Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กานต์ ณ กานท์
  การอ้างว่าต้องเร่งผลักดันให้ "ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร"i ผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ เพื่อจะได้ยกเลิก "กฎอัยการศึก"ii ทั่วประเทศนั้น ฟังแล้วชวนให้รู้สึกทั้งขบขันและเศร้าใจ ผู้ที่ได้อ่านเนื้อหาของร่างพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นี้ ย่อมซาบซึ้งดีถึงนัยยะที่นำไปสู่ความว่างเปล่าของข้ออ้างนั้น แต่ที่น่าเศร้าใจไม่แพ้กันก็คือ การที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตอบข้อท้วงติงในประเด็นความชอบธรรมของรัฐบาลและสนช.ที่มาจากการรัฐประหาร ในการร่างและพิจารณาออกกฎหมาย ด้วยการย้อนว่า "...ที่ผ่านมาสนช.ได้ผ่านกฎหมายมาเป็น 100 ฉบับ ขนาดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายแม่ ยังออกจากสนช..."iii แม้ว่าจะต้องขอขอบคุณท่านประธาน ที่กรุณาเอ่ยตัวเลขคร่าวๆ นี้ออกมา เนื่องจากไม่ใช่ประชาชนทุกคนที่จะทราบว่า ชั่วระยะเวลาเพียงปีเดียว สนช.ที่มาจากการรัฐประหารนี้ได้ผ่านกฎหมายออกไปบังคับใช้มากมายขนาดไหน เพราะ - กฎหมายฉบับใดที่คาดว่าแสดงถึงความ "ก้าวหน้า" ก็ประโคมข่าวใหญ่โตขณะที่กฎหมายบางฉบับกลับแทบจะไม่เป็นข่าว ทั้งที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง แต่ - นอกจากตัวเลขคร่าวๆ ดังกล่าว จะไม่ได้แสดงถึง "ความชอบธรรม" ใดๆ ของรัฐบาลและสนช. ชุดนี้แล้ว ยังชวนให้ตั้งคำถามต่อไปอีกว่า อะไรที่ทำให้ผู้ทรงเกียรติที่มาจากการรัฐประหารเหล่านี้ ตั้งหน้าตั้งตาร่างและผ่านกฎหมายอยู่นั่นแล้ว? ทั้งที่เพียรประกาศว่าจะเร่งคืนอำนาจ - คืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน และยืนยันว่ามีการเลือกตั้งภายในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 หรืออีกเพียง 60 กว่าวันข้างหน้า แล้วเหตุใดจึงต้องเร่งผลักดันกฎหมายสำคัญขนาดนี้ กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนขนาดนี้ และมีเสียงต่อต้านคัดค้านขนาดนี้ ? เพื่ออะไร? "ความมั่นคง" ?  "ความมั่นคง" นอกจากจะเป็นข้ออ้างของการรัฐประหารทุกครั้งแล้ว ยังเป็นข้ออ้างในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนมานับครั้งไม่ถ้วน ตลอด 75 ปีของระบอบที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย" และตลอด 1 ปีที่ผ่านมา  การแบกปืนลากรถถังเข้ามารัฐประหารยึดอำนาจ - ฉีกรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 19 กันยายน 2550 ก็อ้าง "ความมั่นคง", การออกกฎอัยการศึก ก็อ้าง "ความมั่นคง", การจำกัดสิทธิในการสื่อสารและแสดงความคิดเห็น ก็อ้าง "ความสมานฉันท์" อันเป็นไปเพื่อ "ความมั่นคง", การผลักดันกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็อ้าง "ความมั่นคง" และล่าสุดคือ การผลักดัน "ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร"  ท่านผู้ทรงเกียรติเหล่านี้คงหลงลืมไปว่า "ความมั่นคง" ภายในประเทศนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยการออกกฎหมายมาลิดรอนหรือคุกคามสิทธิ เสรีภาพ สวัสดิภาพของประชาชน ตัวอย่างจากหลายประเทศบอกชัดเจนว่า การลิดรอนและคุกคามสิทธิ เสรีภาพ สวัสดิภาพของประชาชน ส่งผลอย่างไรต่อ "ความมั่นคง" ภายในประเทศนั้น? หรือหากไม่ต้องการมองออกไปภายนอก ก็เพียงตอบคำถามว่า ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 และการดำเนินการร้อยแปดในนาม "ความมั่นคง" แล้ว ประเทศไทยมี "ความมั่นคง" ภายในสูงขึ้นเพียงไร? (หากตอบว่าสูงขึ้น หรือสูงขึ้นมาก ก็จำเป็นต้องตอบอีกคำถามว่า แล้วทำไมยังดันทุรังผลักดันกฎหมายฉบับนี้?) หากเป้าหมายคือ "ความมั่นคง" ภายในประเทศจริง, แทนที่จะดิ้นรนร่างและตรากฎหมายไม่รู้จบอยู่อย่างนี้ ผมก็อยากร้องขอต่อบรรดาผู้ทรงเกียรติในสนช., รัฐบาล รวมทั้งคมช. ว่า "พอเสียทีเถิดครับ" ยุติบทบาททางการเมืองของท่านเสีย เพื่อปล่อยให้ประเทศสามารถไปถึงการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด  ท่านที่เป็นทหารก็กลับเข้ากรมกองไปเสีย ท่านที่เป็นพลเรือนก็กลับไปทำหน้าที่เดิมของท่าน  ท่านใดที่ต้องการรับใช้ประเทศด้วยวิถีทางทางการเมือง ก็พาตัวเองลงสู่สนามเลือกตั้งให้ประชาชนได้ตัดสิน พอเสียทีเถิดครับเพื่อ "ความมั่นคง" ภายในประเทศนี้i โปรดดู: "ร่างพ.ร.บ.มั่นคงฉบับแก้ไข อำนาจ ‘กอ.รมน.' ยังล้นเหลือ", มติชน, วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10813, หน้า 2.ii โปรดดู: สมชาย หอมลออ, "หยุด พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ (อีกครั้งหนึ่ง)", http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9986&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thaiiiiโปรดดู: http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9986&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
ชิ สุวิชาน
เมื่อเข็มนาฬิกาเข็มที่สั้นที่สุด เลื่อนไปยังหมายเลขเก้า ทุกคนจึงขึ้นรถตู้ เคลื่อนขบวนไปยังศูนย์ศิลปและวัฒนธรรมแสงอรุณ  เมื่อถึงมีทีมงานเตรียมข้าวกล่องไว้รอให้ทาน พอทานข้าวเสร็จพี่อ้อย ชุมชนคนรักป่า ก็มาบอกผมว่า  งานจะเริ่มบ่ายโมง  พร้อมกับยื่นใบกำหนดการให้ผมดู  ผมตื่นเต้นนิดหน่อยพอบ่ายโมง งานก็เริ่มขึ้น โดยการฉายสไลด์เกี่ยวกับป่าชุมชนที่หมู่บ้านสบลาน อำเภอสะเมิงเชียงใหม่   "ถ้าถึงคิวแล้วจะมาเรียกนะ” ทีมงานบอกกับผมในระหว่างที่ผมรออยู่หน้างานนั้น ผมก็ได้เจอกับนักเขียน นักดนตรี นักกวี ที่ทยอยมา ได้มีโอกาสคุยกับคนที่ผมรู้จัก และกำลังรู้จัก และที่ไม่รู้จักด้วย  ส่วนมากจะไต่ถามเรื่องของเตหน่ากู วิธีเล่น วิธีจับต่าง ๆ   ผมก็แนะนำตามที่ผมรู้  นับว่าเตหน่ากูเป็นเครื่องดนตรี แปลกใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯและคนอื่นๆที่พบเห็น แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า  ที่เตหน่ากู กลายเป็นเครื่องดนตรีแปลกใหม่สำหรับลูกหลานปวาเก่อญอแท้ๆ  ทั้งที่เป็นต้นตำรับของเครื่องดนตรีชนิดนี้  มันเป็นไปได้อย่างเหลือเชื่อ การรอคอยผ่านไปเรื่อย ๆ  ตอนนี้ผมเห็นอ้ายไพฑูรย์  พรหมวิจิตร เริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว ผมก็เลยไปหยิบกางเกงสะดอของผมมาใส่พร้อมกับเสื้อปวาเก่อญอ แล้วเอาผ้าโพกหัวคล้องคอตามฉบับของผม  ผมสังเกตเห็นศิลปินรับเชิญหลายท่าน เริ่มเรียกอารมณ์กันแล้ว ผมนึกในใจว่า “พวกนี้กินน้ำชา หรือว่ากินเหล้ากันแน่?? กินได้ไม่หยุดหย่อน ไม่เมา ยากที่ผมจะลอกเลียนแบบ”สักครู่ผู้จัดก็มาเชิญพี่อัคนี  มูลเมฆ  อ้ายไพฑูรย์ กับอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่น ขึ้นเวที พี่ภูเชียงดาว มาเรียกผมกับพี่นก โถ่เรบอ บอกว่า "เตียมตั่วเน้อ เฮาจะขึ้นเวทีต่อจากอ้ายแสงดาว”“ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึ่งนะครับ” ผมบอกพี่ภู เชียงดาว“โวยๆๆ หน้อยเน้อ” พี่ภู บอกผม ผมจึงรีบไปด้วยความเร่งรีบเมื่อเจอห้องน้ำผมรีบเข้าไปทันที จนผมทำธุระส่วนตัวเกือบเสร็จแล้วนั้น มีผู้หญิงกลุ่มใหญ่มาเข้าห้องน้ำ พร้อมทั้งคุยกันเสียงดัง โดยไม่เกรงใจคนอยู่ในห้องน้ำอย่างผม จนผมชักไม่แน่ใจว่า “นี่ เราเข้าห้องน้ำผู้หญิงหรือเปล่าวะ?”   ผมพยายามสำรวจห้องน้ำ เพื่อให้เห็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของห้องน้ำหญิงหรือชาย ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำ มีป้ายเขียนว่า "ห้ามทิ้งผ้าอนามัยลงในโถส้วม" ซวยละกู ! ผมต้องรอจนกว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นออกจากห้องน้ำจนหมด แล้วค่อยย่องออกไป โดยก่อนออกไปพ้นปากประตูห้องน้ำ  ผมดูป้ายห้องน้ำอีกทีหนึ่งเพื่อความแน่ใจ  คราวนี้ผมแน่ใจแล้วว่าเข้าห้องน้ำผิดจริง ๆ  เพราะป้ายห้องน้ำเขียนคำสั้น ๆ เอาไว้ว่า "หญิง” ผมจึงรีบเผ่นทันทีเลย พอไปถึงหน้างาน พี่นกกับพี่ภูตามหาผมกันใหญ่เลย พี่นกชวนเข้าไปรอด้านในงาน  เมื่อเข้าไปในงานก็เห็น อ้ายไพฑูรย์ กำลังอยู่บนเวที  พร้อมกับเสียงปะทัด  ต่อจากอ้ายไพฑูรย์ก็เป็นอ้ายแสงดาว กับบทกวี  “ห่อโข่เลอเหย่อโอะแผล่" ต่อด้วย "The World is My Country" ก็เริ่มขึ้น และสุดท้ายก็จบลงด้วย "เราจะอยู่ที่นี่เพราะ ห่อโข่เหม่เป่อต่าลอ" พอพิธีกรประกาศให้พี่ภู เชียงดาวขึ้นไป พี่ภูก็ชวนพี่นก โถ่เรบอ พร้อมผมขึ้นไปด้วย โดยพี่ภู เป็นคนอ่านบทกวี พี่นก โถ่เรบอเป็นคนเป่าปี่เขาควาย ผมเป็นคนคลอเสียงเตหน่ากู ไปตามบทกวี เมื่อขึ้นไปถึงบนเวที มีการทักทายผู้ชมนิดหน่อย ตามสไตล์ พี่ภู ผมเริ่มคลอเสียงเตหน่ากู เสียงปี่เขาควายของพี่นก โถ่เรบอก็ดังขึ้น พร้อมกับบทกวีของพี่ภู  เชียงดาวเริ่มขับขานช่วงขณะจิตนั้น ทำให้ผมย้อนกลับมานึกทบทวนวัตถุประสงค์ของการมากรุงเทพฯ อีกครั้ง  คำบอกเล่า ของผู้เฒ่าได้แล่นเข้ามาในสมองของผม ทำให้คิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับฟังบทกวีของพี่ภูไป เมื่อบทกวีจบลง เสียงปี่เขาควาย และเตหน่ากู ก็สงบลงเช่นกัน พี่นก โถ่เรบอและพี่ภูลงเวทีไป  พี่นก โถ่เรบอหันมาบอกผมว่า  "มา เก แน เต่อ กา อ่อ"   พร้อมส่งยิ้มมา ซึ่งแปลว่า คุณต้องลุยเดี่ยวแล้วนะผมจับไมค์ขึ้นมา คำบอกเล่าของผู้เฒ่ายังไม่ได้แล่นออกจากสมองของผม ทำให้ผมเห็นภาพของพี่น้องชนเผ่า ผู้หญิงแก่ เด็กๆ ผู้เฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ที่รอฟังข่าว อยู่ที่บ้านป่าบ้านดอย พร้อมลุ้นทุกเวลาว่า หน่วยงานรัฐจะมีมติออกมายังไงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป่าชุมชน นั่นหมายถึงการชี้อนาคตของพวกเขารวมถึงผม ว่าจะอยู่หรือจะไป หรือหากอยู่ก็มีสิทธิ์แค่อยู่โดยไม่มีสิทธ์ในการใช้ทรัพยากรในพื้นที่หรือ?                                                                    เพลงแรก ที่ผมจะขับร้องและบรรเลงคือเพลงหน่อฉ่าตู  เพลงนิทานปวาเก่อญอ ที่เคยขับร้องกันมาเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว ที่บอกว่า "งูใหญ่จะกลืนเอาลูกหลานปวาเก่อญอลงไปในท้องงู”ซึ่งในท้องงูนั้น น่ากลัว เหมือนหุบเหว หน้าผาสูงชัน  มีแต่เสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไปหมด จนทำให้ลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอลืมความเป็นคนปวาเก่อญอ  ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน  ผู้เฒ่าเล่าขันเอาไว้เป็นตำนาน แต่มาวันนี้มันกลายเป็นความจริงหรือ?ผมเห็นกับตา! มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าปวาเก่อญอ โดยที่คนปวาเก่อญอไม่ทันตั้งตัว โดยที่คนปวาเก่อญอไม่อาจต้านทานไหว  มันเป็นความจริงที่ผมเห็นมากับตา งูใหญ่ตัวนี้มันใหญ่มันยาว จากเหนือจดใต้  ลำตัวมันคดเคี้ยวลดเลี้ยวจนเวียนหัว มันกลืนแล้ว มันกลืนลูกหลานคนปวาเก่อญอลงสู่ท้องของมันแล้ว ท้องของมันที่เป็นหน้าผาสูงสามสิบสี่สิบชั้น มีเสียงโหวกแหวกจนหูอื้อไม่เพียงเท่านั้นยังมีควันดำควันขาวตามเสียงนั้นด้วย งูใหญ่ไม่เพียงแต่กลืนลูกหลานของคนปวาเก่อญอเท่านั้น แต่มันจะกลืนทั้งหมู่บ้าน ทั้งผืนป่า วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเราไปหมดเลย  มันเป็นไปแล้ว ไก่ป่าขันเรียกไก่บ้าน แผ่นดินจะไม่เหมือนเดิม  ยิ่งไก่ป่ารุกรานไก่บ้าน แผ่นดินยิ่งไม่เหมือนเดิม ผมพยายามจะสื่อสารไปยังผู้ฟังในวันนั้น  แต่ผมมิอาจห้ามความรู้สึกหดหู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าของผมได้  เราต่อสู้มาเป็นเวลาเกือบสิบปี แทบทุกวิถีทาง เพื่อป่าซึ่งเป็นเหมือนชีวิต ทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเรา แล้วเราจะทำร้ายชีวิตของเราเองได้อย่างไร  เราได้พิสูจน์มาแล้วพอสมควร ต้นไม้ ป่าไม้ก็เป็นพยานเป็นอย่างดี แต่เขายังไม่ไว้ใจเราอยู่ดี  เหมือนเราเกิดมาภายใต้คำแช่งสาปบางอย่างที่ไม่มีวันแก้มันได้  เราเกิดมาผิดที่หรือผิดที่เราเกิดมา   ช่วงที่ผมกำลังพูดอยู่บนเวทีนั้นความคิดเหล่านี้ได้มาโจมตีสมาธิของผม จนเสียงพูดของผมเริ่มสั่นกลายเป็นคลอนสะอื้ ผมพยายามหยุดพูดเพื่อให้สถานการณ์ บรรยากาศและอารมณ์ของผมจะได้กลับมาสู่ภาวะปกติ แต่ถึงที่สุดแล้ว ผมควบคุมมันไม่ได้จริงๆ จนหยดน้ำจากมุมตาเอ่อล้น เต็มเป้าตา แล้วค่อยๆ ร่วงไหลเป็นน้ำตาออกมา โดยไม่ได้เจตนา ผมต้องฝืนร้องเพลงหน่อฉ่าตู ทั้งที่อารมณ์และความรู้สึกไม่อยู่ในภาวะปกติ เพลงจบไปอย่างสะอึกสะอื้น ผมไม่ทราบว่าคนที่ได้ฟังในวันนั้นจะรู้สึกอย่างไร เพราะผมเองก็งงเหมือนกัน ว่ามันเกิดขึ้นบนเวทีอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนผมต้องกราบขอโทษคนที่มาฟังในวันนั้น  ที่ผมได้ทำให้เสียบรรยากาศ และเสียอารมณ์ในการฟังเพลง แต่ผมอยากบอกว่า นั่นแหละคือความรู้สึกที่แท้จริงที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของลูกหลานชนเผ่าปวาเก่อญอ ที่ตกเป็นเหยื่อของสังคมตลอดมา แต่เมื่อชะตาลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ เราก็จะต้องเคลื่อนไหวกันต่อไป ต้องเป่าร้องกันต่อไป ต้องขับขานบรรเลงกันต่อไป ต้องขีดเขียนกันต่อไป ต้องพูดคุยสื่อสารกันต่อไป โดยหวังว่าสักวันหนึ่งผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ  จะได้รับรู้และเข้าใจพวกเรา    แล้วอะไรต่าง ๆ ก็คงจะดีขึ้นบ้าง  โดยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???แม้จะเกิดในที่ที่ต่างกัน  ระบบการปกครองที่ดูเหมือนจะต่างกัน แต่เราคนรากหญ้า คนด้อยโอกาส คนจน และประชาชนไม่เคยห่างเหินและปราศจากจากน้ำตาแห่งความทุกข์ยากจากผลแห่งนโยบายการบริหารปกครองบ้านเมืองได้เลย  “มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด???”
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน แต่ในใจอยากให้เขาเห็นเป็นหลายคนเสียนัก บางทีอาจมีใครบางคนตามฉันมาก็ได้เพราะมีเรื่องลี้ลับเกิดขึ้น ในคืนที่ฉันมาถึงเชิงภูฉันมาถึงสำนักงานที่เชิงภูกระดึง ราวๆ สี่ทุ่ม คุณนิมิตรผู้ใจดีชวนให้ไปนอนที่บ้านของเขา บอกว่ามีลูกและภรรยาอยู่ด้วยไม่ต้องกังวล ฉันขอบคุณ บอกว่าขอที่พักง่ายๆ ตื่นเช้าฉันจะได้ขึ้นภูทันทีที่บ้านพักรับรองหลังใหญ่ ยังมีห้องว่างแต่แขกที่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ยึดครองห้องไปสองห้อง เหลือหนึ่งห้องสำหรับฉัน ประเมินสถานการณ์ฉันคงไม่ได้หลับแน่ เพราะพวกเขากำลังตั้งวงเฮฮากันสุดเหวี่ยง จึงได้มาพักที่เรือนพักของยาม อยู่ใกล้สำนักงาน แต่อยู่ไกลกลุ่มบ้านพักทั้งหลายพอสมควร ชวนวังเวงใจ แม้มีไฟฟ้าสลัวๆกระจายทั่วพื้นที่ เรือนพักยาม มีพื้นที่ขนาด 1 X 2 เมตร แค่เปิดประตูแล้วล้มตัวลงนอน  แต่เจ้ากรรมแม้กลอนประตูก็ยังไม่มี ด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย  ที่นอนบางๆกลิ่นสาบๆ ก็พอทนได้(อยู่แล้ว) เอากระเป๋าเสื้อผ้าวางกั้นประตู ถ้าใครเปิดเข้ามาอย่างน้อยกระป๋าก็ต้องส่งเสียงก่อนราวตี 4 กว่าๆ ฉันเห็นผู้ชายแต่งกายด้วยเครื่องแบบป่าไม้ สีเขียวอ่อน หน้าตาดี ท่าทางขี้เล่น อายุราวๆ 28 ปี พยายามเปิดประตู เหมือนจะหยอกล้อฉัน พอฉันตื่นเขาก็เดินหนีไป โดยจูงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปด้วย  เธอนุ่งชุดกระโปรงติดกัน ผมยาวมัดห้อยย้อยเป็นหางม้า ดูน่ารัก ฉันตกใจว่าทำไมเขามาแกล้งฉัน ดึกดื่นอย่างนี้ทำไมไม่รู้จักนอนกันอีก ด้วยความโมโหเล็กน้อย จึงเปิดประตู ตั้งใจว่าจะตะโกนถามว่า มาล้อเล่นกันทำไมฉันทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง..รู้ตัวอีกที อ้าว....ฝันนี่นา  ขยับประตูดู ทุกอย่างยังปกติ แต่ภาพเมื่อกี้นี้เหมือนจริงมาก จนกระทั่งฉันไม่เชื่อว่าตัวเองฝัน แต่ก็ล้มตัวลงนอนพลางสวดมนต์แผ่เมตตา คิดในใจว่าสงสัยจะเจอดี (ฉันจะสวดมนต์ก่อนนอนและนังสมาธิเป็นประจำ ในทุกสถานที่โดยไม่มีข้อยกเว้น แต่จะสวดมนต์สั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับความสะดวก เช้าตรู่ คุณนิมิตร เอาเครื่องบันทึกเสียงที่เขารับไปซ่อมให้ (เพราะสายพานขาด) มาให้ เพราะฉันจำเป็นต้องใช้ทำงานข้างบน (นี่เป็นอีกคนที่จำไม่ลืมในน้ำใจ)ฉันถามเขาว่า เคยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารักวัยประมาณ 7 ขวบ เสียชีวิตที่นี่บ้างหรือเปล่า คนถูกถามมองหน้าฉันแบบตกตะลึง“เจอดีเข้าแล้วเหรอ” คราวนี้ฉันตะลึงบ้าง เมื่อเขาบอกว่า“มีครับ เขายิงตัวตาย ยิงลูกสาว ยิงเมียก่อน แล้วยิงตัวเอง แต่ว่าเมียรอด”.......โอ้...สวรรค์ ฉันคราง“เขาน้อยใจ ทะเลาะกับเมียระแวงว่าเมียมีผู้ชายคนอื่นน่ะครับ”คุณนิมิตรบอกว่า มีนักท่องเที่ยวที่โชคดีได้เจอพ่อลูกเดินเล่นอยู่แถวนี้เหมือนกันฉันเดินขึ้นภูกระดึงอย่างช้าๆ สวดมนต์แผ่เมตตาแก่วิญญาณพ่อลูกและวิญญาณทั้งหลายตามรายทาง ที่ฉันรู้มาว่า นานมาแล้วมีดินถล่มตรงผาสุดท้ายก่อนขึ้นสันแปภูกระดึง นักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์ สังเวยชีวิตมาแล้วนี่คือเหตุที่ฉันตอบคุณเจ้าหน้าที่ไปอย่างยียวนเล็กๆ ในใจอยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะได้อุ่นใจในการเผชิญโชคบนภูกระดึงการมีใครบางคนอารักษ์ขา โดยที่คนอื่นมองไม่เห็น ไม่เลวนะ...เอาล่ะเข้าเรื่อง...สรุปว่าการทำงานหนนี้ ฉันเก็บภาพ เก็บข้อมูลบนภูกระดึงอย่างสบายๆ เพราะเมื่อเริ่มกางเต๊นท์  แว่วเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนถามกันว่า“ไหนล่ะผู้หญิงที่ขึ้นมาคนเดียว”ฉันเงยหน้าจากการปักสมอดิน ตะโกนตอบไปว่า“อยู่นี่ค่ะ” จากนั้น ทุกค่ำคืน เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลาย จะมานั่งผิงไฟ ดื่มกาแฟ พูดคุยที่เต๊นท์ฉัน สลับกับการเดินสำรวจดูแลความสงบแก่นักท่องเที่ยวจำนวนหลายพัน (อาจถึงหมื่น) พวกเขาสุภาพ แม้บางคนจะถามตรงๆว่า “ไม่กล้วหรือ ที่มาคนเดียว” ฉันบอกว่าคนเดียวที่ไหน คนเป็นพันๆ นั่งๆนอนๆ อยู่บนนี้ ยั้วเยี้ยไปหมด เขาหัวเราะ“ไม่เหงาหรือ” นั่น...บางคำถาม ที่ต้องคิดก่อนตอบ และฉันก็ตอบว่า“มาทำงาน ไม่มีเวลาเหงา ไม่มีเวลากลัว” คนถามคงพอใจในคำตอบ ฉันจึงได้รับการดูแลดุจญาติมิตรตลอดเวลา 5 วันที่อยู่บนนั้นยามเดินป่า ไปดูต้นน้ำพอง นักท่องเที่ยวทั่วไปต้องจ่ายค่าทัวร์คนละประมาณ 200 บาท (ถ้าจำไม่ผิด) ต้องห่อข้าวไปกินเอง และเผื่อเจ้าหน้าที่ที่นำด้วย ส่วนฉัน..เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ต้องครับผมเตรียมไว้ให้แล้วทุกอย่างฉันมีหน้าที่ถ่ายรูปเก็บข้อมูล แม้แต่ขาตั้งกล้องก็มีคนแบกให้  ทุกอย่างล้วนสะดวกดายเพราะฉันมาดี จึงได้เจอกับคนดีๆแม้แต่เรื่องเสื้อผ้า หรือผ้าห่ม ที่ต้องไปเช่าจากร้านอาหารของคุณป้ามะลิ เธอยังให้ยืมผ้าซิ่นส่วนตัวอีกสองผืน เมื่อรู้ว่าฉันมีเสื้อผ้าสำรองเพียงชุดเดียวต้องขอบคุณขาข้างหัก..ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันอยากปีนภูกระดึง จนเจอสิ่งดีๆ ผู้คนดีๆ และบางอย่างที่บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดีแต่สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อกลับลงมาข้างล่าง  คือ...สังฆทาน
ชาน่า
นางโชว์เป็นอาชีพที่หลายคนสนใจ ส่วนมากเกิดขึ้นจากใจรักและรักที่จะเป็นนักแสดง  หลายคนเคยได้ดูหนังเรื่อง Show Girl ที่ Beyonce นำแสดงต่างชื่นชมถึงความหรูเริ่ดอลังการ แล้วนางโชว์ของไทยล่ะคะ  ...ไม่น้อยหน้าทีเดียวล่ะค่ะคืนก่อนชาน่าได้มีโอกาสไปเที่ยว สีลม ซอย2 ซึ่งเป็นแหล่งพบปะ สังสรรค์ของชาวเราทั้งไทยและเทศ ย่านแสงสีราตรีที่มีเกย์จากหลายทิศทั่วไทย หลากหลายเกย์นานาชาติทั่วโลกเดินทางมาโดยมิได้นัดหมาย เพียงเพื่อผ่อนคลาย ปาร์ตี้ เต้นรำ พบปะ รู้จักเพื่อนใหม่และอีกมากมายเหตุผลของคนที่มาที่นี่...แหล่งบันเทิงหลากหลายต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเป็นมิตร พร้อมมีการแสดงของชาวเราเพื่อสีสันและบันเทิงในค่ำคืนที่มีเพื่อนพ้องชาวเกย์มากมาย   การแสดงที่ขาดไม่ได้นั่นคือ  “นางโชว์” “นางโชว์” เป็นอาชีพของนักแสดงอย่างหนึ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม  พวกเค้าหรือเธอทำหน้าที่เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์เพื่อลูกค้าที่มาเยือนจะได้ประทับจิต ติดใจกลับมาใช้บริการอย่างหนาแน่น    ผ่านไปหลายเดือนที่ชาน่าไม่ได้ไปเที่ยวสีลม ซอย 2 เพราะหน้าที่การงานต้องเร่ร่อน รอนแรมไปต่างแดน  คืนนี้มีเพื่อนสนิทชักชวนไปเปิดหูเปิดตาในราตรีที่มีแสงสี นีออน พอช่วงเวลาโชว์เริ่มขึ้น“ชาน่า ไปดูโชว์ที่เอ็กเพรสโซ่กันเหอะ นางโชว์ที่นี่เค้าเริ่ดอย่าบอกใครเชียว”  โส เพื่อนสนิทกล่าว“ไปสิ นังโส ช้านหวังว่าคงจะได้ดูโชว์อย่างสวยงาม ไม่ใช่โชว์เหมือนหล่อน โสโครก หรือโสน้าหน้า” ชาน่าหยิกแกมหยอกเพื่อนแสงสีเสียงของการแสดงลิปซิ้งค์ ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางแขกผู้มาเยือนอย่างแน่นเต็มผับ เพลงที่ดังขึ้นมาพร้อมกับการแสดงของนางโชว์ สะกดจิตคนดูทั้งหลายเหมือนกับทุกคนอยู่ในสมาธิ ทึ่ง อึ้ง ชื่นชมมีอารมณ์ร่วมโดยไม่ต้องถูกบังคับหลังจากพวกเธอโชว์เสร็จจึงติดต่อ ขอสัมภาษณ์อย่างเสียไม่ได้  โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยรู้จักนางโชว์มาก่อนแต่พวกเธอ น่ารักและเป็นกันเองกับชาน่าอย่างมาก น่าชื่นชมค่ะคนแรกที่ได้พูดคุยถึงแม้เธอจะเป็นน้องใหม่ในวงการนางโชว์แต่ขอบอก ว่าฝีมือนั้นมือโปรเรียกพี่เชียวค่ะ  นั่นคือ...  น้องแช้มป์  ก่อเกียรติ กระจายศรี  อายุ 24 ปี เธอรับงานโชว์ ที่ DJ Station, Expresso  Silom soi 2แชมป์อยู่วงการนางโชว์นานหรือยังคะแชมป์ :    เป็นนางโชว์ สามปีค่ะ แต่ว่าก่อนหน้านี้เป็นแดนเซอร์มาก่อนค่ะเข้ามาอยู่ในวงการตรงนี้ได้อย่างไรคะแชมป์ :  เพื่อนแนะนำ ให้มาเป็นแดนเซอร์ที่ฟรีแมนก่อน เต้นได้สองปีหลังจากนั้น พอเรารู้ว่าหุ่นสรีระของเราเริ่มกลายเป็นผู้หญิงแล้วนะ  ทางพี่ ๆ เค้าก็เลยบอกให้ลองเป็นนางโชว์มั้ยที่แต่งเป็นหญิงเลย จึงตกลงลองทำดู (แช้มป์พูดอย่างจริงจัง)ต้องซ้อมนานมั้ยกว่าจะแสดงได้เนี๊ยบขนาดนี้แช้มป์  : ต้องทำการบ้านเป็นอย่างดีน่ะค่ะ เพราะว่าลูกค้าของเราเป็นชาวต่างชาติด้วย ซึ่งเค้ารู้แค่อ้าปากต้องเห็นลิ้นไก่แล้ว หรือริมฝีปากจะต้องตรงกับเนื้อเพลง เพราะฉะนั้นต้องฟังเพลงเยอะ ๆ เขียนเนื้อเพลง ท่อง จำ แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาอังกฤษมากมายนักก็ทำได้ค่ะ ดีที่แช้มป์พูดภาษาอังกฤษได้จึงช่วยได้เยอะเลยล่ะค่ะเมื่อกี้เห็นน้องแชมป์ลิปซิ้งค์เพลง One moment in time ซึ่งเป็นไลฟ์คอนเสิร์ต ของ Whitney Houston  พี่ชอบมากเลยหาที่ติไม่ได้เลยล่ะแชมป์ ขนาดพี่ไปเห็นนางโชว์ต่างๆ ทั่วโลกมาแล้วนะ ยอมรับจริงๆ ว่าแชมป์ไม่ด้อยเลยค่ะแชมป์ : ขอบคุณค่ะ  เราต้องเปลี่ยนเพลงและเปลี่ยนคาแรกเตอร์ไปเรื่อย ๆ เพื่อคนดูจะไม่เบื่อ บางทีจบเพลงนึง ต้องรีบไปแต่งเป็นนักร้องอีกคนหนึ่ง ด้วยความไว และสวยค่ะ ทุกครั้งที่มีการแสดงใครเป็นคนคิดคอนเซปต์ หรือแต่งหน้าให้คะแชมป์ : เราต้องดูแลทุกอย่างด้วยตัวเราเองค่ะ ต้องแต่งหน้าเป็น เลือกชุดให้เหมาะสมต่าง ๆ เคยท้อมั้ยคะแชมป์กับการอยู่ตรงนี้แช้มป์  : แรกๆ ก็ท้อนะคะ  หลังๆ มาคนเริ่มรู้จัก คนชอบการโชว์ของเราทำให้เริ่มมีพลัง กำลังใจมากยิ่งขึ้น และชีวิตก็ต้องมีการแข่งขันกันเราจะต้องทำให้ได้ไปสู่จุดนัดฝัน เดี๋ยวนี้ได้กำลังใจจากแฟนๆ จึงทำให้สนุกกับการทำงานค่ะ  (แชมป์ยิ้ม อย่างสวยงามมาดนางง้าม นางงามเลยล่ะค่ะ)น้องแช้มป์อยากทำงานตรงนี้อีกนานมั้ยแชมป์  : ก็ทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ  ซึ่งเราอาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุด แต่ก็จะก้าวต่อไปให้มีชื่อเสียงเป้าหมายของการทำงานคืออะไรคะแชมป์ : ก็อยากจะเป็นนางโชว์โกอินเตอร์ พร้อมที่จะไปรับงานแสดงต่างประเทศ  ซึ่งชีวิตของนางโชว์นั้น ไม่จำเป็นต้องแปลงเพศ  อย่างแชมป์ ๆ ก็มีครบทุกอย่างนะคะ เครื่องสำอางและการแต่งตัวช่วยได้ค่ะค่าจ้างเป็นยังไงบ้างคะแชมป์ : ก็โอเคนะคะ และอีกอย่างหลังเลิกงาน หรือเวลาว่างเราก็รับงานนอกได้ ทำให้มีงานเสริมค่ะมีอะไรจะฝากบอกแฟน ๆ แชมป์มั้ยแชมป์ : ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับการติดตามและให้กำลังใจแชมป์มาตลอด ซึ่งแชมป์จะทำการบ้านและทำหน้าที่อย่างดีที่สุดค่ะ ขอบคุณค่ะแม้จะเป็นการพูดคุยกันอย่างสั้น ๆ แต่แชมป์เธอก็น่ารักและเป็นกันเองอย่างมาก สำหรับใครที่สนใจจะติดต่อเธอไปแสดงงานโชว์ที่ไหน ติดต่อเธอได้โดยตรงที่ เมล์นี้ค่ะ  pallmall2325@hotmail.com  ส่วนอีกคนเรียกได้ว่า มือโปรเจ้าแม่วงการโชว์ของสีลมเลยก็ว่าได้  หลังจากเธอเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าเสร็จจึงได้มานั่งพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ที่ในบาร์ จึงได้ความว่าหวัดดีค่ะ ชื่ออะไรคะชาญ  : ชื่อ ชาญณรงค์ คำมุก ชื่อเล่น ชาญค่ะ อายุ 34 ปีแสดงโชว์ที่ไหนบ้างคะชาญชาญ : ก็มีที่ DJ Station และก็ที่นี่ Expresso สีลมซอย 2 ค่ะทำงานเข้าวงการกี่ปีละคะชาญ  : อื่ออ ...ทำมาได้ 13 ปีแล้วค่ะ (ชาญพูดอย่างมั่นใจ)ความรู้สึกครั้งแรกเป็นไงบ้างคะ ถึงอาชีพตรงนี้ชาญ  : ตอนแรกจะรู้สึกประหม่ามาก เพราะคนดูเยอะและมาจากหลากหลายประเทศ แต่พอทำนาน ๆ เข้าก็ชินค่ะได้แรงบันดาลใจ หรือเข้าสู่วงการได้ยังไงคะชาญ  : เคยไปดูโชว์ที่โรม คลับ รู้สึกชอบความงาม  และก็คิดว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะต้องเป็นอย่างนั้นให้ได้  แหม ตอนเป็นเด็กก็อยากเป็นนางนพมาศ ถามชีวิตส่วนตัวนิ๊ดส์ นึง ว่าความเป็นสาวอย่างเราเนี่ยต่อสังคมเป็นไงบ้างชาญ  : อย่างชาญนี่ แม่รู้ตั้งแต่แรกเกิด แม่จับแต่งตัวเลย ซึ่งชาญจะมีพี่สาวที่เป็นอย่างนี้ด้วย แม่เคยขออย่างเดียวคืออย่าทะเลาะกัน และเวลาที่ทะเลาะกันอย่าว่าเป็นกะเทย  แล้วพ่อก็จะบอกกับทุกคนว่า “ลูกฉันเป็นคนพิเศษนะ”  ซึ่งจะหลีกเลี่ยงคำว่ากะเทยตอนเป็นเด็กกับชีวิตชาวเราเป็นไงบ้างชาญ  : เป็นคนที่แคร์สังคมมาก เข้ามาอยู่ กทม พอกลับไปบ้านต่างจังหวัดก็จะแต่งสวยไป แต่ก็กลัวชาวบ้านจะนินทา ไม่ยอมออกไปไหนเลย  มีอยู่วันหนึ่งพ่อให้ไปซื้อรองเท้า จนต้องบอกกับพ่อว่า “หนูเอาเงินให้พ่อไปซื้อเองได้มั้ย”  พ่อจึงต้องพาเราไปด้วยและบอกกับเพื่อน ๆ ว่านี่ล่ะลูกสาวฉัน  ซึ่งทำให้ได้ข้อคิดว่า บางครั้งการที่เราแคร์คนอื่นมากไปนั้นก็ไม่ดี ขนาดพ่อของเราเค้ายังรับได้ และรักเรา แคร์เรามากน่ารักจังเลยค่ะ  ชาน่าเห็นด้วย เพราะการเป็นอย่างเรา ๆ ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่เน๊าะ เอาล่ะ กลับมาถามเรื่องโชว์ของชาญต่อว่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรชาญ : ก็ต้องศึกษานักร้องคนนั้นๆ คาแรกเตอร์ กิริยา ท่าทาง  ซึ่งชาญว่า เมื่อก่อนเราจะต้องแสดงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ปัจจุบันนั้นเราก็จะเอาบุคลิกของเราร่วมด้วย ซึ่งเป็นการแสดงสดๆ ขายสมอง ทำให้คนดูฮา ฮา และสนุกกับการดูโชว์ฟีดแบ็คเป็นไงบ้างชาญ  : ฝรั่งจะชอบ ชื่นชมมาก ซึ่งเราจะสังเกตได้แล้วชาญชอบแสดงเป็นนักร้องคนไหนมากที่สุดคะชาญ  : ชอบแสดงเป็น Ciline Dion  อาจจะเป็นเพราะชอบแนวเพลงนั้นและเป็นคาแรกเตอร์ของเค้าแล้วรู้สึกเหมือนมาก แต่หลายคนก็ชอบที่ชาญแต่งเป็น Cher พวกเค้าบอกว่าเหมือนมาก แต่ชาญก็ต้องแสดงเป็นหลาย ๆ คนค่ะเคยท้อบ้างมั้ยคะชาญ  : ก็เคยแต่ก็สู้เต็มที่ ตอนแรกมีปัญหาแต่งหน้าไม่เป็น ชุดไม่ให้ หลายอย่างค่ะ แต่ตอนนี้ก็ชินแล้วแล้วในอนาคตล่ะคะชาญ : ก็คงแสดงไปเรื่อย ๆ แต่สักวันนึงก็คงต้องหยุดน่ะค่ะอยากโกอินเตอร์มั้ยคะชาญชาญ  : ก็อยากถ้าหากมีโอกาส ซึ่งชาญก็เคยไปแสดงที่ญี่ปุ่น ฮ่องกง หรือบางทีก็ไปแสดงบนเรือสำราญที่มาจอดชลบุรีบ้าง  ก็สนุกดีแต่ก็อยากไปเวทีใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นตัวของตัวเองฝากบอกอะไร ถึงคนดูบ้างชาญ  : มีความสุขกับการทำงานตรงนี้ ได้รู้จักผู้คนเยอะแยะ และคนที่ยอมรับก็ขอบคุณ  อยากจะฝากว่า  อะไรที่ดี ๆ ก็รับไว้ อะไร ที่ไม่ดีก็ไม่ควร บางครั้งโชว์บางอย่างอาจจะทะลึ่งตึงตัง ลามกนิดหน่อย ก็ขออภัย ขอบคุณสำหรับคำติชม และชาญก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะคืนนี้ต้องขอขอบคุณชาญมากเลยนะคะ ไม่ได้เตรียมบทสัมภาษณ์แต่คิดว่าเป็นการพูดคุยกันสด ๆ ในคืนที่ชาน่ามาเที่ยวอย่าว่ากันนะคะสำหรับใครที่เป็นแฟนคลับของชาญ ตามไปชมการโชว์ของเธอได้ที่ดีเจ สีลมซอยสองได้ทุกวันเว้นวันจันทร์ค่ะ  หรืออยากจะติดต่องานโชว์ของเธอ สามารถติดต่อได้ที่  chanydj@hotmail.com   หากคุณจะให้ทิปเป็นสินน้ำใจ ชื่นชมเป็นพิเศษสามารถหยิบยื่นแบงค์สีแดงสีม่วง มอบให้นางโชว์ หรือนักแสดงถือว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมพวกเค้าจะอัปปรีย์  ต๊ายยย ชาน่าสะกดผิดอีกแล้วค่ะ (ช่วยชันสูตรด้วย)  เอาใหม่ค่ะ พวกเค้าจะ appreciate เป็นที่สุดชาน่าได้สัมผัสชีวิตนางโชว์จากหลายมุมโลก ต้องขอย้ำอีกสักครั้งว่า นางโชว์ของไทยเรา สะกดคำว่าแพ้ไม่ได้ค่ะ  พวกเธอทำได้เนียนและมืออาชีพ อยากจะยกนิ้วให้มากกว่าสองนิ้วว่า นางโชว์ของไทยเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศชาติ ลูกค้าทั้งไทยและเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกย์ท้องที่ ชะนีต่างถิ่น ชายจริงสามศอกก็ต้องยอมรับ หากไม่เชื่อลองไปสัมผัสฝีมือของพวกเธอได้ที่สีลม ซอย 2 สิค๊ะ แล้วคุณจะต้องบอกว่า  Amazing Gay Thailand! เดี๊ยนรับรองเจ้าค่ะ
เตือนใจ ดีเทศน์ กุญชร ณ อยุธยา
ด้วยความประทับใจจากการไปศึกษาดูงานต่างประเทศหลายแห่ง เมื่อครั้งที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ดิฉันจึงร้อยเรียงเล่าสู่ท่านผู้อ่านในคอลัมน์ “วิถีไทย” ในสยามรัฐรายวันเมื่อเริ่มแรก แล้วย้ายมาเป็นคอลัมน์ในสยามรัฐรายสัปดาห์ ด้วยความเมตตาของบรรณาธิการ และพี่ชัชวาล คงอุดมผู้อ่านหลายท่านกรุณาชี้แนะว่าน่าจะรวมเล่มสักครั้งซึ่ง คุณอาทร เตชะธาดา แห่งประพันธ์สาส์น ยินดีเป็นเจ้าภาพพิมพ์และจัดจำหน่าย  น้องน้ำหวาน (ปิยวรรณ  แก้วศรี)  ก็เห็นดีเห็นงามว่าจะรับเป็นบรรณาธิการและจัดรูปเล่มให้ เพื่อสร้างผลงานหนังสือในโอกาสที่ดิฉันมีอายุ 55 ปี ซึ่งหนังสือได้ช่วยกันตั้งหลายชื่อ เช่น “อนุสติบนบาทวิถีโลก” ซึ่งคุณเล็ก (พรศักดิ์ สุคงคารัตนกุล) แห่งกลุ่มรุ้งอ้วนตั้งให้ แต่ถูกติงว่าชื่อหนักไปทางธรรมะ และต้องแปลอีกครั้งจึงจะเข้าใจ จนมาลงตัวที่ชื่อ “เตือนใจ ตอนไปนอก” ตั้งโดยคุณสมเกียรติ์ ไตรทิพยากร  ซึ่งมี ๒ ความหมาย คือ เตือนจิต เตือนใจ ให้มีสติ รู้ตัว ทั่วพร้อมในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านเกิดเมืองนอน กับความหมายเล่าเรื่องของ ครูแดง เตือนใจ ในโอกาสที่ได้ไปเรียนรู้เมืองนอกน้ำหวานเป็นผู้เลือกรูปทั้งหมดซึ่งถ่ายโดยมือกล้องสมัครเล่นหลายท่าน เช่น อาจารย์จอน  อึ้งภากรณ์ ขอขอบคุณตากล้องผู้กรุณาเอื้อเฟื้อภาพเป็นอย่างยิ่งแม้อาจไม่ได้เอ่ยชื่อของท่านหนังสือได้วางจำหน่ายในช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคล คือช่วงเข้าพรรษา ซึ่งน้ำหวานไปพบที่ร้านนายอินทร์ เชียงราย จึงซื้อมาฝากพี่แดงด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า หนังสือออกแล้ว หลังจากรอคอยกระบวนการพิมพ์และจัดจำหน่ายมาหลายเดือนการวางแผนงานเปิดตัวหนังสือจึงเริ่มขึ้น คุณอาทร นัดมาปรึกษากันที่รัฐสภา ผู้ร่วมคิดประกอบด้วย ผู้แทนของร้านหนังสือ B2S ในเครือ Central คุณดาว พิมพ์พร  สุขใจ ผู้ช่วยคนเก่งของดิฉันเอง ผู้แทนฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคุณอาทร และคุณรสนา โตสิตระกูล ผู้เขียนหนังสือ “เดี่ยวไมโครโฟนหญิง” ซึ่งจะเปิดตัวหนังสือคู่กัน ในชื่องานว่า “ผู้หญิง ๒ คน กับหนังสือ ๒ เล่ม” เริ่มที่ประธานเปิดงาน ทั้งรสนาและดิฉันเห็นตรงกันว่าควรเป็นคุณหญิงอัมพร มีศุข ซึ่งเป็นที่เคารพรักของเราทั้งสองท่านเป็นแรงบันดาลใจของดิฉันตลอดมาในฐานะอธิบดีหญิงคนแรกของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญระดับสากล เช่น เป็นประธานเครือข่ายผู้หญิงกับสิ่งแวดล้อมระดับโลก เป็นประธานนักสังคมสงเคราะห์สากล  ปัจจุบันท่านเป็นรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้วยวัยแปดสิบกว่าปีที่ยังกระฉับกระเฉงทั้งสุขภาพใจ สุขภาพกาย และปัญญาที่เฉียบแหลมต่อมาคือพิธีกรผู้นำการเสวนา ดิฉันชื่นชมคุณไก่ มีสุข แจ้งมีสุข ตั้งแต่ครั้งที่เธอกรุณามาช่วยเป็นพิธีกรให้ชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย ร่วมกับทีมงานผู้หญิงถึงผู้หญิง ทีวีช่อง 3 เธอมีรอยยิ้มแจ่มใสสมชื่อ และนามสกุล ซึ่งย้ำความ “มีสุข” ทั้งใจและกายของเธอ ทั้งเธอยังมีจิตใจช่วยเหลือผู้ทำงานสาธารณะประโยชน์ด้วย พิธีกรชายผู้มีจิตใจ “แทนคุณ” ต่อสังคมตลอดมา คือ แทนคุณ จิตต์อิสระ ซึ่งกรุณาช่วยงานของคณะกรรมาธิการเด็ก เยาวชน ฯ ของวุฒิสภา และสนช. อย่างสม่ำเสมอ ด้วยจิตที่ประกอบด้วยธรรมะเมื่อทั้ง ๒ ท่าน พร้อมใจกันตอบรับเป็นพิธีกรดำเนินการเสวนา คณะผู้เตรียมงานจึงปลื้มใจยิ่งนักเพื่อให้งานมีสีสันของวัฒนธรรมชนชาติพันธุ์แห่งดอยสูง ซึ่งดิฉันได้ใช้ชีวิตทำงานมา 33 ปีแล้ว โดยตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนในเขตภูเขา (พชภ.) เมื่อ พ.ศ. 2529 แม้เงินทุนจะขัดสน ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่คณะเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ทำงานด้วยใจรัก ด้วยชีวิตพอเพียงอย่างต่อเนื่อง ดิฉันจึงตั้งใจมอบเงินค่าลิขสิทธิ์หนังสือ “เตือนใจ ตอนไปนอก” ให้พชภ. ทุกครั้งที่มีการจัดพิมพ์ คุณจุฑามาศ ราชประสิทธิ์ ผู้จัดการมูลนิธิพชภ. จึงนำการแสดงทางวัฒนธรรมของกลุ่ม “เยาวชนคนรักศิลป์ถิ่นภูเขา” เพื่อเปิดตัวพชภ. และขอบคุณผู้มาร่วมกับทุกท่าน การเชิญแขกมาเป็นเกียรติในงาน ดิฉันระลึกถึงกัลยาณมิตรผู้มีพระคุณหลายฝ่ายทั้งสมาชิกวุฒิสภาผู้เคยร่วมงานกัน สนช.ร่วมปัจจุบัน พี่น้องร่วมราชสกุล กุญชร ณ อยุธยา และผู้มีพระคุณของพชภ. จึงส่งบัตรเชิญไป 20 – 30 ใบ เสียดายที่หลายท่านติดภารกิจจึงไม่ได้มา เช่น พี่ชัชวาล คงอุดม , พี่ปี๋ ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ เป็นต้น สื่อมวลชนมีความสำคัญมากที่จะสื่อสารต่อสังคมในวงกว้าง ดิฉันกับทีมประชาสัมพันธ์ของ B2S และประพันธ์สาส์น พยายามช่วยกันขอความร่วมมือด้วยความเกรงใจ เมื่อวันเปิดตัวหนังสือมาถึง วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2550 คือวันดี งานเปิดตัวหนังสือ “เตือนใจ ตอนไปนอก” กับ “เดี่ยวไมโครโฟนหญิง” ที่ร้านหนังสือ B2S เซ็นทรัลเวิลด์ คุณรสนา โตสิตระกูล มาถึงตั้งแต่บายสามโมง ตามที่คุณอาทร เตชะธาดานัดหมาย ดิฉันไปถึง 4 โมงกว่า พบดอกกล้วยไม้สีเหลืองสวยงามใส่กระเช้ามาทั้งรากต้น ใบ ดอก พร้อมนามบัตรของคุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสื่อในเครือหนังสือ “รักลูก” ให้ผู้แทนแจ้งว่าเสียดายที่มาไม่ได้เพราะป่วยกะทันหันกระเช้ากล้วยไม้หลากสีของคุณสุทธิธรรม  จิราธิวัฒน์ สนช. ผู้เป็นเจ้าของ B2S  และเครือ Central มาแทนตัว ซึ่งติดภารกิจไปต่างประเทศ (ดิฉันมาทราบภายหลังว่าคุณสุทธิธรรม เป็นคนรักดอกไม้ ไปอยู่ที่ไหนก็ชอบปลูกดอกไม้ ต้นไม้ให้โลกสดใส สวยงาม) เป็น ๒ กระเช้า ที่ตั้งไว้รับแขกผู้มาร่วมงานให้สดชื่นกัลยาณมิตรผู้มาให้กำลังใจเริ่มทยอยมา เริ่มด้วยคุณอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ กรรมการผู้เริ่มก่อตั้งมูลนิธิพชภ. , พี่เปี๊ยก (พลตำรวจตรี วีรวัฒน์ กุญชร ณ อยุธยา) พี่ชายร่วมบิดาของดิฉัน , พี่หมอมาลินี สุขเวชชวรกิจ  อดีตสว.นครสวรรค์ ผู้ที่ดิฉันเคารพรักดุจพี่น้องร่วมอุทร มาพร้อมกับพี่ลักษณ์น้องสาว , ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ อดีต สว.กทม. เพื่อนซี้ของครูแดง อยู่ในภาพปกหน้า ปกหลัง ของหนังสือ “เตือนใจ ตอนไปนอก” เดินคู่กับครูแดง สนช.รุ่นปัจจุบันที่ให้เกียรติมาในงานคือ พลเรือเอกประเสริฐ บุญทรง , ดร.ทวี สุรฤทธิกุล ทั้งสองท่านอยู่ในคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณตรวจรายงานการประชุมและติดตามมติการประชุม ซึ่งประชุมสัปดาห์ละ 3 วันรวด จึงสนิทสนมกลมเกลียวกันมากลูกชายบวร ดีเทศน์ ก็มาให้กำลังใจคุณแม่ด้วย โดยมาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รีบต่อรถไฟฟ้ามาลงที่สยามกว่าจะหาร้าน B2S เจอก็เล่นเอาเหงื่อตกครูจุ จุฑามาศ ราชประสิทธิ์ ฝ่ารถติดในกรุงเทพฯ พาเยาวชน “ชมรมคนรักศิลป์ถิ่นภูเขา” เข้ามาที่งานตอนห้าโมงกว่า แล้วเริ่มแสดงดนตรีของชาวอาข่า ลีซู และชาติพันธุ์ต่าง ๆ เรียกสื่อมวลชนและคนดูให้เข้ามานั่งชมเพราะความบริสุทธิ์ น่ารัก ของทุกคน และเสียงเพลงที่ไพเราะ โดยอาหลูู ศิษย์รุ่นแรกเมื่อ พ.ศ. 2516  เป็นผู้เป่าแคนลีซอ ตามคำขอของครูแดงท่านประธานเปิดงาน (คุณหญิงอัมพร มีศุข) ได้กรุณากล่าวเปิดงานด้วยบุคลิกที่ดูสง่างาม และอบอุ่นด้วยความเมตตา ท่านเริ่มว่าในชีวิตคนเรามีสิ่งที่ต้องทำ และอยากทำ ซึ่งทั้งรสนา และดิฉันโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้มากกว่าที่ต้องทำคุณหญิงดีใจที่ผู้รักการอ่านจะมีหนังสือที่น่าอ่านเพิ่มขึ้นอีก 2 เล่ม ท่านขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนส่งเสริมการอ่านให้เป็นนิสัยของคนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่มากขึ้นเสร็จพิธีเปิดอันน่าประทับใจแล้ว เป็นช่วงเวลาเสวนา “ผู้หญิงสองคนกับหนังสือสองเล่ม” ซึ่งคุณไก่ มีสุข แจ้งมีสุข และคุณ ตี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ทำหน้าที่คู่กันอย่างได้อรรถรสทำให้บรรยากาศเสวนาเป็นกันเอง มิตรรักแฟนเพลงจึงได้ชมความสามารถของพิธีกรยอดนิยมทั้ง ๒ คน อย่างใกล้ชิดและเต็มอิ่มตลอดเวลา ๑ ชั่วโมงเศษคุณรสนา กับดิฉันถูกถามว่าเรา ๒ คนมีอะไรที่เหมือนกัน จึงมาออกหนังสือโดยสำนักพิมพ์ WOMAN PUBLISHING ในเครือประพันธ์สาส์นร่วมกัน ดิฉันตอบว่า คุณรสนา เป็นผู้ที่ดึงดิฉันจากบนดอยมาเป็นปาฐกของมูลนิธิโกมล คีมทอง เมื่อ พ.ศ. 2528 เป็นแรงบันดาลเรื่องสุขภาพบนฐานภูมิปัญญาไทย จากนิตยสาร “สมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง” ซึ่งเธอส่งให้ดิฉันได้อ่านเป็นประจำ รวมทั้งหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ที่คุณรสนาเป็นผู้แปลในแนวเกษตรธรรมชาติ จุดร่วมของเราจึงเป็นเรื่องของธรรมชาติ และธรรมะ ซึ่งคุณรสนาได้แปลหนังสือของท่านติช นัท ฮันท์ หลายเล่ม เพื่อการเจริญสติในชีวิตประจำวันของคนในยุคโลกาภิวัตน์เดือนนี้มีงาน “สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ “ ระหว่างวันที่ 17 – 28 ตุลาคม 2550 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งหนังสือ “เตือนใจ ตอนไปนอก” กับ “เดี่ยวไมโครโฟนหญิง” จะวางจำหน่ายที่ร้านประพันธ์สาส์นด้วยค่ะขอเชิญผู้อ่านทุกท่านไปอุดหนุน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนให้มูลนิธิพชภ. และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้ได้ทำงานเพื่อสังคมที่ดีงามและเป็นธรรมต่อไปค่ะ
new media watch
เรื่องหุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ และเรื่องเงินๆ ทองๆ อาจเป็นยาขมสำหรับคนไม่ชอบตัวเลขหรือไม่มีพื้นฐานความรู้ทางด้านนี้ แต่ถ้าเข้าไปที่ http://1001ii.wordpress.com อาจเปลี่ยนใจไปเลย เพราะจะได้อะไรดีๆ เป็นอาหารสมองกลับมาให้คิดต่อกันอีกเพียบจากที่จั่วหัวว่าเป็น 'บล็อกเล็กๆ ว่าด้วยเรื่องเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ' ตามด้วยพื้นที่โฆษณาหนังสือ (เผื่อใครสนใจจะไปซื้อหามาอ่าน) แต่บทความของ 'นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์' เจ้าของผลงานหนังสือเศรษฐศาสตร์อ่าน (เข้าใจ) ง่ายหลายต่อหลายเล่ม ถูกโพสต์ให้อ่านกันฟรีๆ ในบล็อกแห่งนี้ แม้ว่าจะอุดมไปด้วยศัพท์เทคนิค อาทิ Short Call Options, Externality, Purchasing-Power Parity ฯลฯ ก็อย่าเพิ่งถอดใจ ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ เล็มไปทีละนิดจะพบว่า เรื่องเศรษฐศาสตร์ร้อยแปดพันเก้าเหล่านี้ น่าสนใจและใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดถ้าใครอยากรู้ว่า 'โทรศัพท์กับโลกร้อน' เกี่ยวกับภาวะgศรษฐกิจอย่างไร, ราคา Big Mac จากทั่วโลกบอกอะไรให้ผู้บริโภครู้บ้าง หรือแม้กระทั่งว่า ชายลึกลับผู้ไม่ต้องออกไปทำงานทุกวันคนนั้นประกอบอาชีพอะไร คลิกเข้าไปอ่านบล็อกช่างคิดแห่งนี้ รับรองไม่ผิดหวัง!
Hit & Run
พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ 26 กันยายน 2550ย่านพระเจดีย์สุเล, กรุงย่างกุ้ง   ภาพที่เห็นคือ...ประชาชนหลายพันคนออกมายืนเต็มถนนย่านพระเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นย่านกลางเมือง โดยไม่ไกลนักมีกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่าตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้พระเจดีย์แห่งนี้"เราต้องการประชาธิปไตย" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว"รัฐบาลนี้อันตรายโคตรๆ" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวประชาชนส่วนหนึ่ง พยายามต่อสู้กับทหาร ทหารที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา กระทั่งปืน โดยประชาชนพยายามขว้างอิฐ ขว้างหิน เข้าใส่แถวแนวของทหารพวกนั้นก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกทุบเป็นก้อนย่อมๆก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกขว้างสุดแรงเกิด ใส่แถวแนวทหารก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ทำได้เพียงตกแทบปลายตีน คงเพียงสร้างความรำคาญให้ทหารราบทหารเลวเหล่านั้น หาได้ระคายเคืองต่อระบอบทหารไม่!ชายหนุ่มคนหนึ่งจึงละความพยายามจากการขว้างปาก้อนหิน เปลี่ยนเป็นยืนหันหลังให้แถวแนวของทหาร ... แล้วถลกโสร่งของตัวเองขึ้น!!! ... ก่อนสะบัดตูดให้แถวแนวทหารเหล่านั้นเช่นเคย ... หาได้ระคายเคืองต่อแถวแนวทหารเหล่านั้นไม่ คงได้เพียงความสะใจปลอบประโลมชายหนุ่มคนนั้น และผู้ยืนปรบมือเชียร์"เราขอประกาศห้ามรวมตัวกันมากกว่า 5 คน ขอให้กลับบ้านใครบ้านมันภายใน 10 นาที" เสียงจากรถขยายเสียงของทหารพม่า เตือนผู้ชุมนุมแถวแนวทหารเหล่านั้น กระชับขึ้น มุ่งตรงมายังประชาชน พวกเขาใช้ไม้กระบอง ตีโล่เป็นจังหวะ ตุบ ตุบ ตุบ ... .... .... ใกล้เข้ามาเรื่อยๆประชาชนทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ขว้างปาอิฐเข้าใส่ป้อมตำรวจเล็กๆ แถวนั้นภาพที่เห็นคือชายสอง-สามคน ลองขว้างก้อนหินใส่แถวแนวทหารที่กำลังตบเท้าใกล้เข้ามาๆขวางได้เพียงสอง-สามก้อน เสียงปืนนัดแรกก็ดังขึ้น ผู้คนหนีกระจายเสียงปืนนัดต่อไปดังขึ้น นัดแล้ว นัดเล่าวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง และวิ่ง ผู้คนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตบิน บิน บิน บิน และบิน อุปมาดั่งพิราบเหล่านั้น บินเพื่อเอาชีวิตรอด บินเพื่อฝันถึงประชาธิปไตยบทใหม่ในพม่า ซึ่งคงเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้สักวันแต่ไม่ทันที่จะได้อย่างใจหวัง พิราบถูกยิงปีกหักร่วงลงมา จบชีวิตเสรี ณ ตรงนั้น ย่านพระเจดีย์สุเล! 000 26 กันยายน 2550วัดพระมหาเจดีย์ชเวดากอง, กรุงย่างกุ้ง    ภาพที่เห็นคือ...พระสงฆ์และประชาชนหลายร้อยคน ตั้งแถวประจันหน้ากับปลายทหารซึ่งอยู่ตรงหน้า ซึ่งปลายกระบอกปืนนั้นหันมาทางพระสงฆ์และประชาชนเหล่านั้น ...พระสงฆ์นั่งลง และไหว้ทหารเหล่านั้น พระสงฆ์บางรูปก็ประกาศด้วยโทรโข่งร้องขอสันติภาพแต่ไม่เป็นผล ทหารตบเท้าเข้าหาพระสงฆ์และประชาชนเหล่านั้น จากนั้น ... เสียงกระบองทุบตีผู้คน ดังไปทั่วบริเวณชายคนหนึ่งถูกทหารไม่ต่ำกว่าสองนาย ทั้งถีบทั้งตีด้วยกระบอง ก่อนที่ทหารนายหนึ่งจะถีบสุดแรงตีนจนชายคนนั้นคว่ำลง แล้วทหารก็เหยียบหลังของเขาเอาไว้ทั้งพระทั้งคน ถ้าโชคดีไม่ถูกทหารยื้อยุดฉุดลากขึ้นรถบรรทุกเสียก่อน ก็หนีอย่างไม่คิดชีวิตด้วยการปีนกำแพงวัด แล้วเข้าไปหลบในเขตอภัยทานนั้นเมื่อหลบได้แล้ว พระเณรบางรูปก็หาทางตอบแทน ด้วยการขว้างก้อนหินเข้าใส่ทหารเหล่านั้น ซึ่งก็ทำให้ทหารถอยไม่เป็นกระบวนชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วทหารเหล่านั้นก็โต้กลับด้วยแก๊สน้ำตา และระดมขว้างก้อนหินกลับคืนขบวนพระสงฆ์และประชาชนแตกกระจัดกระจายอีกครั้งหนึ่ง 000  ภาพที่เห็นคือ...ผู้ประท้วงหายไปจากท้องถนน เหลือแต่ทหารพร้อมปืนประจำกาย ประจำการอยู่เต็มจุดสำคัญๆ ในกรุงย่างกุ้ง"การประท้วงจบแล้วหรือ หรือมันจะเกิดขึ้นอีก?" คำถามลอยมาตามกระแสลม"ประชาชนไม่ชอบรัฐบาล แต่เราไม่มีกำลัง เราไม่มีอาวุธ ... เราจึงไม่มีอิสรภาพ" คนขับรถประจำทางในกรุงย่างกุ้งกล่าว"ทหารเป็นนักฆ่า พวกเขาฆ่าพระ ช่างโหดร้ายนัก แย่มาก แย่ที่สุดในโลก" ชายอีกคนที่กำลังกินดื่มอยู่ใต้แผงขายอาหารริมทางกล่าว"เราไม่ลืมเด็ดขาด และเราจะไม่ยอมแพ้" เขากล่าว 000นายโทนี่ เบิร์ทลีย์ ภาพที่เห็นทั้งหลายนั้น...เป็นผลงานถ่ายทำของ นายโทนี่ เบิร์ทลีย์ (Tony Birthly) เพื่อเป็นสารคดี Inside Myanmar: The Crackdown ให้กับสำนักข่าวอัลจาซีรา โดยออกอากาศครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมาสำหรับสารคดีดังกล่าว เขาใช้เวลากว่าสองสัปดาห์ในพม่า เพื่อบันทึกภาพการชุมนุมประท้วงรัฐบาลทหารพม่า โดยเขาเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศเพียงไม่กี่คน ที่รายงานข่าวผ่านกล้องที่เขาซ่อนเอาไว้ ท่ามกลางการปราบปรามประชาชนของรัฐบาลทหารพม่าสิ่งที่ติดตาผมก็คือ ความพยายามของประชาชนพม่าที่ต่อสู้กับเผด็จการโดยใช้สันติวิธีมาตลอด กระทั่งเมื่อคู่ต่อสู้ตรงหน้าถือปืน และมุ่งเอาชีวิตประชาชน พวกเขาความพยายามอย่างยิ่งยวดที่สุด ที่เขาจะต้านทานทหารเหล่านั้นเอาไว้ ก็เพียงแค่เศษอิฐ เศษหิน ซึ่งอำนาจทำลายล้างย่อมเทียบไม่ติดกับ รัฐบาลทหารที่เพียบพร้อมด้วยแสนยานุภาพและครองเมืองมายาวนานเกือบ 50 ปีแต่เพียงแค่ก้อนหินของประชาชน รัฐบาลทหารพม่า (รวมถึงรัฐบาลทหารที่ไหนก็ตามในโลก) ก็มีข้ออ้างเพียงพอแล้ว ที่จะปราบปรามประชาชนของตนเอง โดยอ้างผ่านกระบอกเสียงของรัฐบาล ทั้งสถานีโทรทัศน์ MRTV หรือหนังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ว่า ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงก่อน และนี่แค่เป็นการเตือน!!นี่เองสะท้อนว่า รัฐบาลเผด็จการไม่ว่าที่ใดในโลก แค่ประชาชนถือก้อนอิฐ พวกเขาก็เห็นเป็น ‘ศัตรูของชาติ' ซึ่งพวกเขาต้องกวาดล้างให้สิ้นด้วยแสนยานุภาพที่เขามีเราจึงไม่อาจไว้ใจคณะลิเกเผด็จการชุดไหนได้เลย การปล่อยให้เผด็จการเป็นเจ้า การใช้วิธีนอกกฎหมายด้วยหวังขจัดวิกฤตการเมือง จึงเป็นการตัดสินใจที่ผิด ประชาชนพม่าซึ่งประสบเคราะห์กรรมกับรัฐบาลทหารมาตั้งแต่ พ.ศ.2505 กระทั่งปัจจุบัน เป็นตัวอย่างอันดี สำหรับประเทศไทย ที่หลายหน้าหลายตา ยอมปูทางให้คณะนายทหารเข้ามาครองเมือง พากันตบเท้าเข้าบ้านหลายเสาของใครบางคนก่อนวันรัฐประหารไม่กี่วันซึ่งการแก้วิกฤตการเมืองเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะคิดผิด แต่ได้ทำให้ประชาชนร่วมชาติพลอยตกหล่ม ถอยหลังลงคลอง ด้วยการนำพาของ ‘คณะลิเกเผด็จการ' มาปีกว่าอีกด้วย และไม่แน่ว่ามีเลือกตั้งแล้ว พวกเขาจะไม่ยอมลงโรงไปง่ายๆการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 จึงเป็นการดูถูกจาบจ้วงล่วงเกินประชาชนร่วมชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน!!เราไม่ควรแม้แต่จะปูทางให้คณะลิเกเผด็จการ ‘คมช.' ยึดอำนาจด้วยซ้ำ ไม่ใช่เขาขอปล้นประชาธิปไตย 1 ปี ก็โร่หอบลูกจูงหลานไปมอบข้าวมอบน้ำ จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้เสียข้าวสุกสิ้นดี เพราะเกิน 1 ปีมา 1 เดือนกับอีกสองวันแล้ว แทนที่พวกจะสำนึกว่าหมดเวลา แล้ว พวกก็ยังลั่นว่าจะสืบทอดอำนาจ ‘ด้วยคุณธรรม'!!ก้อนอิฐเท่านั้นที่เหมาะกับคณะลิเกเผด็จการพวกนั้นพระเอกลิเก คณะลิเก ผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ... รับก้อนอิฐ ก้อนหิน สักก้อนสองก้อนไหมขอรับ ที่มาของฉากในเรื่อง และภาพประกอบบทความInside Myanmar: The Crackdown, Aljazeera, OCTOBER 09, 2007, http://english.aljazeera.net/NR/exeres/A0A81AA6-DACD-4913-AB67-AA8602962EAB.htm ชมสารคดีได้ที่นี่:Inside Myanmar: The Crackdown โดย Aljazeeraตอนที่ 1 ความยาว 12.45 นาที Inside Myanmar: The Crackdown โดย Aljazeeraตอนที่ 2 ความยาว 10.07 นาที   ข้อมูลประกอบเพิ่มเติมชมคลิปวิดีโอพระสงฆ์-ประชาชนประท้วงกลางกรุงย่างกุ้ง 26 ก.ย. ก่อนถูกทหารพม่าปราบ, ประชาไท, 27 ก.ย. 2550 http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9690&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai Nine killed as Myanmar junta cracks down on protests, AFP, Sep 26, 2007http://afp.google.com/article/ALeqM5jkMCKEq7yPbP20x3UjDZH9DbaJIQ Politics of Burma, From Wikipedia, the free encyclopediahttp://en.wikipedia.org/wiki/Politics_of_Burma
โอ ไม้จัตวา
วันนี้พาไปเดินเล่นในดอยกับพญาช้างสารอันแสนน่ารัก ด้วยการทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไปกับแพ็คเก็จทัวร์ของปางช้างแม่ตะมาน สนนราคา 1000 บาทสำหรับคนไทย และ 1500 บาทสำหรับชาวต่างชาติ ออกจากเมืองเชียงใหม่แปดโมงครึ่ง ไปถึงที่นั่นราวเก้าโมงกว่า ๆ ไปเล่นกับช้างน้อยใหญ่ พาช้างไปอาบน้ำ ช้างเป็นสัตว์ขี้ร้อน แต่ช้างที่นี่ดูมีความสุข เพราะมีลำน้ำแม่ตะมานที่กว้างพอสมควรให้ช้างอาบน้ำทุกวัน ดูเหล่าช้างเล่นน้ำกันสนุกสนาน มีพ่นน้ำใส่คนที่ยืนเชียร์อยู่บนฝั่งด้วย ก่อนจะพากันขึ้นจากน้ำมาตีระฆัง เชิญธงชาติ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเป่าเม้าท์ออแกน เตะฟุตบอล นวดให้ควาญ และเดินสวนสนามดูไปดูมาฉันเห็นช้างยิ้ม ดูช้างโชว์เสร็จก็ถึงเวลาอันน่าตื่นเต้นเล็กน้อยสำหรับฉัน ที่ทำใจมาแล้ว เคยมาแล้วก็อดกลัวไม่ได้ ช่วงเวลาบนหลังช้างค่ะ พยายามนึกว่าคนขี่หลังเสือลงยากกว่าหลังช้าง ซึ่งแม้จะตัวใหญ่แต่ก็เดินช้า ๆ ทว่ามั่นคง ช้างที่ฉันนั่งชื่อบุญมี อายุ 40 ปี เป็นช้างพัง ฉันทักทายบุญมีเพราะอายุใกล้เคียงกัน ขี่ช้างต้องทำตัวโยกเยกไปตามจังหวะการเคลื่อนของช้าง เวลาลงเนินก็หวาดเสียวนิด ๆ แต่ก็มั่นใจในตีนช้างช้างตัวใหญ่ แต่ใช้ทางเดินแคบ ๆ ไม่เหมือนคนตัวเล็กแต่สร้างถนนกินบ้านกินเมืองมากมายควาญเล่าว่า ช้างเป็นสัตว์ขี้เหงา ต้องอยู่กับคน ความคิดว่าจะสร้างสถานที่แล้วนำช้างเป็นร้อยเชือกมารวมกันไว้โดยไม่มีควาญ แล้วสร้างกำแพงล้อม เหนือกำแพงเป็นร้านอาหารให้คนนั่งดื่มกินดูช้าง เป็นความคิดที่ไม่รู้จักช้าง นั่งอยู่บนหลังช้างชมนกชมไม้อยู่ในป่า ขึ้นเขาลงห้วยด้วยทางของช้าง นึกถึงคนโบราณเวลาเขาเดินทางในป่าไปกันอย่างนี้นี่เอง จบจากทางช้างที่ห้างนาแห่งหนึ่ง ต่อด้วยเกวียนเทียมวัวอีกสักสิบนาที ผ่านกลางหมู่บ้าน กลับเข้าสู่ปางช้าง กินอาหารกลางวัน (อาหารธรรมดา ๆ แต่อร่อย) แวะชมแกลอรีภาพเขียนของช้างจากทั่วโลก จิบกาแฟยามบ่ายริมน้ำแม่ตะมาน ก่อนลงแพล่องไปตามลำน้ำแม่ตะมาน ไปขึ้นที่ท่าแพโดยมีรถมารอรับกลับเชียงใหม่ กลางสายน้ำยามบ่ายมีเพียงความเงียบสงบ เสียงลม เสียงน้ำไหล คลื่นน้ำ กิ่งไม้แห้ง ป่าเขียว นกสีฟ้าบินผ่านหน้า คนถ่อแพชี้ให้ดู บางครั้งการมาคนเดียวก็ทำให้ได้ยินเสียงที่ไม่ค่อยได้ยิน...เสียงของตัวเองศิลปินช้างตบหัวแปะ ๆอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนวดให้ควาญช้างเป่าเม้าท์ออแกนช้างยิ้มช่วงเวลาอันแสนสุขเส้นทางช้างควาญช้างที่นี่ส่วนใหญ่เป็นช่างภาพด้วย แต่ควาญคนนี้เด็ดมาก กลับหลังหันถ่ายรูป แจ๋วจริง ๆอยากมีเพื่อนแบบนี้บ้างอุเหม่ เจ้าไก่น้อย วิ่งไปวิ่งมากลางดงตีนช้าง
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี 05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่“สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสร ธ กรุงไทย สาขาบางบัวทองหรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240 สำหรับคนที่อยากขอคำพยากรณ์จากไพ่เป็นการส่วนตัว ตอนนี้ของดรับก่อนนะคะ - ปีหน้าค่อยว่ากันอีกทีเนาะ
พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
๑.การเมืองของนักเลือกตั้งเร่าร้อนยิ่งขึ้นทุกขณะการแถลงข่าวของบุคคล กลุ่ม ก๊วน และพรรค ตลอดจน "อนาคตพรรคการเมือง"มีขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับตลาดนัดในอดีต ที่มีทั้งปาหี่ คนเล่นกล พ่อค้าเร่และแม่ค้า "เจ้าประจำ" คุ้นหน้าสถานที่พบปะระหว่าง "ผู้ซื้อ" กับ "ผู้ขาย" นั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า "ตลาด" โดยมี "สินค้า" เป็นสื่อกลาง แลกเปลี่ยนความพึงใจระหว่างกัน...ในที่ชุมนุมเช่นนี้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง "คุณค่า" และ "มูลค่า"นอกจากจะมี "ความจริง" เป็นเครื่องเทียบเคียงแล้วดูเหมือนว่า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็มีส่วนอยู่ไม่น้อยสำหรับการตัดสิน หรือชี้วัดความพึงใจตลาดโดยทั่วไปมักเปิดเป็นประจำ และสม่ำเสมอน่าเสียดายที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ยังไม่อยู่กับร่องกับรอย"ตลาดการเมือง" หรือ "ตลาดซื้อขาย ส.ส." จึงเปิดบ้างปิดบ้างอย่างกะปริบกะปรอย ไม่คงเส้นคงวาเป็นวาระคำว่า "ตลาดการเมือง" อาจฟังดูแสลงหูอยู่บ้างสำหรับผู้เกี่ยวข้อง และคิดเอาว่า "ตลาด" เป็นของต่ำรวมทั้ง การนับเอา "นักการเมืองผู้ทรงเกียรติ" ให้เป็นเพียง "สินค้า"เช่นเดียวกับพริก หอม กระเทียม เนื้อหมู เนื้อวัว และเป็ดไก่ใน ตลาดนัด - ตลาดสด แต่... ว่าก็ว่าเถอะ เรายังมีนักการเมืองที่สูงเกียรติ ด้วยคุณธรรมจริยธรรมหรือด้วย อุดมคติ-อุดมการณ์สูงส่ง อยู่อีกล่ะหรือ?ใครลองหลับตา แล้วนึกย้อน ครุ่นคิด-ใคร่ครวญ ด้วยใจที่เป็นธรรมดูสักหน่อยเถิดว่า... ประสาคนอ่านหนังสือพิมพ์ กินข้าวแกง นั่งรถเมล์ ดูฟรีทีวี ฯลฯอย่างที่เป็นๆ กันอยู่ทั่วไปนี้เรามีรายชื่อ "นักการเมืองในฝัน" มี "นักการเมืองในอุดมคติ" แห่งยุคสมัย ถึง ๑๐ รายชื่อหรือไม่?รัฐธรรมนูญใหม่กำหนดจำนวน ส.ส. ไว้ ๔๘๐ ท่านเชียวนะแค่หาทำยาสัก ๑๐ - ๒๐ คน ก็ยังหาไม่ได้เอาเลยเชียวหรือ?๒.ในแวดวงการเมืองนั้น "อำนาจ" และ "ผลประโยชน์" เป็นเรื่องใหญ่จะเป็น "ทางตรง" หรือ "ทางอ้อม" ของ "ตัวเอง" หรือ "พวกพ้อง" หรือเพื่อ "มหาประชาราษฎร์" ก็คงยากที่จะไปกะเกณฑ์จำกัดความแต่ที่แน่ๆ ก็คือ "อำนาจ" และ "ผลประโยชน์" นี่เองที่เป็นตัวเลือกสรรค์คัดกรอง "นักการเมือง" ยุคปัจจุบันในเบื้องต้นหาใช่  "กรรมการคัดตัวผู้สมัคร" หรือ "ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง" ไม่...ด้วยว่า หากใครสักคนมีมโนธรรมสำนึก และตรึกตรองโดย ทางธรรม/ทางโลกย์ ได้แจ่มชัดพอสมควรแล้วโดยสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ "ใครคนนั้น" จะหาญกล้าเข้าไปเกลือกกลั้วกับปลักตมที่เห็นอยู่ตรงหน้าอันมีพร้อมทั้งกับดักและขวากหนาม ฯลฯ อยู่ละหรือ?ต่อให้มีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่เต็มเปี่ยมก็เถอะ..."อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้" โบราณมีสอนมีเตือนไว้แล้วทั้งนั้นพอเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะหา "ตัวแทนประชาชน" เข้าไปทำหน้าที่ "ผู้แทนปวงชนชาวไทย" กันโดยวิธีใด?และถ้าตัวแทนในระบบเลือกตั้งมันเลวแล้วเราจะหาตัวแทนโดยธรรมชาติ หรือตัวแทนโดยตรงจากที่ไหน?โจทย์เหล่านี้เป็นเรื่องยาก และนักเลือกตั้งก็รู้ดีสามารถนำมาใช้ประโยชน์ นำมาทำมาหากินอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงไม่มีใคร "ปฏิรูปการเมือง" ให้ตรงเป้าอย่างพร้อมที่จะทำลายหม้อข้าวตัวเองเพื่อเติมเต็มหม้อข้าวของประชาชนได้แต่อาศัยช่องว่างช่องโหว่แก้ปัญหาหิวโซตามใจกิเลสไปวันๆ๓.ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษธานีเทศนาชี้แนะเกี่ยวกับ "ธรรมะกับการเมือง" เอาไว้หลายแง่มุมทั้งกว้างขวางและลึกซึ้ง ด้วยหลักการอันเป็นอกาลิโกแต่น่าเสียดาย ที่ดูเหมือนกับว่าแม้ศิษยานุศิษย์ของท่านเอง โดยเฉพาะวงในใกล้ชิดก็ไม่ค่อยจะเอาด้วย หรือเห็นด้วย กับท่านนักหลังจากท่านละสังขารไปใน พ.ศ.๒๕๓๖"ท่านอาจารย์" ของใครต่อใคร จึงกลายเป็นโน่นนี่ ไปหลายต่อหลายอย่างยกเว้นองค์คุณเกี่ยวกับการประยุกต์ธรรม เพื่อนำมาใช้ได้ในชีวิตจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน "ระดับโครงสร้าง" หรือ "ระดับอำนาจรัฐ" อันเนื่องอยู่ด้วยสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ตลอดจนวัฒนธรรมที่มีหลักพุทธธรรม หรือศาสนธรรมเป็นศูนย์กลาง หรือเป็นต้นเงื่อนซึ่งนักคิดฝ่ายพุทธเถรวาทน้อยคนนัก จะจับประเด็นได้ลึก และแหลมคมดังที่ "พุทธทาสภิกขุ" ชี้ชวนและนำทางไว้...มัวทำตัวเป็นไก่ได้พลอย สุนัขได้ปลากระป๋องจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรม และความสูญเสีย ไปอย่างสูญเปล่าทำนองว่าคนดีไม่ได้เครื่องมือ ไม่มีธรรมะใช้ปล่อยคนร้ายอ้างผิดๆ ถูกๆ หากินกับ "ท่านอาจารย์"ตั้งแต่อดีตนายกฯ ยันเอ็นจีโอใหญ่ๆ และนักวิชาการมากอัตตาตลอดจนปัญญาชนหน้าไหว้หลังหลอก พระเณรเถรชี มากรูปหลายนาม...จับพลัดจับผลู "ธรรมะ" จึงกลายเป็นเครื่องมือของ "ทุนนิยม" ไปเสียเองด้วยว่า เหลือเพียงแง่มุมระดับปัจเจก และ "ส่งเสริมการหลุดพ้นส่วนตัว"เสียเป็นด้านหลัก หลงลืมการสร้างเหตุปัจจัย และการบำเพ็ญเพียรเพื่อเสริมบารมีอย่างชนิดที่หนุนช่วย และนำพากันไปนิพพาน ตามหลัก "อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท" อันเป็นแก่นแกนมาแต่เดิมทันทีที่ธรรมะถูกใช้ให้ทำหน้าที่สร้างและพัฒนาปัจเจกบุคคลทุนนิยม-บริโภคนิยม ก็หัวร่อร่าค่าที่ช่วยผลิต "นักบริโภคคุณภาพสูง" ให้กับตลาดโดยบริษัทบรรษัท ข้ามชาติ-ในชาติ เหล่านั้นไม่ต้องลงทุนลงแรงหรือสิ้นเปลืองต้นทุน วัตถุดิบ และพลังงานแต่อย่างใดเมื่อเป็นกันอย่างนี้ "นักเลือกตั้ง-นักกินเมือง" ทุศีลจึงพากันอาศัยบางหัวข้อธรรม อาศัยการสละทรัพย์ซื้อเสียงซื้อศรัทธา "สมาชิกวัด"ด้วยการทุ่มทุนสร้างกุฏิริฐาน สร้างซุ้มประตูสร้างรั้ววัดไต่บันไดโบสถ์ บันไดเมรุ เข้าสภาฯ มีเจ้าอาวาสเป็นหัวคะแนนทางอ้อม ฯลฯ กันอยู่เนืองๆ เป็นอันว่า "ธรรมะกับการเมือง" หลงเหลือเพียงเท่่านั้นและมหาเถรสมาคม หรือภาครัฐ โดยสำนักงานพุทธฯ ก็ดูจะพอใจที่พระ วัด และหลักธรรม(บางข้อ) เคาะประตูการเมืองได้เพียงที่กล่าวมาแล้ว๔.ผู้เขียนเองเคยรับนิมนต์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไปร่วมการเสวนาระหว่างศาสนา ว่าด้วย "จริยธรรมของผู้นำ(ทางการเมือง)"เมื่อครั้งที่ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" จัดเวทีอยู่ที่ใกล้สะพานมัฆวาฬ คราวขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรคืนนั้นกล่าวกันถึงตัวผู้นำรัฐและนโยบายของเขา ด้วยมุมมองของชาวพุทธ คริสต์ และอิสลามโดยมีพระภิกษุ บาทหลวง และนักวิชาการมุสลิม ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะผู้ฟังหน้าเวที และผู้ชมผ่านระบบการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ มีท่าทีการตอบรับที่น่าสนใจหากวันรุ่งขึ้นอธิบดีกรมศาสนากลับออกมาแสดงท่าทีที่น่าสนใจยิ่งกว่ากล่าวคือ ท่านอธิบดีได้แถลงข่าวอย่างฮึกเหิมมุ่งมั่นว่าการที่พระไปร่วมกิจกรรมเช่นนั้นหากมิใช่ถูกหลอก และไปอย่างรับรู้ก่อน ว่าจะมีกิจกรรมเช่นไรถือเป็นความผิดทางวินัยสงฆ์ขั้นร้ายแรง ถึงขั้นต้องบังคับให้สึกหาลาเพศว่ากันถึงขนาดนั้น...โดยไม่ดูดำดูดีกับวินัยสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ตามธรรมวินัยเอาเลยโชคยังดี ที่เมื่อนักข่าวนำความที่ว่าไปสอบถามกรรมการมหาเถรสมาคมท่านหนึ่งพระมหาเถระท่านนั้นได้มีเมตตา ตอบนักข่าวไปว่าฝ่ายสงฆ์มีสายงานปกครองดูแลอยู่แล้ว หากมีความผิดจริงคณะสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะตำบล คงดำเนินการไปตามลำดับชั้นปกติและโดยส่วนตัว ท่านไม่เห็นว่าการแสดงทัศนะดังกล่าวจะสลักสำคัญอะไรนักเพราะผู้แสดงความคิดเห็นเป็นเพียงพระเล็กพระน้อย ไม่ได้มีชื่อเสียงสมณศักดิ์ที่พอจะมีอำนาจชี้นำสังคม...ผู้เขียนเองได้ทราบข่าวเรื่องนั้นผ่านสื่อจึงมีโอกาสไปค้นคว้าในเว็บไซต์ของกรมศาสนาแล้วพบว่า อันที่จริง เวทีเสวนาดังกล่าว น่าจะจัดโดยกรมการศาสนาเองเสียด้วยซ้ำเพราะกิจกรรมที่มีเนื้อหาดังกล่าวระบุอยู่ในนโยบายและเป้าหมายหลักของกรมศาสนาเองโดยตรงนับแต่ย้ายไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม(เดิมกรมศาสนาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ)พร้อมๆ กับการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี)อันรับผิดชอบเกี่ยวกับแวดวงพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งปวงภารกิจหลักของกรมศาสนา ตามที่ปรากฏในเว็บไซต์ของหน่วยงานแห่งนั้นคือการสร้างความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างศาสนารวมทั้งการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสังคม เป็นด้านหลักเมื่อสื่อมวลชนสอบถามมาที่ผู้เขียน ว่าคิดเห็นเช่นไรก็ได้แต่ตอบไปว่า ท่านอธิบดีกรมการศาสนา คงต้องการเอาใจนายกฯ ทักษิณซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน จึงรีบเร่งออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าจะตอบคำถามโดยข้อเท็จจริง หรือโดยหลักการที่ควรจะเป็นเพราะสิ่งที่ท่านตอบนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ ที่จะบังคับสั่งการนี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ กรณีหนึ่ง ซึ่งสะท้อนภาพความสับสนในบทบาทหน้าที่หรือสะท้อนความบกพร่องหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดจน ความไม่รู้จริง และ/หรือ ไม่รู้ในเรื่องที่ควรรู้ ของรัฐ ของคนของรัฐ หรือของผู้อยู่ในอำนาจรัฐ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพุทธบริษัทอันมีสาเหตุมาจากความอ่อนด้อย ในการเข้าใจธรรมะโดยมิพักจะต้องกล่าวถึงการประยุกต์ใช้ธรรมะ หรือการนำหลักพุทธรรม หลักศาสนธรรม มาใช้ในระดับโครงสร้างของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนวัฒนธรรม ในแง่ของวิถีชีวิตของผู้คน๕.กล่าวเฉพาะใน "ตลาดนัดการเมือง" ที่กำลังตะโกนขายสินค้ากำลังประแป้งแต่งหน้าพ่อค้าแม่ขาย หรือที่กำลังตกแต่งหน้าแผง หน้าร้านกันอยู่นี้กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง หรือวันตัดสินใจครั้งใหญ่ของผู้บริโภคเราคงได้ยินได้ฟังได้ดู การประชาสัมพันธ์ กันอีกหลายรูปแบบทั้ง สรรพคุณของสินค้า สรรพคุณของคนขาย และสรรพคุณของร้านค้า ตลอดจนโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ฯลฯ ก็น่าสนใจ ว่าอะไรจะเป็นที่มา ของการตัดสินใจสุดท้าย ของผู้บริโภคเพราะนั่นจะเป็นคำตอบ หรือภาพสะท้อน "ตลาดนัดการเมือง" ของประเทศนี้ว่ามีคุณภาพแค่ไหน และเพียงใด?ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยการก่อรัฐประหารของคนกลุ่มหนึ่งเราพากันวิพากษ์วิจารณ์สภาพการณ์ทางคุณธรรมและจริยธรรมของอดีตผู้นำและรัฐบาลภายใต้การกำกับของเขาอย่างหนักหน่วงจนเป็นเหตุให้บางคนบางกลุ่มนำเงื่อนไขนี้เข้าช่วงชิงล้มล้างอำนาจรัฐเดิมด้วยข้อเสนอ และข้ออ้าง ว่าจะสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาพร้อมๆ ไปกับการปัดกวาดเช็ดถูปฏิกูล ที่อดีตรัฐบาลและพวกพ้องทำเรี่ยราดไว้นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ ว่าหากกล่าวโดยเวลากันแล้ววันคืนที่ผ่านมา มีอาจมใดๆ ของคุณทักษิณที่ถูกเช็ดล้างออกไปได้บ้างหรือว่า การที่เราได้กลิ่นเน่าเหม็นของรัฐบาลไทยรักไทยน้อยลงจะเป็นเพียงเพราะปฏิกูลกลุ่มใหม่ถ่ายของเสียชนิดใหม่กลบทับเอาไว้แทนที่หรือจะเป็นว่า พออยู่ร่วมกับของเหม็นหลายชนิดเข้าเราทั้งหลายก็เริ่มคุ้นชินกันไปเอง...ซึ่งถ้าเป็นไปอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าเราคุ้นเคยกับความเน่าเหม็น จนไม่รู้สึกรู้สา ไม่ยินดียินร้าย กันสักเท่าไรก็อย่าได้แปลกใจกันเลย ว่าทำไมพ่อค้าแม่ขายในตลาดการเมืองไม่ว่าร้านใดๆ แผงใดๆ จะมิได้ส่งเสียง หรือส่งสัญญาณ ด้าน "คุณธรรม-จริยธรรม" ออกมาให้ฝ่ายศาสนาชื่นอกชื่นใจกันบ้างเลยดูเหมือนว่า เราใช้ศาสตราด้านความดีงาม ความถูกต้องเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ดับดิ้น ให้พ้นไปจากเวที ที่เราอยากจะเข้าไปร่วมด้วยเท่านั้นโดยมิได้ปรารถนาจะใช้เครื่องมือทางศาสนามาแก้ปัญหาอย่างถาวรหรือยั่งยืนแต่ประการใด"ตลาด" ต่างๆ พากันโตขึ้น"พื้นที่ทางศาสนธรรม" หรือ "พื้นที่แห่งความดีงามก็เล็กลงไปทุกทีดูเหมือนกับว่า พวกเราต่างก็รับรู้แต่ไม่มีใครยอมเจ็บปวด เพื่อจะสวนกระแส และก้าวไปสู่สิ่งสูงกว่าอีกต่อไปแล้ว...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง  ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก หรือถ้าสามารถเข้าใจได้แล้ว...ก็ยังมีเรื่องที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือการปฏิบัติให้ได้จริงและเป็นจริง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝืนใจปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ที่ล้วนแล้วแต่เกิดมาเพื่อเรียนรู้การยึดมั่นถือมั่น มากกว่าการลดละและปล่อยวาง...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรื่องนี้ ซึ่งถือกันว่าเป็นแก่นของพุทธศาสนาที่พระเดชพระคุณท่านพุทธทาสภิกขุ เคยพูดเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้คน จะกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่คนจะเข้าใจและปฏิบัติได้ พวกเราส่วนมากที่สักแต่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ จึงกลายเป็นคนที่อยู่ใกล้...แต่กลับไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียวจากของดีที่อยู่ใกล้ตัว เพราะมันฝืนความเคยชิน ฝืนใจคนกิเลสหนาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ  เหลือเกินครับพระคุณเจ้า...จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอีกเหมือนกันที่คนที่หันหลังให้กับทางโลกย์เข้าไปหาทางธรรม ถึงขั้นเข้าวัดวาหรือสำนักปฏิบัติธรรม เพื่อปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง จึงมักจะเป็นคนที่ได้ประสบกับความทุกข์ทางใจอันใหญ่หลวงมาแล้วอย่างหนักหนาสาหัส และมองเห็นความทุกข์นั้นด้วยตัวเองจริง ๆ เท่านั้น ที่มักจะพากันเข้าไปด้วยความสมัครใจ และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเมื่อเดินมุ่งหน้าเข้าไปแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะถอยหลังกลับมาดังเช่นกรณี ท่านศาสตราจารย์ อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง นักปฏิบัติธรรม อาวุโส ผู้มีชื่อเสียงขจรขจายในวงการพุทธ ศาสนา ได้ให้สัมภาษณ์ คุณขวัญใจ เอมใจ เอาไว้ในหนังสือสารคดีประจำเดือนมีนาคม 2543 เกี่ยวกับเส้นทางการปฏิบัติธรรมของท่านเอาไว้ตอนหนึ่ง ซึ่งตรงกับประเด็นที่ผมได้เกริ่นกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ และควรค่าแก่การศึกษา ดังต่อไปนี้สารคดี : เหตุผลหลักที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ท่านตัดสินใจบวชคืออะไรคะ ดิฉันได้ยินมาว่า มีความ    คิดสองทาง มองว่าคนที่มาบวชนั้น หนึ่ง เพราะมีความทุกข์ สอง เป็นคนที่กำลังแสวงหา บางคนมองไกลไปถึงว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้แสวงหาอีกท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติอ.รัญจวน : เห็นทุกข์ค่ะ แต่ก่อนนี้ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่อาการของความทุกข์ก็คืออาการซัดส่ายของใจ วุ่นวายไม่เป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่าอยู่กับความทุกข์ เพราะไม่เคยศึกษา พอมาตอนหลังก็มีเหตุที่ทำให้เริ่มเห็นความทุกข์ชัดขึ้น คือเรื่องหลานชาย ดิฉันมีหลานชายที่ดิฉันเลี้ยงเอาไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ  เขาเป็นเด็กเก่ง เด็กฉลาด เรียนหนังสือดี อยู่มหาวิทยาลัยก็เรียกว่าเป็นดารา แต่เขาเป็นคนคิดมาก ดิฉันไม่รู้ว่าเขาคิดมากขนาดไหน ภายนอกของเขาเป็นคนที่รื่นเริงบันเทิงใจมาก อยู่ที่ไหนมีแต่จะทำให้ที่ตรงนั้นมีเสียหัวเราะ เพื่อนฝูงจะไปไหนก็มาขอให้เขาไปด้วย เพราะเขาเป็นคนนำ ทำให้เพื่อนฝูงสนุกสนาน มีปัญหาอะไรก็แก้ไขปัญหาให้เพื่อน แต่ผลที่สุด เขาก็แก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ ต้องเข้าไปอยู่โรงพยาบาลจนทุกวันนี้  เขาไม่ก้าวร้าว แต่จะพูดจะคิดอะไรเลื่อนลอย อยู่กับความหลัง อยู่กับอนาคต แต่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ตอนนั้นดิฉันเริ่มรู้แล้วว่า อ้อ...ความทุกข์มันเป็นเช่นนี้เองแล้วก็นั่งคิด เอ...นี่เราเลี้ยงเขาผิดหรือเปล่า ทั้งที่เราก็ประชาธิปไตยพอสมควร มีอะไรก็พูดอภิปรายกัน ไม่ได้เก็บกักอะไรเขาเลย ก็ถามตัวเอง โทษตัวเอง รู้สึกเศร้าใจ ยิ่งเมื่อเห็นดอกเตอร์หนุ่ม ๆ ก็นึกในใจ หลานเราก็เป็นได้ แล้วเขาก็เป็นได้อีกตั้งหลายอย่าง เป็นนักดนตรี นักพูด นักเขียน แต่กลับมาเป็นอย่างนี้ นี่ละจิตที่ทุกข์จริง ๆ ก็ตอนนั้นสารคดี : เรื่องหลานชายถือเป็นเหตุปัจจัยหลักที่ทำให้เห็นทุกข์ กระทั่งตัดสินใจบวชอ.รัญจวน : ใช่ค่ะ เริ่มเห็นความทุกข์ชัดเจนขึ้น ทั้ง ๆ ที่เราอยู่กับความทุกข์มาตลอดชีวิตอย่างที่เล่ามาแล้ว นี่ที่สำคัญมากนะคะ คนทุกคนในโลกนี้คลุกคลีกับความทุกข์มาตลอด แต่ทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันกลับมองไม่เห็น มันมีอยู่ตลอดทั้งวัน  ตลอดระยะทางของชีวิต เกือบจะทุกขณะทุกชั่วโมง ก็ที่เดี๋ยวเราดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวชอบใจ เดี๋ยวไม่ชอบใจอีกแล้ว นั่นละ แต่เพราะไม่เคยเรียนรู้ ก็เลยไม่รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่กับความทุกข์ จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งที่เรารักมาก ยึดถือมาก...ว่ามันเป็นของเราเกิดวิปริตขึ้นมา มันถึงตีตูมเข้ามาที่ใจ ทำไมถึงเห็นว่าเป็นทุกข์มาก ทุกข์ใหญ่  เพราะเราไม่เคยได้ฝึกอบรมใจ เพื่อจะต้อนรับทุกเล็ก ๆ  ที่ผ่านใจเข้ามาตลอดชีวิตของเรา เราไม่เคยรู้ เราไม่เคยจัดการ ที่หลังมันก็จะสะสมความทุกข์ ความไม่พอใจมาเรื่อยทีละน้อย ๆ แล้วพอมีอะไรใหญ่มาก ๆ ลงมาตูมเดียว จึงไม่มีความต้านทานที่จะรับแต่สำหรับตัวเอง พอจะรับได้บ้าง ไม่ถึงเป็นบ้าเป็นหลังไปกับความทุกข์ ไม่ได้ล้มสลบสิ้นสติลงไป ที่เน้นเรื่องนี้ก็อยากจะบอกทุกคนว่า เราควรจะต้องศึกษาเรื่องความทุกข์ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอริยสัจสี่ และเมื่อเกิดอะไรขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นทุกข์ใหญ่ เช่นไฟไหม้บ้าน เกิดอุบัติเหตุตายทั้งหมู่ ลูกสาวหลานสาวถูกข่มขืน ยำยี มันก็จะไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ชอกช้ำจนถึงเสียสติสารคดี : อาการของท่านเองตอนที่เจอทุกข์ใหญ่มากในตอนนั้น เป็นอย่างไรบ้างอ.รัญจวน : ข้างนอกนี่ไม่เป็นอะไร แต่ข้างในรู้สึกเหนื่อย...เหนื่อยมากเหลือเกิน เพราะพอหลานชายออกจากโรงพยาบาล แล้วก็ต้องเอาเขามานอนเตียงข้าง ๆ ติดกัน แล้วก็ต้องคอยพูดคอยปลอบใจ ให้กำลังใจ แนะนำต่าง ๆ  ไหนจะงานสอนที่รามคำแหง แล้วตอนนั้นเป็นประธานสภาอาจารย์รามคำแหง ซึ่งเริ่มมีเป็นครั้งแรกด้วย พอมาถึงบ้านก็ต้องมาทำงานพยาบาลด้วย แล้วพยาบาลโรคทางใจนี่หนักกว่าโรคทางกายนัก เพราะฉะนั้น นอกจากทุกข์เพราะสงสารว่าเขาเป็นอย่างนี้แล้ว ยังทุกข์เพราะเหนื่อยอีก มันเหนื่อยสายตัวแทบขาดทีเดียว เหนื่อยทุกอย่างทั้งกายและใจ เลยรู้ว่า อ๋อ...ลักษณะของความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนี้เองถ้ามองจากตอนนี้ ถามว่า ที่ตอนนั้นตัวเองทุกข์เพราะอะไร ก็ตอบว่า ทุกข์เพราะอุปทาน ยึดมั่นถือมั่น  ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นเราก็ไม่ทุกข์  มีเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่มีอาการอย่างหลานชายของเราอีกนับพันนับหมื่น ทำไมเราไม่ไปทุกข์กับเขา ก็เพราะเขาไม่ใช่หลานเรา นี่ธรรมะบอก เพราะเราไปยึดมั่น เพราะฉะนั้นจึงทุกข์มาก นี่ถ้าไม่ใช่หลานของเรา มีอะไรจะช่วยได้ก็คงช่วยกันไปเท่าที่กำลังจะช่วยได้  แต่ไม่ต้องเสียใจเศร้าหมองจนไม่คิดถึงเหตุผลอย่างใช้สติปัญญาครับ ผมหวังว่า บทสัมภาษณ์ บทนี้ของอาจารย์รัญจวน ที่สูญเสียหลานชายที่ท่านรัก และเป็นเหตุทำให้ท่านหันหน้าเข้ามาปฏิบัติธรรมตราบจนเท่าทุกวันนี้ คงจะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจคำว่า ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นต้นตอความทุกข์ทางใจของคนเราได้ง่ายขึ้น และได้รับประโยชน์จากความเข้าใจนี้กันทุกคนนะครับ.17 ตุลาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ภาพประกอบจาก http://dungtrin.com ขอบคุณครับ
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง ราดน้ำจิ้มเหนียวๆ แล้วใส่ไม้แหลมๆ ให้หนึ่งไม้ “สี่ลูกเอง แพงจัง” ฉันรำพึงกับตัวเอง แต่คงเผลอพูดดังไปหน่อย คนขายเลยขมวดคิ้วใส่“ราคานี้มาตั้งนานแล้วพี่”“ค่ะ ค่ะ ขอโทษที ไม่ค่อยได้มาแถวนี้” ฉันอยากยิ้มให้เธอ แต่ก็รีบหันหลังออกจากแผงกล้วยด้วยความเกรงใจคนขาย กลัวเธอเข้าใจรอยยิ้มของฉันผิดจุดหมายอยู่ห่างออกไปอีกราวๆ สองป้ายรถเมล์ แต่ฉันกำลังอยากชิมกล้วยปิ้งคนกรุง เลยตัดสินใจไม่ขึ้นรถ จะได้เดินไปกินไปอย่างสบายอารมณ์มาตรฐานความอร่อยเป็นรสนิยมส่วนบุคคล สำหรับฉัน กล้วยปิ้งนั้นฝาดไปหน่อย แถมน้ำจิ้มยังหวานแสบไส้ นึกถึงสีหน้าไร้อารมณ์ของคนขายแล้วเห็นใจเธอ ได้ยินว่า ธุรกิจกล้วยปิ้งปัจจุบันนี้มีการทำแฟรนไชส์แล้ว แสดงว่าคนไทยยังไม่เบื่อกล้วยปิ้ง แต่ทำไมหนอ เธอถึงมีหน้าตาเบื่อลูกค้าขนาดนั้น แล้วฉันก็คิดถึงรอยยิ้มของยายยายนั่งอยู่ในเพิงสังกะสีหน้าห้องแถวเก่าๆ ริมถนนในจังหวัดหนึ่งทางภาคอิสาน ตอนที่ฉันยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเพิงของยายเกือบทุกวันยายจะมานั่งปิ้งกล้วยขายตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงเย็น ยกเว้นวันที่ยายปวดเมื่อยจนลุกไม่ขึ้น แต่ทุกวันที่ยายมาขาย ยายจะมียิ้มแจ่มใสมาด้วยเสมอ เหลียวมองทีไร เห็นยายยิ้มทุกที จนฉันอยากจะคิดว่ายายยิ้มให้รถทุกคันที่ผ่านหน้ายายไปรอยยิ้มนั้นเองที่ดึงดูดให้ฉันจอดรถซื้อกล้วยปิ้ง“หนู้...” ยายจะขึ้นต้นแบบนี้ทุกครั้ง “ไปไหน้มาจ๊า กินกล้วยปิ้งของยายไหม้ อร่อยนาจ๊ะ”เสียงเหน่อๆ ของยายทำให้ฉันต้องยิ้ม ยายก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นพูดด้วยสำเนียงจังหวัดไหน เพราะวัยกว่าแปดสิบของยายนั้น ย้ายตามลูกชายมาหลายจังหวัด จังหวัดละหลายๆ ปี ทั้งอุตรดิตถ์ จันทบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา“อู๊ย มันหลายแห่งเหลือเกิ๊น ย้ายจนยายเวียนหั้ว หนู้เอ๊ย ....”เริ่มคุ้นหน้ากัน ยายก็ถามฉันว่า “หนู้ ค้ายอะไรหรือจ๊ะ” แกชี้ไปที่ตะกร้าใบใหญ่ที่ฉันมัดไว้ท้ายรถ ฉันจึงอธิบายว่าไม่ได้ขาย ของที่เต็มตะกร้าเกือบทุกวันนั้นคือกับข้าวหมายายฟังเรื่องบ้านสี่ขาแล้วก็หัวเราะตาหยี  “เหมือนยาย เหมือนยาย”ในกระจาดกล้วยของยาย ทุกวันจะมีถุงก๊อบแก๊บหลายถุงใส่ข้าวคลุกน้ำแกงบ้าง หัวปลาบ้าง ต้มเศษเนื้อบ้าง ยายบอกว่า “เอาไว้ให้หม้า”มีหมามอมแมมหกเจ็ดตัว แวะเวียนมาหายายที่แผงกล้วยปิ้งทุกวัน ยายจะหยิบถุงก๊อบแก๊บใส่ข้าวโยนให้มันคาบไปกิน มีตัวหนึ่งมารอยายแต่เช้า กินข้าวเสร็จแล้วก็นอนข้างๆ แผงของยายไปจนถึงเย็น พอยายกลับ มันก็กลับบ้าง ยายบอกว่ากลางคืนมันนอนไหนไม่รู้ แต่กลางวันมันมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับยาย บางวันมันมีสีม่วงๆ เป็นหย่อมๆ เต็มตัว ยายเล่าว่ามันได้แผลมาจากไหนไม่รู้ ยายเลยเอายาสีม่วงใส่แผลให้ เมื่อแผลมันหาย ยายก็รีบบอกฉันให้ร่วมดีใจด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข เงินที่ฉันซื้อกล้วย ยายบอกว่าจะเอาไว้ช่วยหมาที่อดอยาก วันหนึ่ง ยายเห็นฉันมีพลาสเตอร์แปะอยู่ตรงหางคิ้วเนื่องจากถูกบานหน้าต่างกระแทกใส่ ยายรีบถามไถ่อาการอย่างห่วงใย แล้วหยิบกล้วยปิ้งใส่ถุงให้จนนับไม่ทัน“ยายจ๋า หนูซื้อแค่สิบบาท ยายหยิบเกินแล้วยาย” ฉันรีบบอก“ไม่เป็นไร้ กินกล้วยปิ้งของยาย หนู้จะได้ห้ายไวๆ” ยายยื่นกล้วยถุงใหญ่ (มีเกือบยี่สิบลูก) ให้แล้วบอกด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “อ้ะ ซิบบาท”“สิบบาทยายขาดทุนแย่ แถมให้เยอะขนาดนี้หนูกินไปสามวันก็ไม่หมด” ฉันไม่ได้บอกว่า ที่ซื้อยายเมื่อวาน (และเมื่อวานซืน) ก็ยังไม่หมด“ขาดทุนอาไร้ กล้วยถูกจะตายไป๊ กินไม่หมดก็เอาไปค้ายต่อ” ยายแนะนำ“โธ่ หนูจะไปขายใครเล่ายาย” ฉันยิ้มขำ นึกถึงน้องๆ ที่ทำงานที่ถูกชวนแกมบังคับให้ช่วยกินกล้วยปิ้งทุกวัน ยิ่งช่วงที่แผลยังไม่หาย ยายจะแถมกล้วยให้จนฉันแทบกินแทนข้าวคิดถึง “เจ้าชายน้อย” ของอองตวน เดอ แซง-เต็กซูเปรี และถ้อยคำที่ว่า“สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายสวยงามก็อยู่ตรงที่ว่า มันซ่อนบ่อน้ำไว้ที่ใดที่หนึ่ง”เจ้าชายน้อยและนักบินเดินอยู่ในทะเลทราย “เธฮหิวน้ำเหมือนกันหรือ” นักบินถามเจ้าชายน้อยไม่ตอบ แต่พูดว่า น้ำอาจจะดีสำหรับหัวใจทั้งสองพบบ่อน้ำเมื่อรุ่งสาง เจ้าชายน้อยขอให้นักบินตักน้ำในบ่อให้ นั่นเองคือสิ่งที่นักบินค้นพบ การเดินใต้แสงดาว การค้นพบบ่อน้ำกับเสียงเพลงของลูกรอก และแรงแขนของเพื่อนที่สาวถังน้ำขึ้นจากบ่อ ทำให้น้ำนั้นสดชื่นราวน้ำหวานในงานรื่นเริงเจ้าชายน้อยบอกนักบินว่า“ผู้คนในโลกของคุณ ปลูกกุหลาบห้าพันต้นในสวนเดียว แต่เขากลับไม่เคยพบสิ่งที่เขาต้องการ”“ใช่ เขาไม่เคยพบมันหรอก” นักบินตอบเจ้าชายน้อยบอกว่า“ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาค้นหา อาจจะพบได้ในกุหลาบเพียงดอกเดียว หรือในน้ำเพียงเล็กน้อย”แล้วเขาก็เสริมว่า“แต่ตาของคนเราบอด สิ่งนั้นต้องหาด้วยหัวใจ”กล้วยปิ้งราคาสี่ลูกยี่สิบบาทบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ และฉันก็ไม่ได้อยากกินกล้วยปิ้ง เพียงแต่ฉันคิดถึงรอยยิ้มของยาย และรู้สึกว่า กล้วยปิ้งนั้นดีต่อหัวใจ

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม