Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กิตติพันธ์ กันจินะ
มาถึงเชียงใหม่แสงแดดยามเช้าตรู่ ปลุกให้ผมตื่นจากการหลับใหล – เวลาทั้งคืนที่ผ่านมา, ผมนอนไม่ค่อยหลับ กระวนกระวายใจ และไม่เป็นอันหลับอันนอน ไม่รู้ว่าพี่บัวจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเป็นจะตายยังไง เป็นเรื่องที่คิดมาตลอดเส้นทางพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรงกับฝั่งที่ผมนั่งบนรถ พนักงานบริกรประจำรถพาร่างเล็กๆ ของเขาหยิบข้าวของขนมหวานนมกล่องให้ผู้โดยสารแต่ละคน “ท่านผู้โดยสารทุกท่าน เรายินดีนำท่านมาสู่จังหวัดเชียงใหม่....” พนักงานหญิงแจ้งข่าวแก่ผู้โดยสาร ด้วยท่าทีกระฉับเฉงอรชร เชียงใหม่เช้านี้ ท้องฟ้าไม่ค่อยมีเมฆมาก พระอาทิตย์สีแดงที่เส้นขอบฟ้า ปล่อยแสงแสบปวดตา ผมลงจากรถทัวร์คันใหญ่ เดินมุงหน้าไปหารถแดง เพื่อโบกไปยังบ้านเพื่อนที่เชียงใหม่เรื่องที่เกิดขึ้นผมเข้ามาถึงบ้านเพื่อนไม่นานก็รี่เข้าไปหาปลั๊กไฟสำหรับชาร์ทแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือคู่ใจ เพื่อที่จะโทรกลับไปหาเต้ยเพื่อติดตามอาการของพี่บัวเสียงสัญญาณรอสายดังไม่ถึงสองครั้ง “เออ พี่เมื่อคืนตัดสายทิ้งทำไมอ่ะ” เต้ยรีบพูด“โทษๆ เมื่อคืนแบตมือถือหมด” ผมตอบรับและถามว่า พี่บัวเป็นไงบ้าง“ช่วยไม่ได้แล้ว พี่ต้องทำใจแล้วละ ตอนนี้ทุกคนอยู่นี้หมดเลย” เสียงเศร้าของเต้ยบอกให้ผมทำใจ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น“จริงเหรอ! หมอช่วยไม่ได้เลยเหรอ”“อืม.....เขาก็คงทำเต็มที่แล้ว”“แล้วพ่อแม่พี่บัวรู้หรือยัง เขามาหรือยัง”“ยังไม่รู้มั่ง เพราะไม่เห็นใครมาเลย ตอนนี้พวกเราก็อยู่กันเต็มเลย” “แล้วเกิดอะไรขึ้น สรุปแล้วใครยิงพี่บัว” เต้ยเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “ได้ข่าวว่ามีคนยิงผิดตัว เพราะมีคนตั้งค่าหัวไอ้โจ้แต่เข้าใจว่าคนเก็บมันเก็บผิดคน เลยโดนพี่บัว”“โดน.....”  “ก็โดนที่หลังเต็มๆ เลยไง นัดเดียว กำลังกินข้าวอยู่ข้างทางกับไอ้นัน”“ตอนนี้ผมว่ามาดูอาการพี่บัวดีกว่า ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ แล้วค่อยว่ากัน”“อืมๆ ได้ๆ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะ” ผมวางสายเสร็จ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า และมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลด้วยความระทมใจเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลผมมาถึงโรงพยาบาล ไม่ทันจังหวะที่เกิดเรื่องเรื่องของเรื่องคือ พอวางสายจากผม เต้ย กับเพื่อนๆ หลายคนที่มาเฝ้าพี่บัวก็ถูกพ่อแม่ของพี่บัวต่อว่า ทุกๆ คนออกมาอยู่ที่ด้านนอกโรงพยาบาล เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่“มาถึงก็บอกว่าที่พี่บัวเป็นอย่างนี้ก็เพราะพวกเรา บอกว่าติดเพื่อนมากไป ไม่กลับบ้าน ไม่ใส่ใจอะไรมากมาย แล้วแม่เขาก็บอกว่าเพราะพวกเราพี่บัวเลยโดนยิง” เต้ยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่แม่พี่บัวต่อว่า ด้วยน้ำเสียงน้อยใจ“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนกัน” ผมสงสัย “คงอยู่ด้านใน พี่บัวไม่รอดแน่เลยพี่” เต้ยเสียงสั่นผมรีบบึ้งรถมอเตอร์ไซค์จากด้านนอกโรงพยาบาลไปยังด้านในอาคารแล้วรีบขึ้นไปหาพี่บัวที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทำให้ต้องรอลิฟต์นานเอาการผมรอไม่ไหวจึงรีบขึ้นบันไดไปยังชั้น 4 ที่ด้านหน้าห้องไอซียู มีผู้ใหญ่สองคน นั่นคือพ่อและแม่ของพี่บัว“อ้าว ว่าไงเรา ไปไหนมา ไม่เห็นหน้าเลยนะ” หญิงวัยกลางคนถามผม ด้วยความที่เคยเจอกันหลายครั้ง จึงจำหนาค่าตาผมได้ “ผมพึ่งกลับจากกรุงเทพครับ รู้ข่าวเมื่อคืนจากเพื่อนๆ ครับ” ผมตอบกลับ“ไอ้เด็กพวกนั้นเหรอ” พ่อร่างโตหน้าตาเคร่งเครียดถาม“คะ..ค...ครับ” “เพราะพวกนั้นแหละบัวเลยโดยแบบนี้” น้ำเสียงใหญ่ของพ่อพี่บัวบอกถึงความโกรธในใจ “แต่ผมว่าไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ พวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน ทุกคนรักและรู้จัก เคยกินอยู่กับพี่บัวด้วยกัน เหมือนกันกับผม” “แต่ดูแต่ละคนสิ แต่งตัวไม่ดี ผมยาวรุงรัง สักเต็มตัว แล้วจะเป็นคนดีได้ยังไง” แม่ให้เหตุผลอืม...คนดีไม่ดี มันดูกันภายนอกหรือยังไงครับ – ผมคิดในใจก่อนพูดออกมาว่า “ดีครับ ไม่อย่างนั้นเขาจะมาหาพี่บัว มาเฝ้าอาการที่โรงบาลเหรอครับ” พ่อกับแม่พี่บัวนิ่ง ไม่พูดอะไรออกมาอีกผมชวนทั้งสองคุย “แล้วตอนนี้อาการล่าสุดของพี่บัวเป็นยังไงบ้างครับ ได้ยินว่าโอกาสรอดยากมาก” “อืม คงช่วยไม่ได้แล้วละ โดนยิงเต็มๆ ที่ด้านหลัง รู้ว่าหมอพยายามช่วย แต่คงไม่รอดอย่างที่เขาบอก” แม่หยิบผ้าเช็คหน้าปาดน้ำตาที่ไหลออกจากเบ้าพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เขายืนมองภายในด้านในห้องผู้ป่วย“ทำใจเย็นๆ ไว้นะครับ” ผมให้กำลังใจคุณแม่“เพราะแม่เองที่ไม่ดูแลเขา ฮือ....แม่ไม่น่าจะทำแบบนั้นกับบัวเลย” แม่ว่าร้ายเข้าตัวเอง“ผมว่าไม่ต้องว่าใครผิดใครถูกครับ ทุกอย่างเป็นไปตามชะตาชีวิตแล้วและครับ” ผมเริ่มตั้งสติทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดครู่หนึ่ง หมอสูงอายุในชุดขาว ผ้าคุมปาก เดินมาทางพวกเรา“ผมเสียใจด้วยนะครับ ลูกของคุณท่านสองสิ้นใจแล้ว……”คุณหมอพูดสั้นๆ แม่พี่บัวล้มลงกับพื้นผมรีบเข้าไปประคอง ส่วนคุณพ่อยังมีทีท่าสงบไม่พูดคุยอะไรนอกจากจะเดินไปคุยอะไรบ้างอย่างกับคุณหมอส่วนผมก็ค่อยๆ พยุงแม่พี่บัวไปหาเก้าอี้ น้ำตาผมไหลออกมา แล้วรีบโทรศัพท์ไปบอกเต้ยกับเพื่อนๆ “ว่าไงพี่” เต้ยรับสาย“แก… พี่บัวไปแล้ว” เสียงสั่นไหวไปทั่วลำคอ“ผมจะรีบไปหาพี่” เต้ยรีบวางแล้ววิ่งมายังห้องไอซียูแด่พี่ที่พรากลาหมอไม่สามารถช่วยชีวิตของพี่บัวได้ จนในที่สุดเขาจึงได้จบชีวิตลงก่อนเวลาอันควร    พ่อ แม่ ของเขา และพวกเรา พี่น้องเพื่อนฝูง เศร้าและเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไป ตำรวจชุดใหญ่ถูกตั้งขึ้นเพื่อสืบสวนสอบสวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พ่อแม่ของพี่บัว เตรียมการจัดงานฌาปนกิจศพของลูกด้วยความโศกอาดูร ที่งานศพของพี่บัว ผมช่วยงานทุกคืน พวกเราทุกคน,  คนที่ใครๆ เรียกว่าเด็กแก๊งมางานศพของรุ่นพี่ด้วยความอาลัย และระลึกถึงรุ่นพี่ด้วยความคำนึงหา หนังสือเล่มใหญ่หนากว่าร้อยหน้าที่พี่บัวเขียนถึงคนแต่ละคนที่เขารู้จัก ทั้งเพื่อนฝูง ญาติ พี่น้อง ครูบาอาจารย์และคนอื่นๆ อีกมากมาย – ผมไม่รู้ว่าพี่บัวทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่อย่างน้อยก็ได้ทำในสิ่งที่เขาหวังและฝัน ชีวิตของคนเราเกิดขึ้น มีชีวิตและต้องจากโลกไปด้วยวัฎจักรของชีวิตตามหลักสัจธรรม คนอย่างพี่บัว เป็นคนที่น่าจดจำในฐานะพี่ เพื่อน ที่ทำให้ผมได้เข้าใจ เข้าถึง ชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมตราหน้าว่าไม่ดี แต่ผมว่าคนเราไม่มีใครดีจริงหรือเลวสุดๆ ไม่มีขาว ไม่มีดำ คนอย่างเรา, ก็แค่คนสีเทาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
สุมาตร ภูลายยาว
ภาพของชายชราวัย ๗๕ ปี กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บริเวณระเบียงกระท่อมแจ่มชัดขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ กุ้งสีชมพูขนาดนิ้วก้อยหลายสิบตัวนอนนิ่งอยู่ในจานเบื้องหน้าของชายชรา ถัดจากจานกุ้งไปเป็นถ้วยน้ำพริกปลาร้าที่กินเหลือจากเมื่อวานรายการอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดคืออาหารมื้อเย็นสำหรับชายชรา     ลูกแมวสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาล ตัวหนึ่งสีขาว หมอบคลอเคลียอยู่ด้านข้าง นานครั้งมันจะเดินมาหยอกล้อเล่นกัน พอหยอกล้อกันจนหนำใจมันก็กลับไปนอนนิ่งอยู่ที่เดิม บนท้องฟ้าอาทิตย์อัสดงลงไปไม่นานนัก ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างเป็นสีฟ้าเริ่มกลายเป็นสีดำหลังจากอิ่มหนำสำราญ ชายชราก็จัดแจงเก็บกระติ๊บข้าวไว้บนกล่องโฟมที่ห้อยแขวนลงมาจากด้านบนของกระท่อม ในกล่องโฟมมีทั้งพริก เกลือ หัวหอม กระเทียม เมื่อจัดแจงเก็บของทุกอย่างเสร็จสิ้น ชายชราก็ลุกไปดื่มน้ำ และกลับมานั่งที่เดิม จากนั้นก็ควักยาเส้นจากกระป๋องมาม้วนดูด เนิ่นนานที่ควันบุหรี่ลอยหายไปในความมืด หลังแสงไฟวูบสุดท้ายจากปลายบุหรี่แดงขึ้น ชายชราก็ดีดบุหรี่มวนนั้นทิ้งออกไปในความมืดพูดเรื่องบุหรี่แล้ว ชายชราคิดมาหลายครั้งว่าจะเลิก และก็ลองทำดูแล้ว แต่เอาเข้าจริงแกก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หาปลาว่ายากแล้ว แต่การเลิกบุหรี่ยังยากกว่าเป็นหลายเท่านอกกระท่อมตอนนี้ความมืดโอบคลุมทุกทิศทุกทางไว้ด้วยอ้อมแขนอันมหึมาแห่งรัตติกาล... หลังดาวประจำเมืองปรากฏ แสงไฟจากไส้ตะเกียงก็สว่างวูบขึ้น ความมืดที่รัศมีของแสงไฟส่องถึงจางหายไป แต่ความสว่างของมันก็กินบริเวณไม่กว้างมากนัก หากมีคนหรือวัตถุสิ่งใดผ่านมาคงไม่อาจรับรู้ได้ หากเจ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นไม่เข้ามาในรัศมีของแสงไฟลูกแมวทั้งสองตัวเดินวนรอบตะเกียง ๒-๓ รอบ และเดินกลับไปนอนนิ่งอยู่ริมระเบียงกระท่อมด้านนอก สายลมหนาววูบใหญ่พัดมาเย็นเยือก ชายชรานั่งนิ่งเหม่อมองออกไปนอกกระท่อมอย่างไร้จุดหมายปลายทาง...พระจันทร์เสี้ยวข้างแรมห้อยแขวนอยู่มุมหนึ่งของท้องฟ้า ดาวดวงน้อยกระพริบพร่างพรายระยิบระยับ หลังดีดก้นบุหรี่ก้นที่สองทิ้งไป เสียงกระแอมไอก็ดังขึ้น ในห้วงอารมณ์นั้น ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าชายชราคิดเรื่องใดอยู่ในใจลูกแมวทั้งสองตัวที่นอนนิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อชายชราขยับที่นอน เสื่อผืน หมอนใบ และมุ้งสีขาวเก่าซีดจนความขาวของมันมลายหายไป เครื่องนอนทุกอย่างถูกจัดวางในตำแหน่งเดิมเช่นทุกวันที่ผ่านมา หลังผูกหูมุ้งเรียบร้อย แสงไฟจากตะเกียงก็ดับวูบลง อาณาบริเวณรอบกระท่อมจึงเดินทางไปสู่ความมืดแม้ว่าชายชราจะไม่ใช่ผู้ทรงศีล และวิถีทางที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่วิถีทางของผู้ทรงศีล แต่ก่อนจะล้มตัวลงนอน ชายชราก็ไม่ลืมสวดมนต์ไหว้พระ ในความดึกสงัดของค่ำคืนมีเพียงแมลงกลางคืนระงมร้องขับกล่อมรัตติกาล... เนิ่นนานที่ชายชราเดินทางไปสู่การหลับ หลังจากพระจันทร์ข้างแรมเดินทางมาถึงครึ่งขอบฟ้า แกก็ขยับตัวลุกขึ้น และเดินออกมานอกกระท่อม แสงไฟจากไฟฉายสาดส่องไปตามทางเดินเล็กๆ ลงไปสู่ท่าน้ำ  ตรงท่าน้ำมีเรือลำหนึ่งจอดสงบนิ่งอยู่ หลังปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดได้แล้ว ชายชราก็แก้เชือกที่ผูกเรือไว้กับเสาไม้ไผ่ริมฝั่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเรือ และค่อยๆ พายออกไปจากท่าเสียงไม้พายกระทบกับสายน้ำดังฝ่าความมืดมา หากไม่เพ่งมองให้แจ่มชัดก็ยากจะรู้ได้ว่าในความมืดนั้นมีคนกับเรือ ชายชราบังคับเรือไม่ให้ไกลจากริมฝั่ง โดยเรือมุ่งหน้าล่องตามน้ำลงไป ไม่นานนักก็ถึงจุดหมาย ห่างออกไปจากริมฝั่งประมาณ ๑ เมตร ตรงนั้นมีเสาไม้ไผ่ขนาดย่อมปักอยู่ในน้ำ บริเวณโคนเสามีเชือกผูกกับกิ่งไม้ติดอยู่ เมื่อไปถึงชายชราก็ยกกิ่งไม้ขึ้น จากนั้นก็ใช้สวิงช้อนเข้าด้านใต้ของกิ่งไม้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งเขย่ากิ่งไม้อย่างแรง เพื่อให้กุ้งที่เข้าไปอาศัยในกิ่งไม้หล่นลงในสวิง เมื่อแน่ใจว่ากุ้งในกิ่งไม้หล่นลงในสวิงหมดแล้ว แกก็พายเรือไปสู่เป้าหมายใหม่ต่อไปเวลาในการทำงานของชายชราผ่านไปเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง เมื่อไปถึงเป้าหมายสุดท้าย เสียงไก่ขันครั้งแรกของค่ำคืนก็ดังข้ามมาจากอีกฟากฝั่งน้ำ...ชายชราเบนหัวเรือให้กลับมาทางเดิมอีกครั้ง เมื่อมาถึงเสาต้นเดิมก็จัดแจงผูกเรือเข้ากับเสาไม้ไผ่ หลังจากผูกเรือเสร็จก็เอากุ้งใส่ลงในกระชังแช่ไว้ในน้ำ หลังภารกิจเสร็จสิ้น ชายชราก็เดินกลับขึ้นมาตามทางเดิม แสงไฟจากไฟฉายส่องสว่างน้อยลงกว่าเดิม เพราะแบ็ตเตอรี่เหลือน้อยเต็มที แม้ว่าแสงสว่างจะมีน้อย แต่หาได้เป็นอุปสรรคไม่ เพราะทุกตารางเมตรบนพื้นที่แห่งนี้ ชายชราย่ำเหยียบมาหลายร้อยหลายพันครั้ง หากเปรียบเทียบระยะทางเดินขึ้น-ลงจากกระท่อมไปท่าน้ำในแต่ละวัน ชายชราคงเดินทางไกลไม่ต่ำกว่า ๗-๘ กิโลเมตรต่อวันเมื่อมาถึงกระท่อม แมวสองตัวก็ส่งเสียงร้องทักออกมาพร้อมกับเดินเข้ามาหา หลังจากนั่งลงบนพื้นกระท่อมเรียบร้อย แสงไฟจากตะเกียงก็สว่างวูบขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับแสงไฟจากปลายบุหรี่ที่วูบแดงขึ้นเป็นครั้งคราว เมื่อชายชราสูดควันเข้าปอดหลังจากแสงไฟจากตะเกียงดับลง เสียงไก่ขันครั้งที่ ๒ ของค่ำคืนก็ดังฝ่าความมืดข้ามฝั่งน้ำมา สิ้นเสียงไก่ขัน ชายชราก็ล้มตัวลงนอน และเดินทางไปสู่การหลับ ในห้วงแห่งการหลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่า ชายชราฝันถึงเรื่องราวใด แต่หากลองสันนิษฐานดูแล้ว สำหรับคนหาปลา ในห้วงเวลาแห่งการหลับไหล คนหาปลาจะฝันถึงสิ่งใด นอกจากปลาตัวโตติดเบ็ด เพราะปลาที่ได้จะเดินทางออกจากแม่น้ำ เพื่อไปแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นกลับมาสู่ผู้เป็นเจ้าของเบ็ดมีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า คนแก่นอนน้อยและตื่นเช้า คำกล่าวนี้คงเป็นจริง เพราะก่อนฟ้าสาง แม้ว่าจะหนาวเหน็บ ชายชราก็ลุกขึ้นมาก่อไฟนึ่งข้าว หลังจากคดข้าวใส่กระติ๊บเรียบร้อย แสงแรกของวันก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ชายชราก็มุ่งหน้าสู่ท่าน้ำ เพื่อเอาเรือออกเก็บกู้เบ็ด กู้มอง-ตาข่ายที่ใส่ไว้ตั้งแต่ตอนเย็นเมื่อวานเมื่อขึ้นไปนั่งบนเรือเรียบร้อย ชายชราก็ติดเครื่องยนต์เรือ หลังเครื่องยนต์ติดเรียบร้อย ชายชราก็บังคับเรือทวนน้ำขึ้นเหนือ สายน้ำแตกกระเซ็นเป็นสายเข้ามาในเรือทุกครั้ง เมื่อชายชราเร่งเครื่องยนต์เรือ การขับเรือในช่วงหน้าแล้งขับยากกว่าในช่วงหน้าน้ำหลาก เพราะช่วงหน้าแล้งแก่งที่จมอยู่ใต้น้ำจะโผล่พ้นน้ำ คนขับเรือต้องคอยหลบแก่งให้ดี ที่สำคัญน้ำตรงใกล้แก่งจะไหลแรง บางแห่งก็ไหลวน ถ้าบังคับเรือไม่ดีแล้วก็มีสิทธิพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา หาการทำสมาธิหมายถึงการนิ่งและตั้งใจแน่วแน่ คงไม่แปลกนักถ้าจะกล่าวว่าการขับเรือก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่งสำหรับชายชราการขับเรือก็ไม่ต่างอะไรจากการขับรถ เพราะเรือต้องถูกบังคับให้วิ่งไปตามร่องน้ำที่เคยวิ่ง เช่นกันรถก็ต้องถูกบังคับให้วิ่งไปตามเลนของถนนที่กำหนดไว้ แต่หากว่าออกนอกเส้นทางเมื่อไหร่ก็ยากจะเป็นการคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ว่ากันว่าคนที่ขับเรือเก่งๆ ในสายน้ำสายนี้ กลางคืนไร้แสงไฟ พวกเขาสามารถพาเรือกลับถึงหมายปลายทางได้โดยปลอดภัย การขับเรือในเวลากลางคืน คนขับเรือจะอาศัยจดจำทิวทัศน์สองฟากริมฝั่งน้ำเป็นเครื่องหมายในการเดินเรือ ช่วงวัยหนุ่ม ชายชราเป็นคนหนึ่งที่ขับเรือในเวลากลางคืนได้ดี แต่เมื่อสังขารเดินทางมาถึงช่วงปลายของการดำรงอยู่ในสภาพความเป็นมนุษย์ การขับเรือในเวลากลางคืนจึงเป็นสิ่งถูกยกเว้นสำหรับชายชราหากย้อนกลับไปเมื่อวานตอนเย็น หลังจากเรือลำสุดท้ายบนสายน้ำเงียบเสียงลงในตอนค่ำ แม่น้ำก็เหมือนจมอยู่กับความเงียบ เช้านี้แม่น้ำจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความเงียบงันอีกครั้ง...หลังบังคับเรือฝ่าลมหนาวมาประมาณ ๑๐ นาที ชายชราก็ข้ามมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายน้ำ ตรงที่ชายชราจอดเรือคือพื้นที่วางเบ็ดที่แกเคยวางเป็นประจำ จากจุดนี้มองกลับไปข้างหลังสามารถมองเห็นกระท่อมที่เพิ่งจากมาได้ พระอาทิตย์ยามเช้าค่อยสูงขึ้นเป็นลำดับ โมงยามของวันเริ่มเคลื่อนย้ายไปตามการหมุนรอบดวงอาทิตย์ของโลก หากลองเปรียบเทียบระหว่างชายชรากับพระอาทิตย์ ในตอนนี้ชายชราไม่ใช่พระอาทิตย์กำลังขึ้น แต่กลับกัน ชายชราคือ พระอาทิตย์ที่กำลังคืบคลานสู่ห้วงยามอัสดงแม้ว่าพระอาทิตย์ยามเช้าของฤดูหนาวจะงดงามเพียงใด ชายชราในวัย ๗๕ คงไม่มีเวลามานั่งชื่นชมความงามของยามเช้ามากนัก คงเพราะชายชราเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาหลายปีแล้ว และยามเช้ามีความสำคัญสำหรับชายชรามากกว่าการมานั่งดูความงาม เพราะการขึ้นมาของพระอาทิตย์ เป็นเครื่องมือเร่งรัดในการทำงานสำหรับชายชราให้เร็วขึ้นกว่าเดิม...หลังพระอาทิตย์พ้นยอดเขาทางทิศตะวันออก นกฝูงหนึ่งก็โผบินจากเหนือลงใต้ เช่นกันเมื่อฟ้าเป็นของนก น้ำก็ย่อมเป็นของปลา นกอพยพมักเดินทางกันเป็นฝูง ปลาก็เช่นเดียวกัน การอพยพขึ้น-ลงของปลาก็ไปเป็นฝูง จะมีปลาบางชนิดเท่านั้นที่อพยพเคลื่อนย้ายเพียงลำพัง การอพยพของปลาไม่ได้อพยพเพียงชนิดเดียว แต่มีปลาหลายชนิดอพยพขึ้นเหนือพร้อมๆ กัน นอกจากปลาจะอพยพขึ้นมาพร้อมกันหลายชนิดแล้ว ปลายังอพยพขึ้นมาพร้อมกับสัตว์ชนิดอื่นด้วย มีเรื่องเล่าจากคนหาปลาว่า ปลากับนกบางชนิดเป็นสิ่งคู่กัน โดยเฉพาะปลาบึกกับนกนางนวล ทุกครั้งเมื่อคนหาปลาจะลงมือจับปลาบึก พวกเขาต้องสังเกตว่านกนางนวลบินขึ้นมาหรือยัง หากนกนางนวลบินขึ้นมาจากทางใต้แล้ว วันต่อมาปลาบึกก็จะขึ้นตามมาหรือบางทีนกนางนวลก็บินมาพร้อมกับปลาบึก หากเห็นนกนางนวล คนหาปลาก็จะลงไหลมองจับปลาบึกเรื่องเล่าเกี่ยวกับการอพยพของปลากับนกหาได้มีในเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศลาวตรงสีพันดอนยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาและนกอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องเล่าที่ว่านี้เป็นเรื่องเล่าของนกสีดาและปลาข่า หากวันใดปลาข่าจะขึ้นมา นกสีดาก็จะขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่บอกว่า ในภพชาติที่แล้วปลาข่ากับนกสีดาเป็นคู่รักกัน เมื่อสิ้นภพสิ้นชาติด้วยความมั่นคงในความรัก ในภพชาติปัจจุบันพวกมันจึงเป็นสิ่งเกื้อหนุนกัน เพราะเมื่อปลาข่าขึ้นมา ปลาอีกหลายชนิดก็จะว่ายตามมาด้วย เมื่อปลาข่าว่ายขึ้นมาปลาเล็กๆ ชนิดอื่นก็จะว่ายตามขึ้นมาด้วย พอนกนางสีดามองเห็น มันก็จะคอยไปจับกินปลาอยู่ใกล้ๆ ปลาข่า ธรรมชาติต่างเกิดมาเพื่อเกื้อหนุนสรรพสิ่งไม่เลือกว่าจะเป็นสนิดใด แม่แต่กับมนุษย์เอง ธรรมชาติก็ได้เกื้อหนุนมนุษย์เช่นกันแสงแดดของวันเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ หลังจมอยู่กับการเก็บกู้เบ็ดเนิ่นนาน ชายชราก็หันหัวเรือมุ่งหน้ากลับมาตามทางเดิม ตอนไปกลับตอนกลับมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนไปเรือวิ่งได้ช้า เพราะวิ่งทวนน้ำ แต่ตอนกลับเรือวิ่งได้เร็วขึ้น เพราะล่องลงมาตามน้ำเมื่อกลับมาถึงท่าน้ำ ชายชราก็จัดแจงผูกเรือกับเสาไม้ไผ่เสาเดิม เมื่อผูกเรือเสร็จ แมวสองตัวก็กระโดดขึ้นไปบนหัวเรือ จากนั้นมันก็ค่อยๆ เดินไปหาชายชรา เมื่อไปถึงชายชราก็หยิบกุ้งจากกระป๋องเอาวางให้มันกิน หลังกินหมด แมวทั้งสองตัวก็เดินกลับมาทางหัวเรืออีกครั้งหลังแมวทั้งสองตัวกระโดดลงจากเรือ ชายชราก็เดินมาทางหัวเรือแล้วนั่งลงใช้มือดึงเชือกผูกกระชังให้เข้ามาใกล้เรือ เมื่อกระชังมาถึงเรือ แกก็หยิบเอาปลาจากท้องเรือใส่ลงในกระชังแล้วปล่อยให้กระชังไหลกลับไปที่เดิมในการเอาเรือออกสู่แม่น้ำแต่ละครั้ง ชายชรามีเป้าหมายอะไรมากไปกว่าการหาปลาหรือไม่ คงไม่มีใครล่วงรู้ได้ บางทีในการออกหาปลาแต่ละครั้ง ชายชราอาจต้องการเพิ่มเติมจำนวนปลาให้มากขึ้นกว่าครั้งก่อน หรือบางทีชายชราอาจต้องการสร้างหลักไมล์ในการเดินทางไปบนแม่น้ำให้กับตัวเอง หรือบางทีชายชราอาจไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ นี่อาจเป็นการทำงานอย่างหนึ่งที่เคยทำอยู่ทุกวันก็เป็นได้ คำถามนี้ ชายชราคงจะเป็นคนคลี่คลายความสงสัยด้วยตัวแกเอง...
แพ็ท โรเจ้อร์
พัทยาลาก่อน   ร้องโดย รุ่งฤดี แพ่งผ่องใสลมทะเล พัดมาหาดพัทยา ครวญคลั่งฟังเหมือนมนต์ภวังค์วอนหวีดหวัง ครางว่ายังรักเธอ รักเธอพร่ำเพ้อละเมอ รอท่ายังฝืนกลืน น้ำตาฝันจนกว่า ชีพวาย*ครวญครางไป ใยกันเกลียวคลื่นนั้นมัน ชวนวิ่งว่ายแล้วล่ม ร่างร้างตายหาย อาวรณ์ลาแล้วลา ขอลาโอ้พัทยา ลาก่อนชีวิตคือ ละครฉันมันอ่อนโลกเอย(เนื้อเพลงและฟังเพลงได้ที่ blue balloon, bloggang.com)สองวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปพัทยาเพราะต้องพาคนสนิทไปพักผ่อน ตามที่สัญญากันไว้ คนสนิทเป็นวัยรุ่นช่วงกลางเกือบปลาย เป็นคนยุคใหม่ที่เรียกว่าไม่มองอะไรเกินกว่าตัวกู อันนี้ไม่รวมกับกระบวนการพัฒนาทางจิตวิทยาที่เป็นในทุกรุ่น ทุกสังคม  นั่นคือการที่มั่นใจแบบผิดๆเพราะแรงมาก ยังดีที่คนสนิทนี้ยังไม่ใจแตก ไม่ปล่อยชีวิตจนเสียคนในกรอบสังคมทั่วไป อันนี้ถือว่าเป็นโชคของพ่อแม่และผู้เขียนเอง และที่สำคัญตัวของคนสนิทผู้นี้เองด้วยการไปพัทยาคราวนี้ เป็นแบบจู่โจมพอสมควร ไม่ได้เตรียมตัวมากมายนัก เช็คดูปรากฏว่ามีวันหยุด เลยไปได้ เพราะปกติแล้วผู้เขียนเองก็ทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ถึงไม่ได้เข้าที่ทำงาน ก็เอางานมาทำที่บ้าน วันเสาร์นั้นพอดีเคลียร์งานและฝากงานกับเพื่อนร่วมงานเสร็จ ก็ออกจาก กทม.มุ่งสู่พัทยา  แต่รถก็ติดไปตลอดทางบนมอเตอร์เวย์ นึกเสียดายเงินค่าธรรมเนียมใช้ทาง  จำได้ว่าเมื่อสิบปีก่อนที่ใช้ รถก็ไม่ได้น้อยกว่าตอนนี้เท่าไร แต่การก่อสร้างระหว่างทางมีน้อยกว่าตอนนี้มาก ไม่แน่ใจว่า ใจคอจะสร้างเสริมไปอีกเจ็ดชั่วโคตรรึเปล่า คิดในใจว่าตอนที่คิดสร้างนี่ ไม่ได้คิดเผื่ออนาคตเลยหรือไรเมื่อถึงพัทยาก็ได้เข้าพักที่โรงแรม เช็คอินด้วยความเรียบร้อยแต่เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว มีผู้คนเข้ามาพักมากมายและบางคนก็เช็คอินในเวลาใกล้ๆกัน  น่าดีใจแทนโรงแรมที่มีคนมาเข้าพักมาก มากกว่าสมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กๆ สมัยนั้น คนไทยไม่นิยมท่องเที่ยวขนาดนี้ คนชั้นกลางไม่คิดถึงการท่องเที่ยวมากขนาดนี้ การพักในโรงแรมถือเป็นของเกินความจำเป็นในสมัยก่อน ทางออกตอนนั้นคือการพักบ้านเพื่อนฝูงญาติมิตร  ปัจจุบันคนชั้นกลางหรือต่ำกว่ามีโอกาสท่องเที่ยวและพักโรงแรมมากขึ้น  คนไทยเที่ยวมากขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเที่ยวเป็น เพราะการเที่ยวเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการมีมารยาทสากลสมัยก่อนจำได้ว่ามีเรื่องเล่าตลกๆว่า คนไทยไม่ว่ากรุงหรือชนบทเข้าพักและใช้ห้องน้ำในโรงแรมชั้นดีหน่อยยังต้องกักน้ำในอ่างน้ำ บางคนต้องเอาขันน้ำใบพอดีๆ ติดตัวไปด้วย ส่วนผ้าขนหนูเช็ดตัวก็ขนเอาไปเช่นกัน เครื่องใช้ส่วนตัวก็ขนกันไป เดี๋ยวนี้โรงแรมมีให้เกือบหมด นี่ก็ยังมีตลกเล็กน้อยที่เพื่อนของคนสนิทยังคงขนผ้าเช็ดตัวไปด้วย เห็นแล้วขำเอ็นดูน่าจะเป็นเพราะมีความเชื่อว่าผ้าในโรงแรมสกปรกเพราะใช้มากันหลายคน แต่เค้าคงลืมไปว่า โรงแรมขนาดสามดาวขึ้นเดี๋ยวนี้ต้องใช้เครื่องซักและอบอย่างดี และมีการฆ่าเชื้อ เอาเป็นว่าเป็นไปแล้วการเดินทางบ่อยๆและใช้ชีวิตต่างแดนเป็นระยะนานๆ แบบผู้เขียนมีผลดีตรงนี้คือสามารถเข้าใจการเดินทางได้ดี และไม่เก้อเขินในการใช้ชีวิตแบบสากลแบบนั้น อันนี้เป็นเรื่องของการมีโอกาสโดยแท้ สมัยผู้เขียนจบตรีใหม่ๆ มีคนบ้าเรื่องการใช้ชีวิตแบบนี้ ถึงขนาดเปิดเป็นโรงเรียนสอนมารยาทสากล ว่าไปก็ดีที่เป็นการเปิดหูเปิดตาตนเอง แต่ที่แย่คือเป็นการสอนแบบเปลือกๆว่าชีวิตฝรั่งเป็นแบบนี้  ทั้งที่จริงๆ ไม่ใช่ฝรั่งทุกคนเป็นแบบนี้ และการที่ผู้เขียนไปอยู่ต่างประเทศกว่าครึ่งของชีวิต ก็เป็นการบอกว่าคนที่ผ่านชีวิตแบบฝรั่งก็ไม่ได้เข้าถึงชีวิตแบบ “ไฮ คัลเจ้อร์” ของฝรั่ง เพราะคนที่รวยๆ ของฝรั่งก็ไม่ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่นักเรียนไทยไปเรียน ถึงเค้าจะเรียน เค้าก็ไม่สุงสิงกับนักเรียนกะเหรี่ยงอย่างเรา เพราะว่าเค้ามีวงสังคมของเค้าหลายครั้งที่ผู้เขียนนั่งปลงว่าพวกอดีตนักเรียนนอกหลายคนชอบทำตัวว่าเอาวัฒนธรรมฝรั่งเข้ามาแล้สบอกว่าตนเองเป็นคนชั้นสูง โดยลืมมองว่าวัฒนธรรมฝรั่งที่ตนเองเอามาเป็นแค่วัฒนธรรมปกติของฝรั่งตรงนั้นเท่านั้น เพียงแต่ว่าคุณภาพชีวิตของคนธรรมดาในประเทศที่พัฒนาแล้วมันสูงกว่าคนธรรมดาในประเทศด้อยพัฒนาอย่างชัดเจนเท่านั้น แม้ว่าในปัจจุบันสังคมไทยนี้จะดีกว่าแต่ก่อนในด้านเปลือกๆ แต่ในด้านแนวคิดหลักๆทางสังคม ก็ยังห่างไกลสังคมตรงนั้นอีกหลายช่วงตัวเมื่อพูดถึงเรื่อง “ความแตกต่าง” ผู้เขียนพบว่าพัทยานี่เป็นเมืองแห่งเซ็กซ์และบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบจริงๆ ว่าไปแล้วพัทยาเหมือนบางส่วนของกทม.ที่จำลองไปติดชายทะเล ความเป็นตะวันตกมากกว่ากทม.ในหลายเรื่อง เช่นความเปิดเผยเรื่องอาชีพพิเศษ แต่ก็มีความเป็นชนบทในเวลาเดียวกัน เพราะคนไทยตรงนั้นจะมี “การสลับรหัส” ในการติดต่อกับคนต่างชาติและกับคนไทยด้วยกันอย่างชัดเจน  ความเป็นบ้านนอกคือการที่ยังคิดอะไรแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่ความเป็นตะวันตกคือการที่มีกินมีใช้อย่างสะดวกสบาย แต่งตัวแบบคนตะวันตก อย่างไรก็ตามเท่าที่ดูสถานที่ที่จะบ่มเพาะวิธีคิดแบบเป็นระบบให้สังคมฉลาดขึ้นในพื้นที่พัทยาไม่มีเลย เช่น สถาบันการศึกษาชั้นสูงที่เน้นสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์  (ที่มีก็ออกมาข้างนอกพอสมควร) คนสนิทของผู้เขียนและเพื่อนตื่นตาตื่นใจกับชีวิตแสงสีที่พัทยา พวกเขาทั้งหมดสนุกกับชีวิตแบบตรงนั้น ทำให้ผู้เขียนมองย้อนกลับไปการไปเที่ยวพัทยาครั้งแรกในชีวิตเมื่อปี 2523 ไปกับที่บ้าน ตอนนั้นพัทยาไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าเดี๋ยวนี้ ซากของการเป็นที่ตากอากาศของทหารสหรัฐฯยังมีให้เห็น เส้นทางค่อนข้างสะดวกในสมัยนั้น รถไม่ติด มีโรงแรมไม่กี่แห่ง และไม่มีแสงสีมากแบบเดี๋ยวนี้ จากนั้นผู้เขียนก็ไปอีกกับเพื่อนๆ และจากนั้นก้ขับรถไปเองเมื่อแม่ให้รถมาใช้ส่วนตัว เวลาเครียดๆ ก็ไปพัทยา ไปหาโรงแรมพอใช้ได้ ไปพักคนเดียว  จนกระทั่งเวลากลับมาธุระเมืองไทยก็ไปแต่พัทยา แต่ทุกครั้งที่ไปไม่ได้รู้สึกเหมือนครั้งนี้ เพราะงานนี้เหมือนเป็นผู้ปกครองพาลูกๆ ไปเที่ยว มุมมองต่างออกไป วัยตนเองก็เปลี่ยน พัทยาก็เปลี่ยน  คนที่ไปด้วยก็เปลี่ยน เหมือนหนังฝรั่งที่พยายามให้เห็นภาพของชีวิตในแต่ละจุดของชีวิต หรืออย่างหนังไทยง่ายๆ เช่น “แฟนฉัน” ก็เช่นกันการเดินทาง การเรียนรู้ในชีวิต เป็นสิ่งที่บอกกับผู้เขียนว่าการที่เราจะส่งต่อแนวความคิดให้คนรุ่นต่อๆไปให้ทราบถึงความเป็นไปในอดีตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กว่าที่ผู้ใหญ่วันนี้จะเป็นตัวตนก็ย่อมผ่านเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต หลายครั้งเราพยายามนึกว่าคนรุ่นใหม่ต้องคิดอย่างเรา อันนี้เป็นการเห็นแก่ตัวของคนรุ่นก่อนมากเกินไป อย่างไรก็ตามคนรุ่นใหม่ควรที่จะมองคนรุ่นก่อนอย่างเข้าใจด้วยเช่นกัน หลายครั้งที่ผู้เขียนได้แต่ถอนหายใจกับความใจร้อนและไม่เข้าท่าของคนรุ่นเด็กกว่า และความเห็นแก่ตัวบ้าอำนาจของคนรุ่นแก่กว่าผู้เขียน ที่มักมองข้ามมิติของกาลเวลาที่ทำให้ความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นอย่างที่ไม่ควรจะเกิดเรื่องความต่างแบบนี้เป็นเรื่องที่สังคมไทยไม่เคยแม้แต่จะคิดแก้ แต่มักใช้การเงียบ การปล่อยให้ผ่านไปตามกาลเวลาเป็นตัวแก้ปัญหา อันนี้แปลกใจนักว่าทำไมคนที่ว่าเก่งๆฉลาดๆ ไม่รู้จักนำมาใช้กัน จนสังคมนี้ขาดมิติไปเสียทุกเรื่อง เพราะการไม่ยอมพยายามจัดการความแตกต่างนั่นเองเพลง “พัทยาลาก่อน” เป็นเพลงเก่าๆที่คนในยุคผู้เขียนยังพอจำได้ ซึ่งก็ให้ภาพในสองมิติคืออันแรกให้เห็นว่าในอดีตสังคมไทยเป็นอย่างไร และอีกมิติหนึ่งคือ เพลงเก่าๆ ก็จะหายสาบสูญไปตามกาลเวลา เอามาให้ฟังเพราะๆ ก็แล้วกัน
ช้องนาง วิพุธานุพงษ์
Doctors are the same as lawyers; the only difference is that lawyers merely rob you, whereas doctors rob you and kill you too.Anton Chekhov*เคยได้ยินไหมคะ ที่ใครๆเขาว่าทนายเป็นอาชีพที่ทำมาหากินบนความทุกข์ของคนอื่นในฐานะคนข้างเคียงในวงการ จะออกอาการว่าเห็นด้วยเสียเหลือเกินก็คงไม่ได้ แต่จะให้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็ดูจะขัดแย้งกับความรู้สึกยังไงอยู่เอาเป็นว่าขอเถียงแทนเพื่อนนิดหนึ่งก็แล้วกัน ว่าการเป็นทนายไม่ใช่เรื่องของการทำมาหากินบนความทุกข์ของคนอื่นหรอกนะคะ แต่เป็นการแบกรับความทุกข์ของคนอื่น ไว้บนความทุกข์ของตัวเองอีกทีต่างหาก (ฮา)ปัจจุบันทนายความในประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 53,236 คน (ข้อมูลจากสภาทนายความฯ) กว่าจะมาเป็นทนายในประเทศไทยต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง นับแต่ผ่านด่านเอนทรานซ์ครั้งแรกเมื่อตอนอายุสิบแปด ผ่านกระบวนการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยอย่างน้อยๆ อีกสี่ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นสำหรับบางคน ผ่านการฝึกงานในสำนักงานทนายความ ทั้งแบบที่ได้รับเงินเดือนและไม่ได้รับเงินเดือนอีกหนึ่งปีสุดท้าย ยังต้องฝ่าด่านอรหันต์ในการสอบ “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ตั๋วทนาย” ซึ่งใช้เวลาประมาณปีหนึ่งเป็นอย่างน้อย สำหรับคนที่สอบครั้งเดียวผ่าน รวมๆ แล้วกว่าจะได้มาเป็นทนาย กินระยะเวลาในชีวิตอย่างน้อยๆ ก็ 5-6 ปี เกือบๆ เท่าหมอหรือสถาปนิกนั่นเชียวที่กล่าวมาทั้งหมดคือขั้นตอนคร่าวๆ สู่การประกอบวิชาชีพทนายความในประเทศไทยแล้วทนายความในประเทศอื่นเขามีความเป็นมากันอย่างไร ลองมาดูกันนะคะในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อนบ้านซึ่งกำลังโด่งดังเหลือเกินในหมู่วัยรุ่นบ้านเราเวลานี้ ทนายความในเกาหลีใต้เริ่มเรียนกฎหมายในระดับมหาวิทยาลัยเหมือนกันกับของบ้านเรา ระยะเวลาการเรียนก็เท่าๆกัน คือสี่ปีโดยประมาณ แต่กว่าจะได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทนายความอย่างเต็มภาคภูมินั้น การสอบ “เนติบัณฑิต” ให้ผ่าน ถือเป็นปราการด่านสำคัญ ที่น้อยคนนักจะเอาชีวิตรอดผ่านไปได้ สำหรับประเทศไทย การสอบ “เนติบัณฑิต” และ “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ” แยกออกจากกันอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่า หลังจบนิติศาสตร์บัณฑิตแล้ว หากคุณมีความประสงค์จะประกอบอาชีพทนายความในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณต้องสอบ “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ” ให้ได้เสียก่อน ส่วน “เนติบัณฑิต” นั้น เป็นเรื่องที่ค่อยว่ากันไป จะสอบหรือไม่สอบก็ได้ จะผ่านหรือไม่ผ่านก็ได้ ไม่เกี่ยวกันตรงกันข้าม หากคุณสอบไล่ได้ความรู้ชั้น “เนติบัณฑิต” แล้ว แต่ทำยังไงๆ ก็สอบ “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ” ไม่ผ่านเสียที จะยังไงเสียคุณก็ไม่มีโอกาสเป็นทนายเข้าไปความว่าความในศาลได้แน่นอน สำหรับนักกฎหมายไทย ตามความเป็นจริง หรือแม้กระทั่งในความรู้สึกของหลายๆคน กล่าวกันว่า การสอบ “เนติบัณฑิต” นั้น ยากเย็นแสนเข็ญหนักหนาสาหัสกว่าการสอบ “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ” หลายต่อหลายเท่า ทำให้เกิดมโนทัศน์แปลกๆ ว่าทนายความที่มีตรา “เนติบัณฑิต” พ่วงท้ายมาด้วย จะมีความสามารถเหนือกว่าทนายความที่มีแต่ “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ” อย่างเดียว แต่ในความเป็นจริง ทนายใบอนุญาตที่ประสบความสำเร็จสูงกว่าทนายเนติบัณฑิต มีให้เห็นออกถม!กลับมาที่เกาหลีใต้กันต่อนะคะ การประกอบอาชีพทนายความในบ้านเราแยกออกเป็นสองระบบอย่างนี้ แต่ในเกาหลีเขามีระบบเดียว คือ “เนติบัณฑิต” การวัดคะแนนของผู้ที่จะสอบผ่านเนติบัณฑิตในเกาหลีใต้ ใช้ระบบอิงกลุ่ม ไม่อิงเกณฑ์ ดังนั้นการที่คุณจะสอบผ่านหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับว่า คนที่นั่งข้างๆ คุณทำได้ดีแค่ไหนด้วย ผู้ที่รอดชีวิตผ่านการสอบเนติบัณฑิตในประเทศเกาหลีใต้มาได้ มีจำนวนประมาณ 5% ของผู้เข้าสอบทั้งหมดทั้ง 5% นี้ ต้องไปเข้ารับการฝึกอบรมโดยกระทรวงยุติธรรมอีกสองปี โดยได้รับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาล โดยผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดจำนวน 30% ของผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมทั้งหมดจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการ ส่วนพวกที่ทำคะแนนได้ท้ายๆ ลงมานั้น ถึงจะมีสิทธิเป็นทนายความที่พิเศษอย่างยิ่งคือ การสอบเนติบัณฑิตที่นี่ไม่จำกัดวงเฉพาะผู้ที่จบ “นิติศาสตร์บัณฑิต” เท่านั้นนี่คือคำตอบที่ว่าเหตุใดการสอบเนติบัณฑิตในประเทศนี้จึงยากเย็นยิ่งนัก เนื่องจากมีผู้เข้าสอบจำนวนมากมายมหาศาล และใช้ระบบการวัดคะแนนแบบอิงกลุ่มนายโนห์ มูเฮียน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนปัจจุบัน จบการศึกษาแค่ระดับ High school เท่านั้น แต่สามารถสอบเนติบัณฑิตผ่านได้ จึงเป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับคนเกาหลีค่ะ *Anton Chekhov นักเขียนบทละครและเรื่องสั้นสมัยใหม่ ชาวรัสเซีย ค.ศ.1860-1904
กวีประชาไท
* "เมื่อเสียงปืน ปัง ปัง ฝั่งตะวันตก"อกสะทกใจสะท้านด้วย พรั่นไหว"ม่านบุรี" แห่งประชาฯลุกสู้ เพื่อเป็นไทเผด็จการฟัสซิสม์ใจดำอำมหิต เริ่มรัวปืนบางคราการต่อสู้ เลือด ต้องรินหลั่งโหมพลัง "ลุ ก ขึ้ น สู้" ปลุกคนตื่นประชาชน - ประชาชาติทั่วโลก พร้อมหยัดยืนพลังใจ เร่งพลิกฟื้น สังคมทราม !!!ต้องต่อสู้ทุกรูปแบบ...ไร้กระบวนท่าทั้งใต้ผืนพสุธา มิคร้ามขามทั้งบนดิน – เบื้องฟ้า...วับวาววามโหมไฟให้ไหม้ลาม ทั่วปฐพีเมื่อเสียงปืน ปั๊ง เปรี้ยง กลางเมืองหลวงประชาปวงลุกสู้ ผู้กดขี่เมื่อรวมพลังทั้งโลก เข้าราวี"ก็รู้ว่า "ป ระ ชา ชี" จักชิงชัย !!!"แ ส ง ดา ว   ศ รั ท ธา มั่ นต้นเหมันตฤดู, ตุลาตม 2550, ล้านนาอิสรา, เจียงใหม่ * ในเครื่องหมายดอกจันฑ์ คือ ถ้อยกวีของ "ภราดร-ติภาพ"
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ท้องฟ้าและท้องน้ำดูจะละลายตัวเข้าหากัน หากไม่มีอ่าวริมน้ำแห่งนั้นขวางกั้นเอาไว้ ...ปลายสุดของสะพานฝั่งมอญ หมู่บ้านคนมอญสงบงัน ไร้เสียง เหมือนชีวิตของพวกเค้า ...\พี่เย็นเกิดที่เมืองไทย พ่อแม่มาจากฝั่งโน้น(ฝั่งพม่า) ถือบัตรสีชมพู (ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า) ก่อนจะแปลงสัญชาติเพิ่งได้สัญชาติไทยมาหนึ่งปี ส่วนสามีไม่มีบัตรอะไรทางอำเภอได้เข้ามาสำรวจแล้วแต่ยังไม่ได้ถ่ายบัตร ตอนนี้ถือหางบัตรพี่เย็นมีลูก 2 คน ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน เรียนที่โรงเรียนบ้านเด็กป่าลูกชายมีสูจิบัตรและได้รับสัญชาติไทยพร้อมแม่ ส่วนลูกสาวแจ้งเกินกำหนดไป 2 วันและจะต้องไปหาพยานมายืนยันว่าเกิดที่ดินแดนไทยและต้องจ่ายค่าพยานเป็นเงินจำนวนหนึ่งจนแล้วจนรอดไม่มีใครเป็นพยานให้วันนี้ ลูกสาวของเธอยังเป็นเด็กไม่มีสัญชาติ...เด็กๆ กำลังสนุกสนานกับการกระโดดน้ำบนสะพานมอญผืนน้ำสีเขียวจะแตกกระจายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าใต้สะพาน ชีวิตพี่เย็นว่างเปล่าลูกชายของเธอสภาพความเป็นอยู่ของพี่เย็น
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง ก็อาจล้มเลิกความตั้งใจเสียง่ายๆสำหรับผม ซึ่งมีความรู้สึกเบื้องแรกคือ การเข้าร่วมโครงการคลับคล้ายกับการมาเข้าค่ายเป็นเวลาหนึ่งปี อาจชัดเจนในจุดประสงค์มากกว่าผู้เข้าร่วมบางท่าน แต่นั่นก็ด้วยวัยวุฒิที่มากกว่า ทั้งไม่ได้หมายความว่า ในเบื้องปลาย ผมและคุณจะได้รับประสบการณ์อย่างเดียวกัน เพราะแม้ว่าเราจะมาอยู่ร่วมกันเนื่องจากความสนใจที่คล้ายกัน ทว่า เราแต่ละคนย่อมสร้างประสบการณ์จากแนวคิดที่เรามีเกี่ยวกับตัวเอง และแนวคิดที่เรามีเกี่ยวกับตัวเองย่อมจะแตกต่างกันเราทุกคนมีเรื่องที่สนใจ และเรื่องที่เราสนใจนั้น คือแนวคิดที่เรามีเกี่ยวกับตัวเอง เราจะมีแนวคิดเกี่ยวกับตัวเองไปตลอดจนกว่าเราจะลงมือปฏิบัติ เมื่อได้ปฏิบัติเราจึงได้รับประสบการณ์ ประสบการณ์ [2]  นั้นคือความรู้สึกว่าเราได้ “เป็น” ดังที่เราได้คาดการณ์ไว้ ยิ่งทำมากตัวเราก็ยิ่งชัดมากขึ้น ยิ่งสร้างสรรค์ศักยภาพก็ยิ่งปรากฎ ผมสนใจเรื่องการทำอาหาร แต่หากผมไม่ได้มาลองทำอาหารที่ the land ผมก็คงไม่มีโอกาสรู้ว่าผมทำอาหารเป็นด้วย  ผมสนใจเรื่องศิลปะ แต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ เช่นเดียวกัน หากเปลี่ยนจาก “ผม” เป็น “คุณ” แนวคิดเกี่ยวกับตนเองของคุณ ก็คือสิ่งที่รอการพิสูจน์ และสิ่งที่ได้พิสูจน์แล้วจะเปลี่ยนเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับตนเองคุณอาจรู้ว่าตนเองเป็นคนรักธรรมชาติ รักศิลปะ แต่หากคุณไม่ทำอะไรที่แสดงถึงความรักต่อธรรมชาติ ต่อศิลปะ คุณย่อมมีเพียงแนวคิดเกี่ยวกับตนเองคำถามสำคัญก็คือ อะไรคือตัวตนสูงสุดของคุณที่คุณต้องการจะเป็น ... ? หน้าที่ของเราคือแสดงมันออกมา มันอยู่ข้างในตัวเรานี่เองดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า concept เกี่ยวกับตัวเรา เป็นชุดปฏิบัติการที่รอการปฏิบัติ และ the land คือ workshop หลายมิติที่พร้อมจะรองรับปฏิบัติการของเราแต่ละคน  และ - - ย่อมมีการเปรียบเทียบเป็นธรรมดาเพราะ the land ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างที่บางคนคิดว่าควรจะมี หรือควรจะเป็น บางคนคิดว่า the land น่าจะเป็นชุมชนต้นแบบเกษตรกรรมธรรมชาติ เศรษฐกิจพอเพียง หรืออย่างน้อยก็มีแหล่งอาหารตามธรรมชาติที่สมบูรณ์กว่านี้ แต่ผมกลับเห็นต่างออกไปthe land มีเสน่ห์เพราะมันเป็นพื้นที่ทดลอง ผู้เข้าร่วมโครงการมีสิทธิ์จะทดลองใช้ชีวิต ทดลองงานความคิด หรือ ทดลองปฏิบัติการบางอย่าง ซึ่งคุณไม่อาจไปทดลองในพื้นที่อื่นได้ concept ของที่นี่จึงไม่ควรจะเป็นอย่างอื่นเราอาจทดลองทำการเกษตร แต่ที่นี่ไม่ควรกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานด้านการเกษตรเราอาจทดลองสร้างงานศิลปะ แต่ที่นี่ไม่ควรกลายเป็น galleryเราอาจทดลองนั่งวิปัสสนา แต่ที่นี่ไม่ควรกลายเป็นสถานปฏิบัติธรรมผมรู้สึกกับ the land อย่างนั้น จึงมาที่นี่ด้วยความสมัครใจและสบายใจ ผมเห็นป๊อบทดลองทำราวตากผ้าจากไม้ไผ่ เห็นน้อยเนื้อทดลองจับปลาด้วยบุ้งกี๋ เห็นเน้ตทดลองทำกล้วยตาก เห็นไม้ทดลองปลูกผัก เห็นพี่ทอมทดลองเพื่อการทดลอง และเห็นว่ามีหลายคนพร้อมจะทดลองทานอาหารที่ผมทำ แต่ละคนล้วนสนุกกับการทดลอง  แต่ละคนล้วนได้ประสบการณ์จากการทดลองความต่างของปัจเจกที่มาอยู่รวมกันจึงคล้ายพรรณไม้หลากสีในระบบนิเวศน์เขตร้อน ขณะที่ความคิดรวมหมู่ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การทดลองและการสร้างสรรค์ เป็นพลังงานเข้มข้นที่รอการเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมทั้งที่เห็นด้วยตา และเห็นด้วยใจใครจะรู้ - - การทดลองบางอย่างอาจจะสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่ล้วนเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆผมจึงตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นการทดลองใหม่ๆ ที่ the land ชุมชนทดลอง    experimental communityโอกาสทดลอง    chance to tryชีวิตจริง        real life----------[1] มูลนิธิที่นา > www.thelandfoundation.org [2] แนวคิดเรื่อง ประสบการณ์ จาก “สนทนากับพระเจ้า (Conversation with God)”, Neal Donald Walsch ; รวิวาร โฉมเฉลา แปล
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก เท่าสายฝนผ่าน?สัญญาลอยลม ชมในอากาศลืมแล้วภาพวาด ในวิมานหวาน  ๔.ทุกอย่างต้องเปลี่ยน เธอเพียรวานบอกไม่ให้เย้าหยอก กับอดีตกาลฉันอดไม่ได้ หัวใจรู้สึกหวาดกลัวลึกลึก กับฤดูผ่านทุกอย่างช่างเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกเหมือนว่า จากมาไม่นานกับคราบน้ำตา และฟ้าเปลี่ยนสีผิดไหมใจที่ มีตะกอนถ่าน  ๕กับนาฬิกา และฟ้าเคลื่อนไหลช่างไม่ไว้ใจ ในฤดูกาลบนหนทางก้าว ที่ยาวออกไปบางอย่างไหวไหว อยู่ในโลกอุดมการณ์
เจนจิรา สุ
20 กันยายน 2550 เจ้าเขียวสะอื้น (มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ) ส่งเสียงครางกระหึ่มอุ่นเครื่องอยู่ใต้ถุนบ้าน ก่อนที่มันจะต้องเดินทางไกลในเส้นทางที่ฟ้าสวยแต่พื้นดินแสนขรุขระตรงกันข้าม สามีฉันจึงจัดแจงเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็คเครื่อง และเพิ่มตะกร้าหลังให้มันเพื่อบรรทุกสัมภาระที่ขนย้ายไปไม่หมด  ชาวบ้านหลายครอบครัวได้ย้ายไปดำเนินชีวิตที่หมู่บ้านใหม่ก่อนหน้าฉันหลายวันแล้ว แต่ฉันติดตรงที่ต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนตามที่หมอนัด จึงยังอาศัยอยู่ที่บ้านแม่สามีไปพลางก่อนเช้านี้เราจึงตัดสินใจจะเดินทางไปหมูบ้านใหม่กัน สำหรับฉันค่อนข้างจะตื่นเต้นเพราะยังไม่เคยเห็นบ้านใหม่ของตัวเองสักที  เพียงแต่ได้ยินได้ฟังมาจากปากของสามีและคนอื่นๆ ที่เดินเท้าลัดผ่านป่าไปมาระหว่างหมู่บ้านเดิมกับหมู่บ้านใหม่อยู่เสมอ  ความจริงระหว่างบ้านเดิมกับบ้านใหม่อยู่ห่างกันเพียงเดินเท้าทางท้ายหมู่บ้าน ขึ้นลงยอดเขายาวๆหนึ่งยอดสักสามสิบกว่านาทีก็ถึง แต่พอเดินทางด้วยถนนที่ตัดจากเมืองเข้าทางหมู่บ้านห้วยเดื่อ ผ่านหมู่บ้านห้วยปูแกงเป้าหมายการเดินทาง ก่อนจะมุ่งสู่ชายแดนทางทิศตะวันตก ต้องใช้เวลาเกือบสอชั่วโมง หากเป็นช่วงหลังฝนตกติดต่อกันทางจะยิ่งลำบากอาจต้องใช้เวลามากกว่าเดิมเจ้าเขียวสะอื้นที่ต้องแบกบรรทุกสิ่งของสัมภาระ ทั้งตะกร้าหน้าตะกร้าหลังและผู้โดยสารอีกสามคนดูจะน่าเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าสามีที่ต้องคอยควบคุมรถไม่ให้ลื่นไหลลงข้างทาง เพราะทางเป็นหลุมเป็นโคลน บางครั้งต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นนักกายกรรมไต่ล้อไปบนเส้นถนนที่เหลือไว้เพียงหน้ายางรถยนต์ ลูกน้อยยังนอนอยู่ในอ้อมแขน แนบใบหน้ากับอกมีผ้าห่มคลุมพันมิดทั้งหัวทั้งหาง (ขา) ส่วนสายตาของผู้ซ้อนท้ายเช่นฉัน เหม่อไปยังท้องฟ้าสีครามระบายเมฆใสที่ยังดีไม่มีวี่แววของฝน ป่าข้างทางเขียวชอุ่มตัดสีสันกับสายน้ำที่ข้นคลักดังสีน้ำชาใส่นมไหลบ่ามาอย่างรุนแรง น้ำปายยามนี้เหมือนสาวเจ้าอารมณ์ฉุนเฉียวเชี่ยวกราก ต่างจากเมื่อปลายหนาวสองปีก่อนเมื่อครั้งที่ฉันและเพื่อนๆ มาลอยตัวเล่นจับปูจับปลา น้ำปายสายเดียวกันกลับใสเย็นมองเห็นตัวปลา ทว่าใต้สายน้ำก็ไม่วายไหลรี่แรงดุจจิตใจสตรีที่ยากแท้หยั่งถึง แล้วอารมณ์กวีที่เพ้อไปไกลก็ต้องหวนกลับคืนสู่ปัจจุบันเมื่อปลายทางใกล้เข้ามาถึง สามีกระซิบบอกว่าพอถึงถนนราดยางที่ขาดห้วงจนเราลืมไปแล้วอีกครั้งก็จะถึงทางแยกเล็กๆ ข้างหน้า ที่เป็นทางเท้าพอให้มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะเข้าไปได้ เราจะต้องจอดรถไว้ริมฝั่งตลิ่งด้านนี้เพื่อรอให้เรืออีกฝั่งหนึ่งมารับเราข้ามฟาก แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววว่า เรือที่บรรทุกนักท่องเที่ยวลำไหนจะเสียเวลาแวะจอดรับฉันกับสามีจึงตัดสินใจอุ้มลูกเดินลัดเลาะพงหญ้าที่มีรอยทางเดินเท้าเข้าใกล้หมู่บ้านไปอีกนิดเพื่อจะให้คนฝั่งตรงกันข้ามเห็นตัวเราและแล่นเรือมารับ  ทางเดินที่ว่านี้ต้องใช้เวลาอีกสิบกว่านาทีเล่นเอาเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆกันเมื่อลงเรือเป็นที่เรียบร้อย เราก็คิดว่าทุกอย่างคงจะผ่านไปด้วยดี แต่แล้วจู่ๆเรือที่กำลังกลับลำอยู่กลางน้ำเชี่ยวก็เกิดอาการเครื่องดับกระทันหัน แม้ว่าฉันจะทำใจเชื่อมั่นคนขับเรือแต่ดูอาการของคนขับเรือที่พยายามสตาร์ทเครื่องด้วยอาการขวัญเสียไม่น้อยไปกว่าสามี ทำให้รู้ว่าการข้ามเรือแต่ละครั้งก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะในฤดูกาลน้ำหลากเช่นนี้ “ไม่ค่อยอยากรับก็แบบนี้แหละครับมันอันตราย น้ำมันเชี่ยว” เมื่อถึงที่หมายคนขับเรือก็ชี้แจงถึงเหตุผลว่าทำไมต้องคอยอยู่ริมฝั่งนานๆ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเราค่อยๆ ปลอบขวัญกันไปโดยเฉพาะลูกน้อยที่กอดแม่เอาไว้แน่นในยามที่อยู่กลางสายน้ำเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเมื่อถึงบ้านห้วยปูแกงแล้วเราต้องเดินไปตามตรอกเล็กอีกประมาณสิบกว่านาที ทางที่แฉะไปด้วยโคลนตมและขี้วัว ทำให้ฉันเกือบเสียหลักลื่นล้มอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเรามองเห็นควันไฟหลายสายลอยคว้างเหนือหมู่บ้านที่เรียงซ้อนเป็นสองแถว ซึ่งแต่ละหลังรูปทรงและขนาดกระทัดรัดคล้ายๆ กันลานหน้าบ้านของแต่ละคนโล่งเตียนไม่มีใบไม้ใบหญ้ารกรุงรังเว้นเสียแต่บางหลังที่ยังไม่มีใครเข้าอยู่ก็จะเห็นหญ้าสาบเสือขึ้นอยู่รำไร หมู่บ้านกลางหุบเขาสวยกว่าที่จินจตนาการเอาไว้ สายน้ำห้วยสายเล็กไหลเอื่อยอยู่ริมด้านขวาก่อนจะเลี้ยวตัดขวางเป็นเสมือนด่านแรกเข้าหมู่บ้าน เราเดินบนหินก้อนเล็กเรียงกันเป็นสะพานเข้าหมู้บ้าน เมื่อสบสายตาเข้ากับผู้คนก็พบเห็นแววตาและสีหน้าที่ชื่นมื่นมีความสุขแม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าจากการทำงานปรับปรุงบ้านช่องห้องหอของตนเอง“เจ้าตัวเล็กกินข้าวอร่อยขึ้นนะ” เป็นคำบอกเล่าของพี่สะใภ้เมื่อฉันถามถึงความเป็นอยู่หลับนอนในที่แปลกใหม่“เหนื่อยนะทำบ้านทุกวันแต่ก็สนุกดีได้ทำนุ่นทำนี่ ไม่ได้อยู่เฉยเหมือนเมื่อก่อน”พี่ชายคนที่สองของสามีที่ย้ายมาอยู่คนเดียวในบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองบอกเล่า ด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า  คนหนุ่มคนสาวที่นี่ก็มีไม่น้อยที่ยังไม่ได้แต่งงาน การทำงานร่วมกันด้วยวิถีชีวิตวัฒนธรรมดั้งเดิม ทำให้ฉันสังเกตเห็นสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้นกว่าเดิมของเขา เพราะหญิงชายต่างมีหน้าที่ของตนเองซึ่งต้องพึ่งพากัน ผิดกับเมื่อก่อนที่หญิงจะเป็นหลักของครอบครัวเพราะมีรายได้จากการขายของและโชว์ตัวให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเพื่อจะรับเงินเดือนที่นายทุนจ่ายเป็นค่าตอบแทน เมื่อเท้าเหยียบย่างขึ้นบนเรือนไม้ไผ่บ้านของตัวเอง ฉันก็พบกับความชื่นเย็นจากสายลมที่พัดเอากลิ่นต้นหญ้าแห้งโชยอ่อนแตะจมูก ควันไฟจางๆ ลู่เอนอยู่เกือบทุกมุมที่มองออกไปทางนอกเรือน เสียงกระดึงวัวขานรับเสียงร้องมอๆ อยู่แนวชายเขาเราสามคนจึงเผลองีบหลับยามบ่ายไปด้วยกายที่เหนื่อยล้าแต่ด้วยใจที่เป็นสุข.
สวนหนังสือ
โดย นายยืนยงเรื่อง สายรุ้ง รุ่งเยือน    สำนักพิมพ์  เคล็ดไทยผู้แต่ง ณรงค์ยุทธ  โคตรคำ ประเภท กวีนิพนธ์ฟ้าครึ้มอยู่อย่างนี้สักสองสามวันได้ เมฆขมุกขมัวเกาะกันเคว้งคว้าง พากันลอยล่องไปตามแรงลม   …ลมเย็นต้องผิวเนื้อสัมผัส รู้สึกได้ถึงลมหนาวอันสะท้านใจ  โอหนอ... ลมหนาวแรกของปลายมิถุนายน  โอหนอ... กวีนิพนธ์ถ้าเอ่ยชื่อ ณรงค์ยุทธ โคตรคำ กับลมหนาวแสนประหลาดของเดือนมิถุนายน  ชื่อนี้คงไม่คุ้นหู ไม่ว่าในกลุ่มแขนงใด ๆ แต่การที่หนังสือกวีนิพนธ์ ชื่อ สายรุ้ง รุ่งเยือน มีประโยคเปิดหน้าปกว่า  รวมบทกวีคัดสรรเล่มแรกของ ณรงค์ยุทธ โคตรคำ นั้น  ค่อนข้างจะมีนัยยะโน้มไปทางที่ หนังสือกวีนิพนธ์เล่มนี้ มีลักษณะจำเพาะ เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเกี่ยวเนื่องเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนของผู้เขียนกับผลงานกวีนิพนธ์ของเขาเอง  และเฉพาะอย่างยิ่งในบทนำจากผู้เขียน ที่ได้ลงท้ายว่า เป็นความจำเป็นสำหรับเวลาอันเป็นธรรม ด้วยความสังวรยิ่ง .เหล่านี้  ล้วนเป็นรสสัมผัสอันเปรียบได้กับลมหนาวแรกของปี ที่พัดแผ่วในช่วงปลายเดือนมิถุนายน  เป็นรสสัมผัสอันประหลาดล้ำ...ลมหนาวในแดดเทาอมฟ้า เหมือนละอองแห่งชีวิตที่ถูกล้อมโอบด้วยความรู้สึก...ในหมู่ไม้พันธุ์ ยืนต้น หรือทอดยอด ออกดอกพวงระย้า ช่างดูสงบ อ่อนหวาน อย่างมีนัยยะเกี่ยวถึงทรรศนะของสังคมมนุษย์ ในยุคปัจจุบัน ดังเช่น  ภุชงคประยาตฉันท์  ชื่อบทว่า  เด็ดยอดแม่ดอกตำลึง ที่ณรงค์ยุทธได้ปลุกชีวิตของยอดเครือตำลึง พืชพันธุ์สามัญริมรั้ว ให้ตื่นฟื้น งามขึ้นในหัวใจของฉันจาก         สไบบางเสบียงรุด        ระรื่นดุจประมาณถึง    ขจียอดคะเนพึง            ผะดาแดดตะวันวาย  ฯลฯ     ( หน้า ๑๐๖ )สำหรับ ณรงค์ยุทธ เขียนบทนี้ออกมาเหมือนจะสะท้อนทรรศนะที่จัดวางอยู่ในคำฉันท์และตัวตนของเขา  เขียนออกมาจากสภาวะของเถาเครือตำลึง ที่ทนแล้ง อิ่มฝน และรอคอยที่จะชูยอดใบแห่งชีวิต   นี่คือ ประการแรกที่ตัวตนกับผลงานร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันสายรุ้ง รุ่งเยือน ไม่เพียงเขียนถึงพืชพันธุ์รูปธรรม เช่น กระถิน ตำลึง เท่านั้น ณรงค์ยุทธ ยังเขียนถึงพืชพันธุ์นามธรรมที่แตกผลิอยู่ในดวงใจของเขาด้วย และถือเป็นความโดดเด่นสำคัญของหนังสือกวีนิพนธ์เล่มนี้  นี่คือ กวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ที่พื้นหลักเป็นโคลงสี่สุภาพ ดั่งลมหนาวในแดดสายปลายมิถุนายน แดดอุ่นและลมหนาวของยามสาย เป็นปรากฎการณ์ของลมฟ้อากาศที่เกี่ยวเนื่องกับอนุภาคละเอียดอ่อนในวันคืน ณรงค์ยุทธ เขียนโคลงสี่สุภาพอย่างกวีฝึกหัดพึงกระทำ และยิ่งอ่านจะยิ่งรับรู้ร่วมไปกับเขาเลยทีเดียวว่า แบบฝึกหัดการเขียนโคลงสี่สุภาพนั้น เป็นแบบฝึกเล่มหนาเทียบเท่าวงศ์อายุของผู้เขียนนั่นเทียวใน สายรุ้ง รุ่งเยือน จะสัมผัสรู้ถึงรอยก้าวย่างของการฝึกเพียร เคี่ยวเค้น อย่างหนักหน่วง  หากสังเกตตรงท้ายบท จะมีข้อความบอกถึงห้วงเวลาที่เขียน ทำให้มองได้ถึงพัฒนาการของผู้เขียนได้ในด้านหนึ่งด้วย  ดังจะยกตัวอย่างต่อไปนี้ก้าวย่างที่กินเวลายาวนาน ทำให้มองเห็นถึงกลเม็ดในคำโคลง อย่างเช่นบท มืดมิด(จิตใจ) บทนี้เป็นตัวอย่างการเขียนโคลงสี่สุภาพแบบเอกเจ็ดโทสี่  ไม่มีกลเม็ดใดมากกว่าลักษณะการบังคับคำ ตำแหน่งเสียง  แต่การจัดวางรูปคำที่ให้ความรู้สึกมากกว่าการจัดเรียงคำ ดังบาทแรกนี้        เวลาช่างเหว่ว้า            เวลา  ฯลฯ ( หน้า ๘๐ ) ถือเป็นสำนวนโคลงที่หาได้ยากในมือของกวีฝึกหัด หรือ อีกตัวอย่าง บท  คลื่นชีวิต        เหลียวฝีพายต่างจ้ำ        ห่างทุกข์        สรรเสพสำราญสุข        เสกได้        คลุกเศร้าผ่านเคล้าทุกข์        คราครอบ        กางกรอบฝ่าคลื่นให้        เคลื่อนร้างลับหาย    (หน้า ๘๕ ) เป็นบทอุปมาชีวิตกับการพายเรือ ซึ่งให้ได้มากกว่าความไพเราะของคำโคลง  เพราะให้ทั้งภาพจินตนาการในความคิดและมีคติธรรมแฝงอยู่    ลองดู บท  ปัจเจกปัจจุบัน         ปัจจุบันปัจเจกชั้น        ชนเหวย        งกเงี่ยนงกงมเงย        งอกแง้ม    ฯลฯ   ( หน้า ๖๘ )เป็นการแสดงออกถึงทักษะอีกขั้นหนึ่งที่ได้มาจากการฝึกฝน โดยอาศัยลักษณะสัมผัสพยัญชนะเดียวทั้งบาท  เป็นอีกกลเม็ดของคำโคลง  กระโดดข้ามมาถึง   บท  ห้วงฝัน, ฝั่งขวัญเอย            หงายเฉียบเลียบค่ายครื้น        เงียบฉาย        ร่างสอบสั้นยาวสาย        รอบข้าง        อาจโอ้ อก อด อาย        โอกาส        การณ์ทื่อวางถือบ้าง        ถ่างบื้อคือฐาน   ฯลฯ    ( หน้า ๙๔ ) ในคำที่ขีดเส้นใต้  ผู้เขียนได้ใช้การผวนคำ แล้วจัดวาง คล้ายกลบทแบบอย่างโบราณ ทำให้อ่านสนุกและดูเหมือนผู้เขียนได้ผ่านมาอีกขั้น   และล่วงไปถึงการเล่นกลบท หงษ์ทองลีลา  เช่น บท ข้าพเจ้ายังรู้จักโลกสังคมน้อยนัก         ให้บุพกาลร่ำร้าง            ใจถึง        โลกกระพริบดาวดึงส์        ดื่มร้อย        ให้ผลัดส่องกระซิบพึง        พาเยี่ยม        โลกออกตกเหนือน้อย        นิ่งหน้าทิศทาง   ฯลฯ    ( หน้า ๔๙ ) หรือกลบทครอบจักรวาล  เช่น บท     จากภวังค์ไป – กลับ, พลบโลก        หวังสุญญา...ว่างแร้น        โลกหวัง        ฟื้นตื่นเช้าสายดัง        เท่าฟื้น        โลกจินตพลบภวังค์        กอบโลก        ถือระยะย่ำย้ำพื้น        วาดถือ   ฯลฯ          ( หน้า ๙๘ ) จุดเด่นของโคลงสี่สุภาพของณรงค์ยุทธนี้  สังเกตได้ชัดคือ การเลือกใช้คำโดด ซึ่งแปลกต่างจากคำโคลงที่คุ้นเคย คือนิยมใช้คำสมาส สนธิ หรือคำผสม  แต่ขณะเดียวกัน จุดเด่นที่มากเกินไป  เป็นธรรมชาติที่ทำให้บางครั้ง ก็อาจเป็นข้อด้อยได้เช่นเดียวกัน  ด้วยธรรมชาติของคำโดดแล้ว   เมื่อวางเรียงกัน อาจทำให้อ่านเข้าใจได้ยาก เพราะต้องมีคำเชื่อม  ต้องอาศัยการสร้างความคุ้นเคยขึ้นใหม่ในวงการอ่าน  แม้เสน่ห์ของการเลือกใช้คำโดดในกวีนิพนธ์ของณรงค์ยุทธ จะเป็นรสคำที่แปลกไปบ้าง แต่การเลือกใช้อุปมาโวหาร ผสมเข้ามา ก็ช่วยเสริมเนื้อหาให้เต็มแน่นด้วย นอกจากนั้น ยังมีการใช้สัญลักษณ์ที่ไม่คุ้นเคยอีกด้วย   เช่น  บท  จากภวังค์ไป – กลับ, พลบโลก    สูง – ต่ำ, ทางแอ่นเกี้ยว        กราดแกร็น    สูง – ต่ำ, ยูงรำแพน        กรีดเยื้อง    สูง – ต่ำ, หากหื่นแหน        แหวกเหยียบ    สูง – ต่ำ, ผูกพลั้งเปลื้อง        ปรับหมุน         ฯลฯ   (หน้า ๙๘) การเทียบสัญลักษณ์ของนกยูง และท่าทางการเคลื่อนไหวของมัน จะสะท้อนให้ผู้อ่านนึกถึงสิ่งใด โดยปกติ นกยูง จะมีนัยยะถึงความสูงส่ง สง่างาม แต่การเลือกใช้คำเกี่ยวข้อง เช่น  หากหื่นแหน นั้นดูขัดแย้ง แต่หากอ่านสืบเนื่องทั้งบทนี้แล้ว  จะเห็นได้ว่าเป็นการเลือกใช้คำเพื่อต้องการจะเสียดสี เยาะหยันนกยูง หรือนัยยะแฝงที่ผู้เขียนนั่นเองนอกเหนือจากสัญลักษณ์แล้ว  จุดเด่นที่ต้องกล่าวถึงคือ  วิธีการเรียงร้อยหรือ กลวิธีการประพันธ์ กวีนิพนธ์เล่มนี้  ผู้เขียนได้จารึกถึงความรู้สึก นึก คิด ของตัวผู้เขียนเอง ผ่านเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ ซึ่งถือว่าเป็นอารยธรรมของภาษาไทย ทั้งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ และร่าย แม้กระทั่งบทกวีไร้ฉันทลักษณ์  โดยอาศัยการสร้างวลีใหม่ ที่ตรึงใจผู้อ่านได้   เช่น  บท  แลดอกมะลิพันธุ์ ข้าฯ ฝันถึง    อารมณ์ร่วงต่อพื้น    เตรียมพาน     หรือ    หวั่นน้อยใจพรั่นท้อ    พวงขาว           ( หน้า ๒๗ ) และยังมีอีกหลายบทหลายบาท  ที่ผู้เขียนได้เรียงร้อยไว้ต่ออารมณ์สัมผัสของผู้อ่าน  ซึ่งจะได้ทั้งความรู้สึกแปลก ร่วมสมัย และสะเทือนใจเศร้าโศกร่วมไปกับเขาด้วย  โดยสรุปแล้ว  สายรุ้ง  รุ่งเยือน เปรียบได้ดั่งทัศนียภาพอันแปลกตาสำหรับผู้อ่านในยุคสมัย  แต่เนื้อหาที่เขาบอกเล่า  กลับเป็นเรื่องราวที่หลายคนอาจคุ้นเคย เคยรู้สึกอย่างนั้น  จนต้องกล่าวว่า  ณรงค์ยุทธ เขียนออกมาทดแทนอารมณ์ ความรู้สึก แทนใจของผู้คนในยุคแห่งปัจเจกชนอันหม่นมัว ซับซ้อน เต็มไปด้วยความหวั่นระแวง ได้อย่างละเอียดลออและประณีตทีเดียว   เนื่องด้วยถ้อยคำของเขา เรียงร้อยออกมาได้หมดจิตหมดใจ ซึ่งสะท้อนได้ว่า เขามีภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารโดยแท้ เนื้อหาโดยหลักใหญ่ที่ถ่ายทอด หรือแฝงเร้นอยู่ในกวีนิพนธ์เล่มนี้ มักมุ่งเน้นไปที่ตัวบุคคลหรือปัจเจกชนในสังคม  ซึ่งคล้ายกับมีวิถีชีวิตที่ด้านชากับความน่ารังเกียจ อันปรากฏจนดาษดื่นในความเป็นจริง  โดยเขาไม่ได้จำกัดตัวเองให้อยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์ความน่ารังเกียจเหล่านั้น หรือ ด่าทอชนชั้นนายทุนตามแบบฉบับของกวีนิพนธ์เพื่อชีวิตทั่วไป แต่เขาจำใจกะเทาะเปลือกอันหนาเทอะทะของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามในสังคม ทั้งในนามของบุคคลและกลุ่มก้อนของชนชั้นต่าง ๆ ทั้งนี้ จุดหมายหรือความใฝ่ฝันของเขา ที่ปรากฏอยู่ในหลายบทนั้น น่ามุ่งให้สังคมมนุษย์ดำรงอยู่ร่วมกันอย่างรู้สึกที่จะมีน้ำใจให้กัน  มองเห็นความสำคัญกับคนอื่น  ดูเขาจะเน้นเรื่องความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากทีเดียว  ดังบทไร้ฉันทลักษณ์   ชื่อ แรงโน้มถ่วงของมิตรภาพ  ( หน้า ๔๒ )ที่กล่าวถึงความรับผิดชอบระหว่างชีวิตต่อชีวิต  อารมณ์ต่ออารมณ์  ซึ่งกันและกัน   หรือ  จากปกหลังของเล่ม  ที่เขียนว่า     จารจรดสายเรื่อรุ้ง        รุ่งเยือน    อาจสั่งฝนสืบเตือน        ต่อกล้า    ยามลมแดดแกร่งเหมือน        มามอบ    แด่มิ่งขวัญจักรวาลฟ้า        แผ่นหล้าอเนกอนันต์. หนังสือกวีนิพนธ์ “สายรุ้ง รุ่งเยือน” ของ ณรงค์ยุทธ โคตรคำ ออกมาในช่วงเวลาที่หน้าสื่อสิ่งพิมพ์ พยายามบอกกันว่า กวีตายแล้ว  พร้อมกับฤดูลมฝนอันแปลกต่อความรู้สึกผู้คน ไม่เท่านั้น โดยเนื้อหาของกวีนิพนธ์ โดยรูปแบบฉันทลักษณ์ในเล่ม ก็ถือได้ว่า สร้างปรากฏการณ์ให้แก่ยุคสมัยได้มาก  เนื่องจาก สำนักพิมพ์ทุกวันนี้  หาจะพิมพ์หนังสือกวีนิพนธ์ได้ยากเหลือเกิน แต่สำหรับเขาแล้ว ถือว่าสำนักพิมพ์เคล็ดไทยได้ให้โอกาสอันสง่างามแก่เขา ซึ่งเป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ได้ว่า กวีนิพนธ์ที่เปี่ยมคุณภาพนั้น ไม่เคยพ้นหาย หรือ ตายไปจากสังคมมนุษย์  เท่ากับว่าเป็นการสร้างแรงกำลังใจสำหรับคนรุ่นใหม่  ที่มุ่งมั่นฝันใฝ่จะก้าวเข้ามาในถนนสายกวีนิพนธ์  เพื่อสืบต่อช่วงซึ่งกันและกัน.
ภู เชียงดาว
ความเรียบง่ายมีแรงดึงดูดที่ลี้ลับเพราะมันจะฉุดเราไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางที่คนส่วนใหญ่ในโลกไปกันไปจากการทำตัวให้เด่น ไปจากการสะสมไปจากการทะนงหลงตนและจากการเป็นเป้าสายตาของสาธารณะไปสู่ชีวิตสงบ อ่อนน้อมถ่อมตน กระจ่างใสยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่วัฒนธรรมบริโภคอย่างฉาบฉวยรู้จักกัน.                                                                                             มาร์ค เอ.เบิร์ชจากหนังสือ “ความเงียบ” จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปล    กลับคืนสวนบนเนินเขา,อีกครั้งในเวลาย่ำเย็น ตะวันลับดอยไปนานแล้วชีวิตไม่สนใจกาลเวลา,นกป่ายังคงเริงร่าบนกิ่งไม้ขนกล้าไม้ลงจากท้ายกระบะรถก้มหยิบจอบที่ซ่อนซุกอยู่ใต้ถุนบ้านหอบกระถางดอกไม้วางในตำแหน่งที่เหมาะสมขุดหลุมปลูกมะลิ แก้ว ชวนชม โมก หอมหมื่นลี้ ตรงหน้าบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จแยกหน่อแยกกอไผ่เลี้ยงลงริมขอบรั้วด้านทิศเหนือเอาไว้กันลมแรงทำงานไป หยุดพักไป ปาดเหงื่อกับท่อนแขนเสื้อเปียกชื้นเย็นหยุดจ้องมองไปเบื้องหน้า...ภูเขายังคงเขียวคราม ลมค่ำยังพัดไหวเบื้องล่างต่ำลงไป ทุ่งนายังงามงดสดสียอดตองของกล้าข้าว เสียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าของพ่อไต่เนินเขาดังแว่วมาแต่ไกลใช่แล้ว, พ่อมาเอาอาหารอ่อยให้หมูที่เลี้ยงไว้ในคอกเล้าในสวนดูสิ, ใบหน้า ดวงตา รอยยิ้มของพ่อวัยเจ็ดสิบกว่ายังคงเจิดจ้าฉายแววความหวังและมีเมตตาอยู่อย่างนั้นอยู่กับความสุข ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตองนั่งอยู่บนขอนไม้ หั่นหยวกกล้วยอยู่ใต้ถุนบ้านมีหมานอนหมอบอยู่ข้างกายพ่อเพียงครู่เดียว ก็หยิบหยวกกล้วยผสมแกลบรำคนคนกับน้ำก่อนหิ้วถังไปเทใส่รางอาหารในคอกหมูกินอย่างมูมมามแม่ไก่ของเพื่อนบ้านวนเวียนอยู่ใกล้ๆและเจ้าหมาก้มกินเศษอาหารที่กระเด็นอยู่รายรอบเล้ามองกี่ครั้ง กี่ครั้ง,ทุกชีวิตล้วนเป็นบทกวีที่เคลื่อนไหวเต้นย่างไปมานั่น,ดอกสักขาวโปรยร่วงพราวยามสายลมโชยพัดมาก่อนฝนมาเยือน.
แสงดาว ศรัทธามั่น
ภาพจาก แฟ้มข่าวประชาไท(๑) Excellent Life Rhythm(เป็นจังหวะชีวิตที่แสนวิเศษนัก)ปลายฤดูฝน – ต้นฤดูหนาวแสง สี เสียง แห่งแม่พระธรรมชาติ อันเป็นรากเหง้า แห่งวิถีชีวิตเพื่อนมนุษยชาติ ช่างงดงาม หลากสีสันนัก!--- ดวงตะวัน ดวงดาว เดือนเสี้ยว –- กลางฤดูปลายฝน ต้นหนาว-- ฯลฯ --- ฯลฯ --- ฯลฯ---เริงระบำ รำร่ายฟ้อนเป็น Rhythm… เป็นจังหวะดนตรีแห่งสีสัน ช่างงดงามนักExcellent Life Rhythmเป็นจังหวะชีวิตที่แสนวิเศษนัก!“ Life is Very Beautiful”ชีวิตช่างงดงามนัก หากโครงสร้างสังคม สามานย์ เปลี่ยนแปลง(๒) หมดเวลาของคุณแล้ว!Hello!พณฯหัวเจ้าท่าน คมช.หมดเวลาของคุณแล้ว!อย่าสืบต่ออำนาจต่อไปอีกเลย!อย่าเผด็จการฟัสซิสม์ ต่อประชาชนอย่าออกกฎหมายสามานย์ ห่วย ๆ โดยไม่ผ่านมติอนุมัติ ของประชาชน!… มากด- ขู่ ข่มเหงประชาชน!Hello!พณ. หัวเจ้าท่าน คมช.ในนามแนวรบด้านวัฒนธรรม ที่ล้ำลึกทรงพลัง เปี่ยมความหมาย!--- กวี--- ศิลปิน--- นักคิด-นักเขียนฯลฯ --- ฯลฯ --- ฯลฯเริงระบำ รำร่ายฟ้อนด้วยปลายคมปากกา ดินสอ สี แสง เสียง บทละคร----กำปั้น!คมช. !เผด็จการฟิสซิสม์ ท๊อบบูททมินฬ์หรือเผด็จการทุกรูปแบบ… ทุกสายพันธุ์หมดเวลาของคุณแล้ว!ประชาชนจักมีจังหวะบทเพลงชีวิตกำหนดวิถีของตัวเอง!คมช.อัญเชิญคุณลงจากเวทีซะดีๆพลังมหาประชาชนสำแดงบอกพวกเธอว่า…“สุดแสนที่จะทนทานได้”จงลงจากเวทีมิเช่นนั้นมหาประชาชนจัก(ขอโทษ) ถีบคุณกระเด็นตกลงจากเวที!มีทางเลือกให้คุณแล้วจงลงจากเวที!โลกร้อนแล้วนะโว๊ยประชาชนจงเจริญ! •๑๙ กันยายน ๒๕๕๐ ล้านนาอิสระ, เจียงใหม่

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม