
จากความสามานย์ของกระบวนการยุติธรรมทุกที่และทุกคน
ที่นับวันจะสิ้นหวังจากกระบวนการอยุติธรรมเช่นที่เป็นอยู่
...............
ทุกท่านสามารถส่งไปรษณียบัตร
ไปขอบคุณความตั้งใจทำงานของอัยการจังหวัดฝาง
ได้ที่..สำนักงานอัยการจังหวัดฝาง อำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่ 50110
หรือให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ได้ที่...ผู้กำกับการตำรวจภูธรฝาง
สถานีตำรวจภูธรฝาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 50110
กรุณาอย่าส่งจดหมายหรือไปรษณียบัตรไปถึงนางคำที่เรือนจำฝาง
เพราะเธออ่านหรือเขียนตัวอักษร
หรือหนังสือของชาติใดๆ ไม่ได้...
แม้แต่วันที่พิมพ์มือรับทราบหมายศาลและข้อกล่าวหา
เธอก็ไม่เคยทราบ ว่าข้อความนั้นๆ ระบุไว้ว่าอย่างไร...
ขอบคุณกระบวนการยุติธรรมสามานย์
ที่สอนให้คนเล็กคนน้อยได้ตระหนัก
ว่าพวกเขามีแต่จะต้องพึ่งพาตนเอง
และร่วมมือระหว่างกันและกันเท่านั้น
จึงจะพ้นทุกข์ไปได้...