วันนี้เรือจอดที่เมือง Civitavecchia ซึ่งเป็นเมืองท่าปากทางเข้าสู่มหานครกรุงโรม การเดินทางไปถึงกรุงโรมจากเมืองนี้ต้องนั่งรถไฟ รถทัวร์ หรือแท็กซี่เข้ากรุงโรม ประมาณหนึ่งชั่วโมง ดิฉันไปกรุงโรมหลายครั้งจนนับไม่ได้ ได้มีโอกาสไปกับทัวร์นักท่องเที่ยว ไปส่วนตัว ไปกับคนรัก ไปกับเพื่อน หรือแม้แต่ไปตามหัวใจเรียกร้อง
ครั้งหนึ่งที่ฉันยืนอยู่หน้าคริสต์ศาสนสถาน วาติกัน ณ กรุงโรม อิฉันรู้สึกเหมือนเสียงกังวาลก้องหูบอกกับตัวเองว่า แม้เราจะนับถือศาสนาแตกต่างกัน แต่เราก็ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่น แต่ในใจก็อดครุ่นคิดไม่ได้จากประโยคที่ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ตรัสในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเมื่อปลายปีที่แล้ว (วันที่ 22 ธันวาคม) ณ หอเคลเมนไทน์ ในสำนักวาติกันว่า “การพิทักษ์ปกป้องมนุษยชาติให้พ้นจากพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้นมีความสำคัญพอๆ กับการพิทักษ์รักษาผืนป่าให้พ้นจากการถูกทำลาย” และ "ศาสนจักรโรมันคาทอลิกมีหน้าที่ปกป้องสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง นั่นหมายความว่าไม่เพียงจะปกป้องผืนดิน น้ำ และอากาศเท่านั้น แต่ยังจะต้องปกป้องมนุษยชาติให้พ้นจากการทำลายตัวเองด้วย" ถ้อยคำตรัสของพระองค์ยังสะท้อนให้เห็นถึงการไม่ยอมรับต่อทฤษฎีทางเพศโดยสิ้นเชิง โดยชี้ว่าทฤษฎีดังกล่าวทำให้การแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างผู้หญิงและผู้ชายนั้นพร่ามัว ไม่เป็นไปตามกฏธรรมชาติ
ดิฉันไม่เถียงหรือคัดค้านหรอกค่ะ แต่ก็ข้องใจตัวเองว่า แล้วทำไมพระเจ้าถึงได้สร้างให้คนที่เกิดมามีร่างชายแต่มีหัวใจเป็นหญิง พระเจ้าช่วยเปลี่ยนหัวใจให้เป็นชายเหมือนกับร่างกายจะได้หรือไม่ หากพระเจ้าทำได้เช่นนั้นจริง คนที่นับถือศาสนาคริสต์ทั้งหลายคงไม่มีใคร (สักคน) ที่เป็นเกย์หรือพระเจ้าไม่เข้าข้างเกย์
ตอนสมัยเรียนวิชาศีลธรรม และศาสนา เคยจำแต่ว่าทุกศาสนานั้นสอนให้คนเป็นดี แล้วคนที่เป็นเกย์ เป็นคนไม่ดีหรือ แม้ศาสนาส่วนใหญ่เชื่อว่าหากใครที่เป็นเกย์ เลสเบี้ยนนั้นเป็นบาปมหันต์ อิฉันเข้าใจว่าทุกคนมีบาป และมีกรรมของตัวเองถึงได้ต้อง “เกิด” มาชดใช้กรรมเก่า
ไม่ว่าส่วนตัวจะนับถือศาสนาอะไร แต่ส่วนทางใจแล้วบอกกับตัวเองเสมอว่า ไม่เคยคิดทำให้ศาสนาที่นับถือนั้นเสื่อมเสีย แต่ก็ภาคภูมิใจที่ตัวเองเกิดมาเป็นเกย์ สภาวะปัจเจกบุคคลทางเพศที่รักเพศเดียวกัน อย่างน้อยก็ไม่เคยคิดจะทำลายมนุษยชาติ ด้วยการหลอกตัวเองเพื่อที่จะแสร้งแต่งงานกับหญิง ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ และไม่เคยรังเกียจเพศภาวะทางธรรมชาติชายจริงหญิงแท้ หากแต่เคารพ เชิดชูด้วยซ้ำ เพราะชีวิตบอกกับตัวเองเสมอว่า ตัวเองเกิดมาคนเดียว แม้พรากจากไปก็ไปคนเดียว จริงอยู่ที่หากคนทุกคนเกิดมาเป็นเกย์ เลสเบี้ยนกันหมดความสมดุลทางธรรมชาติคงจะหมดไป เพราะไม่มีใครสืบต่อกรรมพันธุ์ แต่ความจริงมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นกับคนทุกคน
หัวข้อสนทนาสองเรื่องที่ไม่ควรนำมาถกเถียงกันนั่นคือ เรื่องการเมือง กับศาสนา วันนี้ชาน่าไม่ได้ยกประเด็นนำมาชวนทะเลาะหรือแสดงความคิดเห็น เพียงแค่อยากนำคำตรัสจากสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ผ่านถึงหลายคนที่อาจจะไม่เคยได้สดับรับฟัง แม้บางท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตามมันเป็นสภาวะปัจเจกบุคคล
แม้ทฤษฎีทางเพศเป็นทฤษฎีที่กำหนดทิศทางด้านเพศ โดยที่สังคมมีบทบาทอย่างมากในการเลือกความเป็นเพศของปัจเจกบุคคล ซึ่งกลุ่มเกย์และกลุ่มรักร่วมเพศจากประเทศต่างๆ ได้ให้การสนับสนุนในทฤษฎีนี้ว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจและเปิดกว้างมากขึ้น โดยให้โอกาสพวกเค้าและเธอทั้งหลายได้อยู่ในสังคม แต่ถ้อยคำของสมเด็จพระสันตะปาปานั้นทรงไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุและผลประการฉะนี้ นี่เอง ภาวนาขอเกย์เมน เกย์ไทย เกย์เทศทั้งหลายจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
ชาน่า เขียนตรงจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี อีกครึ่งเดือนเจอกันที่แผ่นดินแม่ -เมืองไทย