เคยคิดอยากเขียนนิยาย ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงเหมือนกัน แต่ฝีมือการเขียนยังไม่เข้าขั้น และที่สำคัญเวลายังไม่เอื้ออำนวย เพราะต้องทำงานเป็นนางแบกโกอินเตอร์ ทำงานทุกวันฮ่ะ (นางแบก คือทำงานอาชีพแบกถาด บนเรือสำราญเจ้าค่ะ)
สัปดาห์นี้อยากเขียนเรื่องจริงจากประสบการณ์ของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของชาน่า ที่เค้ากล้าเผยความเป็นเกย์ต่อครอบครัว ความจริงมันไม่เป็นเพียงแค่ความกล้า หากแต่เป็นสถานการณ์พาไป และอยากให้รับรู้ ยามเมื่อถึงเวลา เนื้อเรื่องและเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงจากครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนครอบครัวหนึ่ง เรียบเรียงโดยชาน่า ล้านนา ค่ะ
วัฒน์ หนุ่มไทยเชื้อสายจีนที่เติบโตมาท่ามกลางวิถีชีวิตของคนไทยในเมืองกรุง ด้วยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่เมืองไทยหลายชั่วอายุคน การใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมของเขาไม่ต่างอะไรไปกับคนไทยครอบครัวจีนทั่วไปเลย พออายุเลยเพญจเพส เขาบรรลุนิติภาวะด้วยวัยวุฒิที่สังคมกำหนดแล้ว แต่ภาวะทางจิตในสายตาของผู้ปกครองยังมองเขาเหมือนเด็กเสมอ และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึง สำหรับปัญหาที่ค้างคาใจมาโดยตลอดตั้งแต่จำความได้ กับบทบาทของชีวิตครอบครัวที่เกิดขึ้น
“แก...บอกพ่อแม่เหอะ ฉันคิดว่าท่านรู้ เพราะยังไงท่านก็เลี้ยงแกมา มีเหรอจะไม่รู้อ่ะ”
“มันจะดีเหรอเธอ... ถ้าหากฉันบอกทางบ้านแล้วเค้ารับไม่ได้ล่ะจะทำยังไง”
กลางค่ำคืนของปลายฝนต้นหนาว และแล้วก็มาถึงวันที่วัฒน์คิดว่า “สักวันคงต้องมาถึง” วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี หลังจากฝนฟ้าตก ๆ หยุด ๆ ตามช่วงฤดูกาล ทุกคนภายในบ้านนั่งทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันอย่างพร้อมหน้า พอทานอาหารเสร็จจึงนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาครอบครัวที่อยู่กันอย่างอบอุ่น เหตุการณ์เหมือนกับเป็นลางสังหรณ์ ไม่ต้องรอให้วัฒน์ได้เอ่ยปากพูดเกริ่นถึงเรื่อง แต่สถานการณ์มันก็พาไปเองด้วยความบังเอิญ แม่เปิดฉากเริ่มต้นด้วยคำถามที่วัฒน์ไม่อยากจะเชื่อเลย
“วัฒน์...ทำงานเหนื่อยมั้ยลูกวันนี้ แม่ขอถามเราหน่อยนะ ขอให้ตอบแม่ตามความเป็นจริงนะลูก ... อือ... เรามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า” แม่นั่งยิ้มเหมือนมีอะไรในใจที่น่าค้นหา กับคำถามที่เป็นปริศนาแปลก ๆ
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับแม่ ผมก็ปกติดีทุกอย่าง ทำไมเหรอแม่” วัฒน์ถามแม่กลับอย่างงงๆกับการเกริ่นเรื่องคำถามของแม่
“นี่จดหมายของลูกใช่มั้ย นนท์ส่งมาให้”
“ใช่ครับ.... แม่เปิดอ่านเหรอ แม่เปิดอ่านทำไม นั่นมันจดหมายที่นนท์จ่าหน้าซองถึงผม” วัฒน์เห็นซองจดหมายที่รู้อย่างเต็มอกว่าเป็นจดหมายของใคร เพราะจำลายมือและซองได้เป็นอย่างดี คงไม่ได้เป็นของคนแปลกหน้าคนไหน หากแต่เป็นจดหมายของแฟนผู้ชายที่เป็นคนคุ้นเคย ที่เคยมากินนอนที่บ้านของวัฒน์ประจำ ซึ่งทางบ้านของเค้าก็รู้จักหนุ่มคนนี้ดีเหมือนเป็นลูกชายอีกคน เพราะนนท์เป็นเพื่อนสมัยเรียนของวัฒน์ที่รู้จักมักจี่กับครอบครัวของวัฒน์ เพราะเค้าเคยบอกพ่อแม่ของวัฒน์ว่า ขอเป็นลูกชายอีกคน นนท์เค้าเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่จากไปนานแสนนาน
“เราเป็นแฟนกับนนท์เหรอ... !!!! ...”
“ที่แม่เข้าใจถูกแล้วครับ ผมเป็นเกย์ ผมรักนนท์และนนท์เค้าก็รักผมครับ”
แค่นี้ล่ะ เรื่องทั้งหมดก็กลายจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันทีทันใด
“อ๋อ...มันอย่างนี้นี่เอง” แม่ของวัฒน์ได้รับคำตอบจากปากของลูกชายคนโตของครอบครัวอย่างเต็มหู อย่างเสียงดังฟังชัด
“กูคิดว่ากูคงอยู่ร่วมกับมึงไม่ได้แล้วล่ะ”
“ตกลงพวกมึงหลอกกูมาตลอดเลยเหรอ ที่มานอนค้างที่บ้าน มา(....ร่วมเพศภาษาบ้าน ๆ ...)กันในบ้านของกู มึง...ไอ้(...วรนุช...) ไอ้สัตว์เดรัจฉานนนนนนน...” เสียงของผู้เป็นพ่อ กราดด่าหน้าดำหน้าแดง ด้วยความโมโหอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้
วัฒน์ใจหายแว๊บ เหมือนโลกกำลังจะแตก หัวใจกำลังสลาย พายุกำลังกระหน่ำเข้าในใจอย่างเสียไม่ได้
“มึงมีเวลาสามสิบนาที ให้ออกจากบ้านกูไปเดี๋ยวนี้แล้วอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก....” ประโยคที่พ่อพูดออกมาก้องในหู วัฒน์แทบเสียสติ พร้อมกับรุดไปที่ห้อง ที่บอกให้รู้ว่าสถานการณ์นี้อยู่ต่อไปคงไม่ได้แล้ว
“นี่มันอะไรกันเหรอ ถามกันตรง ๆ ก็บอกกันตรง ๆ นึกว่าจะรับได้ นึกว่าจะรู้แล้ว ...ทำไมมันเป็นอย่างนี้” วัฒน์ถามพ่อแม่ด้วยความสงสัยและขุ่นใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น แต่ก็นึกในใจเสมอว่า ถ้าสักวันมันถึงเวลาก็คงเป็นเวลาที่โลกจะเปิดเผยของมันเอง
ทันทีทันใดนั้น วัฒน์เห็นภาพของผู้เป็นพ่อที่กำลังกริ้วโกรธ เข้ามากระชั้นชิดตัวของเขา พร้อมกับง้างมือจะตบด้วยความโมโหสุดชีวิต
ด้วยสัญชาติญาณของมนุษย์ วัฒน์ยกมือขึ้นป้องกันตัวเอง
“นี่มึงคิดจะสู้กูเหรอไอ้วัฒน์ ไอ้ลูกเนรคุณ”
“ผมไม่ได้สู้พ่อ แต่ทำไมพ่อต้องตบหน้าผมด้วย ผมเป็นเกย์แล้วไม่ดีตรงไหนครับ”
“มึงยังจะมาเถียงอีกเหรอไอ้วัฒน์ ...”
“ไอ้วัฒน์.... เสียแรงที่กูเลี้ยงมึงมา ไอ้ลูก....(วรนุช...หอสระเอียไม้โท..)..” แม่ของวัฒน์ก็เสียใจไม่น้อยทั้งด่าและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน
“ผมถามพ่อกับแม่หน่อยเหอะว่า ผมมัน...(วรนุช) ตรงไหน ผมทำทุกอย่างเพื่อพ่อแม่ ครอบครัวและน้อง ๆ ผมเป็นคนดี ทำดีมาโดยตลอด แค่เป็นเกย์แล้วมันผิดตรงไหน”
“พ่อกับแม่จะให้ผมออกจากบ้านไปใช่มั้ย ... นับจากตอนนี้เป็นต้นไป ถ้าใครถามให้บอกเค้าว่า ลูก...(วรนุช) คนนี้มันหนีไปเอง มันไม่รักดีที่เกิดมาเป็นเกย์” วัฒน์บอกกล่าวลาทั้งน้ำตาอาบแก้มอย่างเสียใจ
วัฒน์เสียใจมากที่พ่อแม่ด่าไล่ ยังกะหมูกะหมา ทั้งๆ ที่หลายปีที่ผ่านมาหลังจากเขาเรียนจบก็ช่วยกิจการงานที่ธุรกิจที่บ้าน ยอมทิ้งงานที่รักและเคยทำมาดูแลงานธุรกิจครอบครัว ช่วยทำทุกอย่างตั้งแต่ภารโรงยันผู้จัดการบริษัท จนฐานะและกิจการทางบ้านเจริญรุ่งเรือง กับเรื่องแค่เกิดมารักเพศเดียวกัน ทำไมต้องด่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดความสงสัยพอตอบตามความจริงก็รับไม่ได้ หรือพ่อแม่จะหลอกตัวเองมาตลอด พอรู้ความจริงจึงรับไม่ได้
“ผมจะทำยังไงดี ผมไม่รู้จะไปทางไหน ผมไม่มีเงินเก็บเลย เงินที่ได้มาจากครอบครัวก็ให้พ่อแม่หมด มีติดตัวแค่ไม่ถึงพันบาท” วัฒน์พูดกับตัวเองอย่างน่าสงสารชะตาฟ้าผ่า พรางเก็บข้าวของพร้อมจะออกไปตามความต้องการของพ่อและแม่ในตอนนั้น
วัฒน์ตัดสินใจขอไปอยู่กับเพื่อนสนิท ซึ่งเค้าอยู่กับครอบครัวที่น่ารักมาก พ่อแม่เป็นคนธรรมะธรรมโม มีจิตใจดี หนึ่งชั่วโมงที่เก็บของและรอรถแท็กซี่ที่โทรไปเรียกนั้น มันสุดแสนจะรันทดและทรมานมากที่สุดในความรู้สึกถูกคนที่เค้ารักและรักเค้าไล่ออกจากบ้านอย่างไม่แยแส
--------
“ไม่ต้องเสียใจนะลูก พ่อแม่เค้ารักเรามาก เค้าคงผิดหวังอย่างแรง และตอนนี้เค้ากำลังโกรธอยู่ ลูกอย่าไปโกรธเค้านะ มาอยู่กับเพื่อนสักระยะ พอสบายใจแล้วค่อยกลับไปคุยกับพ่อแม่ละกันนะลูก” แม่ของเพื่อนปลอบและให้กำลังใจ
--------
ผ่านไปสามเดือน เหมือนกับสามปีที่ทรมานใจ และกลุ้มใจโดยตลอดของชีวิตที่ลิขิตเป็นเช่นนี้ พ่อแม่ของวัฒน์ตามหา ทั้งโทรเข้ามือถือ หรือให้ญาติคนอื่นโทรหา แต่วัฒน์ก็มีฐิถิในตัวเองสูงพอ ทุกสายที่เขารู้ว่าเป็นเบอร์มือถือของญาติ เขาจะตัดสายทิ้งไม่รับแม้แต่คนเดียว ทุกครั้งที่กดตัดสายเหมือนการกดทำลายความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืมหาย
วัฒน์ทราบข่าวจากญาติว่า ธุรกิจครอบครัวที่เขาเคยทำตอนนี้ตกต่ำมาก แทบจะอยู่ไม่รอด ผลพวงจากช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทั่วประเทศ อีกอย่างขาดแรงกำลังจากวัฒน์ที่เคยเป็นหัวหลักของงาน
“ถ้าเจอวัฒน์ฝากบอกเค้าด้วยให้เค้ากลับบ้าน ทางบ้านไม่โกรธแล้ว ..พ่อแม่ขอโทษและให้อภัยเขาเสมอ...”
สามเดือนที่ผ่านไปกับการเผยตัวเองให้ทางบ้านรู้นั้น เป็นช่วงที่ทรมานและทุกข์มากที่สุดในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะกินนอน ยังผวาตื่นทั้งน้ำตา ทั้งฝันร้าย ต้องเร่ร่อนหางานทำ ไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่ ถึงแม้จะอาศัยอยู่กับเพื่อนคนสนิท แต่วัฒน์ก็ไม่อยากรบกวนครอบครัวของเพื่อนเป็นเวลานาน และยังไม่รู้ว่าชีวิตจะดำเนินต่อไปทางไหน เค้าติดต่อกับน้องชายและน้องสาว ด้วยความรักและห่วงหาอาทร แต่ก็ห้ามไม่ให้ทั้งสองบอกพ่อกับแม่
-----
เกือบปีที่ทรมานผ่านไป วัฒน์สมัครไปทำงานบริษัทหนึ่งที่อยู่ต่างประเทศ โดยทำงานด้านการบริการเริ่มต้นในต่ำแหน่งที่ลำบากมาก แต่เค้าก็ทนอย่างสุดตัว
และแล้วความรักระหว่างชายกับชายของเขาก็ไปไม่ถึงฝั่ง หลังจากที่วัฒน์ไปทำงานที่ต่างประเทศ นนท์ก็เปลี่ยนไป เริ่มคบชายใหม่
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ๊งงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงง ๆ
“ฮัลโหล..” เสียงผู้หญิงรับ ที่คุ้นเคยว่าเป็นเสียงของแม่ของวัฒน์
“หวัดดีครับ....” วัฒน์สนทนากับเสียงของคนรับโทรศัพท์
“วัฒน์เหรอลูก.... อยู่ไหนลูก แม่คิดถึง แม่ขอโทษ กลับมาบ้านเรานะ พ่อกับแม่รออยู่”
“ผมกลับตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ.... เพราะว่าผมไม่ได้อยู่เมืองไทย ผมมาทำงานอยู่อเมริกาครับ แล้วผมจะโทรมาใหม่นะ แค่นี้นะครับ” วัฒน์ยังไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก เพราะทั้งน้ำตาและความโศกเศร้ามันทำให้พูดออกมาไม่ได้เหมือนมีอะไรติดเสียงและความรู้สึก
.........................................................................................................
สามปีผ่านไป วัฒน์ได้เลื่อนขั้นจากหน้าที่ผู้ช่วยกุ๊กฝึกหัด สู่ตำแหน่งบ๋อยที่ด้อยค่า ณ วันนี้เขาสร้างรายได้เดือนละเป็นแสน ปีละล้าน ส่งเงินกลับบ้าน พร้อมกลับไปเยี่ยมพ่อและแม่ จนทุกวันนี้วัฒน์เป็นเสาหลักของครอบครัว ที่โกยรายได้ให้ปีละเป็นล้าน ๆ
“เมื่อก่อนฉันเคยมีคนโตเป็นผู้ชาย ทุกวันนี้เขาจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญแต่ที่สำคัญลูกฉันเป็นคนดี เขาเลี้ยงพ่อและแม่และน้อง ๆ ....”
-----------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ วัฒน์ (นามสมมุติ) สำหรับ Base on True story ที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ชาน่าเรียบเรียงเพื่อเป็นประโยชน์และสาระสำหรับผู้อ่านคอลัมน์ “พาเม้าท์ชีวิตชาวเกย์”
ไม่ว่าลูกของคุณจะเป็นเพศอะไร ความสำคัญอยู่ที่คุณงามความดีและคุณค่าของคนมิใช่หรือ..