Skip to main content

เปิดตัวหนังสืออีกแล้วหรือพี่..!??!” เครื่องหมายประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ประมาณว่าไม่เข็ดหลาบจำเสียทีนะพี่ หนังสือเล่มไหนเล่มใหม่หรือพี่ ออกมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย


นั่นสิ มันหลบอยู่ตรงไหน กลายเป็นของหายากไปได้อย่างไร หลบหน้าหลบตาคนอ่าน”

ทีเล่นหรือทีจริงก็ตาม สุดท้ายผมก็บอกไปว่า สงสัยแผงเขาไม่ว่างวางของหนัก หรือไม่ก็เขาเก็บออกไปจากแผงเสียแล้วมั้ง แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่า แล้วพี่จะมาเปิดตัวหนังสืออีกทำไม สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานของพี่รวยเหรอ ผมรีบออกตัวว่า เปล่า อาจจะจนก็ได้มั้ง


พอศอของข้าวแพงไข่ไก่แพง บนหนทางที่ไม่ได้ปลูกข้าวกินเอง และไม่ได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่ พอคิดว่าจะเปิดตัวหนังสือ ให้รู้สึกเป็นเรื่องยากๆเปลืองๆ(ตัว)ชอบกล ใครกันเล่าสนุกสนานกับการโขลกน้ำพริกละลายแม่น้ำ


วัฒนธรรมเปิดตัวหนังสือ จำเป็นหรือไม่เพียงใด ผู้อ่านอาจชั่งใจแล้วคิดเห็นไปได้ต่างๆนานา จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมนั่งลงเผชิญหน้ากับคนดู เพื่อตอบคำถามและพูดถึงหนังสือเล่มที่ตัวเองเขียน ผมรู้สึกเหมือนเด็กนักเรียนหลังห้องคนหนึ่ง ครูสั่งให้ออกไปยืนอยู่หน้าชั้นเรียน พร้อมกับตอบการบ้านข้อที่ยากที่สุด


ผู้ฟังเป็นเพื่อนร่วมชั้น มองจ้องมาเป็นตาเดียว

แล้วคำตอบตะกุกตะกักก็ตามมา ครูคอยแหย่คอยหยอดบ้าง กับคำตอบที่ดูโง่ๆน่าอายเพื่อน

แต่ผมก็รอดตัวมาได้ ด้วยผู้ดำเนินรายการถามแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่รุกฆาตให้เด็กชายเสียหน้าหน้าชั้นเรียน


ครั้งนั้น ผมออกจะตื่นเต้น เพราะเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิต และได้รับเกียรติอย่างสูงที่ผู้พิมพ์จัดเวทีย่อมๆ ให้ผมพูดถึงสิ่งที่ผมเขียนทั้งเล่ม ทั้งๆที่ไม่ใช่เป็นหนังสือขายดิบขายดีอะไร จำนวนพิมพ์ก็ไม่มากมาย แค่ 1,000 เล่ม (ยังแอบเห็นมีเหลืออยู่จนถึงวันนี้)


หลังจากนั้น ก็อีกครั้งหนึ่ง แล้วเว้นว่างให้ผมโล่งใจมานาน ว่าหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง แล้วเราต้องออกไปบอกอีกว่า เราเขียนอะไรไปบ้าง โถๆๆ... อาชีพนี้ช่างประหลาดล้ำเหลือ


ความพยายามจะทำงานเขียนหนังสือ นับตั้งแต่ครั้งแรก มันเต็มไปด้วยไฟฝัน ความทะเยอทะยาน ถนนทุกเส้นที่มองไปเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ โปรยส่งกลิ่นหอมยั่วล้อหัวจิตหัวใจ ช่างสง่างาม สวยงาม บริสุทธิ์ น่าหลงใหล อิสระในโลกกว้าง ฯลฯ ดูดีเหลือเกิน


ผมมักมีน้ำเสียงกระซิบบอกตัวเอง เป็นไงนาย สาแก่ใจแล้วสิ เหมือนอย่างที่นายหวังหรือเปล่า ... กว่าจะรู้ สัมผัสถึงแก่นแท้อย่างจริง เวลาก็รวบหัวรวบหางไปเรียบร้อยแล้ว


แก่นแท้อย่างจริง”  ที่ว่านั้น ผมบอกใครตรงๆบนบรรทัดสาธารณะไม่ได้หรอก และมันอาจเป็นความลับไปตลอดชีวิตก็ได้


ครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งที่ 3 ที่ผมออกมายืนหน้าชั้นเรียนอีกแล้ว เพียงแต่ว่าคราวนี้ ผมมีเพื่อนนักเรียนหลังห้องด้วยกันมายืนเป็นเพื่อนด้วย แม้ไม่อาจรู้ว่า เพื่อนจะทำให้เราหน้าแตก หรือคุณครูกับเพื่อนรวมหัวกันทำให้เรากลายเป็นตัวตลก ให้เพื่อนๆในชั้นเรียนหัวเราะขำๆ


เริ่มต้นมาจาก เสี้ยวจันทร์ แรมไพร บรรณาธิการผู้อยู่เบื้องหลัง ซีไรต์ อะวอร์ด มาแล้ว 3 คน กำลังออกหนังสือเล่มใหม่ชื่อ นัยความสัมพันธ์ (ชื่อออกจะหมิ่นเหม่ในหัวอกเราเหลือเกิน ผมได้ยินครั้งแรก เหมือนเสียงมีหางหวานๆลอยมาประมาณว่า ไงจ๊ะ ในความสัมพันธ์)


หนังสือเขาออกมาใหม่หมาด เขามีใจอยากชวนผมไปร่วมด้วย

นัยความสัมพันธ์ ของ การเดินทางอันยาวนาน ตั้งแต่ต้นจนจบ”

นัยนั้นจึงเกิดขึ้นมาอย่างมีปีมีขลุ่ย มีเพลง ด้วยผู้มารับเชิญคือ วงฝ้าย กับ ไวด์ซี๊ด พร้อมเครื่องดื่มบ้าง ขนมบ้าง มีเก้าอี้ให้นั่ง ณ ร้านเล่า ถนน นิมมานเหมินทร์ เย็นย่ำ 6 โมง วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤศจิกายน 2551

 



เรียบร้อยเสร็จสรรพในนัยความสัมพันธ์จริงๆ

เสี้ยวจันทร์ แรมไพร เป็นบรรณาธิการให้งานเขียนของผมมาแล้ว 5 เล่ม ไม่น้อยเลย ไม่น่าเชื่อ อาจจะโทษฐาน นัยความสัมพันธ์ นี่แหละ


การเดินทางอันยาวนาน ตั้งแต่ต้นจนจบ” รวมเรื่องสั้นที่ใกล้จะเก็บออกจากร้านไปอยู่ห้องเก็บของเต็มที หรือบางร้านอาจจะเก็บไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยข้อหาฉกรรจ์ว่า ยอดขายไม่เดิน ฮ่าฮ่า..

แล้วมาเปิดตัวในวันที่หนังสือกำลังถูกเก็บออกจากร้านนี่นะพี่”

ใช่” ผมตอบเสียงแข็ง “แต่ในความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มต้น”(ฮ่าฮ่า)


ผมไม่รู้ว่าน้องคนถามจะเข้าใจหรือเปล่า ว่าผมได้ยืนหน้าห้องเรียนเคียงคู่กับบรรณาธิการที่เขียนหนังสือ ครั้งแรกเลยนะเนี่ย


ดูท่าเขาจะตามมา edit ชีวิตจริงต่อหน้าสาธารณะกันคราวนี้แหละกระมัง edit ต้นฉบับงานเขียนบนหน้ากระดาษยังไม่พอ ยังตามมาบนพื้นที่ชีวิตจริงอีกต่างหาก


ลองดูและลองแลครับ ใครว่าง ใครใกล้ ใครไกลแต่บังเอิญมาอยู่ใกล้ถนนนิมมานเหมินทร์วันนั้น ลองแวะไปดูเด็กหลังห้องสองคน มายืนต่อหน้าคุณครูที่ชื่อ อุรุดา โควินท์ แถมหัวท้ายด้วยเพลงอีก 2 วง สงสัยมีถั่วคั่ว ข้ามเกรียบ อะไรๆชุบแป้งทอด พั้นส์หวานให้กินดื่มบ้างนะครับ


กว่าจะเป็นหนังสือสักเล่มหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะยืนอยู่บนแผงวางได้นานๆก็ยาก กว่าจะเดินทางไปขึ้นหิ้งหรือวางบนโต๊ะนักอ่านยิ่งยากไปอีก ยิ่งเป็นเรื่องการเปิดตัวหนังสือ โอ..ยย.. ยากจริงๆ(หากไม่มีนัยความสัมพันธ์)


วันที่เราไม่อาจคาดหวังได้ว่า หนังสือจะมีช่องทางออกตามหาคนอ่านหรือไม่ แต่เวลานอนบูดมอมแมมบิดเบี้ยวอยู่ในโกดังเก็บของนั้นมีเหลือเฟือ โอกาสได้พบหน้านักเขียนหน้าเหี่ยวหน้าย่น ก็มีเวลาเพียงน้อยนิดเช่นกันครับ สมบัติยั่งยืนนานยืนทนซ้ำซากของคนเขียนหนังสือเค้าหล่ะครับ


แต่อย่างน้อยที่สุด มาร่วมต้อนรับและอาลัยให้กับหนังสือ 2 เล่ม เล่มหนึ่ง กำลังจะออกไปจากร้าน พร้อมเชื้อเชิญหนังสืออีกเล่มหนึ่งเข้าร้านมาแทน นัยความสัมพันธ์ของการเดินทางอันยาวนาน ตั้งแต่ต้นจนจบ ครับ

 

 


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
 อยู่กับบ้านหนึ่งวัน ฝนกำลังตก ถนนลาดยางผ่านหน้าบ้านเปียกน้ำ มันข้ามรางรถไฟมุ่งไปยังทะเลสาป ผมมองเห็นฉากเก่าๆผ่านเข้ามา รถบรรทุกไม้ฟืนรถไฟแล่นผ่านหน้าไป มันอัดแน่นด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดหนึ่งวา ผ่าซีกดูขาวๆเหมือนกระดูกสัตว์ ผมใส่แผ่นซีดี Shangri-la ของ MARK KNOPFLER ลงในเครื่องเล่นซีดี เลือกเอาเพลง Whoop de doo  “ถ้าฉันกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยย้อนคืนกลับบ้านฉันไม่ได้มุ่งตรงดิ่งไปสู่คำตอบใดๆของฉันและน้ำตาก็ไม่ได้มาง่ายๆหนทางที่ถูกใช้ไปสู่ Whoop de doo...”
ชนกลุ่มน้อย
คุณเดินไปตามทางดินแคบๆ ลัดเลาะสวนรกเรื้อที่ปล่อยให้ไม้ทุกชนิดขึ้นมาได้ คุณมองหาต้นมะปริงที่เด็กชายตัวน้อยๆ แอบย่องขึ้นไปเด็ดลูกสุกกิน กว่าจะได้กินก็ต้องสู้กับฝูงมดแดงยกโขยง มันไม่อยู่แล้ว มองหามะไฟต้นใหญ่ขนาดรอบโอบผู้ใหญ่ คุณเคยปีนขึ้นไปซ่อนตัวเงียบอยู่บนยอดราวกับลูกลิงขโมย มันไม่อยู่แล้ว   แล้วไปเกาะรั้วลวดหนาม ยืนมองทุ่งนากว้าง ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นที่เลี้ยงวัว ไม่มีร่องรอยเส้นซังข้าวแม้แต่เส้นเดียว นาข้าวร้างต้นข้าวมากว่าสิบปี แล้วคุณก็กวาดตามองครอบครัวยางนา มันอยู่เป็นครอบครัวจริงๆ ห้าหกต้น ต้นใหญ่สุดนั้นผู้ใหญ่สามคนโอบแทบไม่รอบทีเดียว…
ชนกลุ่มน้อย
นางมาถึงหมู่บ้านเหมือนนกย้ายถิ่นประจำฤดู ไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงหมู่บ้านไหนเดือนไหน และเลือกเข้าไปบ้านใครก่อน ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่านางจะมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเรียกนางจนติดปากว่า ซามูนะห์ซามูนะห์มาแล้ว ในความรู้สึกของเด็ก น่าสยอง น่าขนลุกขนพอง ใช่แล้ว หญิงบ้ากำลังเข้ามาหมู่บ้าน เด็กคนไหนดื้อเกิน มักจะโดนพ่อแม่ขู่ จะให้ซามูนะห์จับใส่สอบนั่ง พาไปขาย เด็กจะเงียบกริบ ผมเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กกลัว เด็กไม่กลัวจะโต้ตอบอีกอย่าง เอากรวดปา หรือกระป๋องนมปาใส่นาง นางหยุดกึกบ่นพึมพำ ทำท่ายกไม้ยกมือปัดป้อง แล้วผู้ใหญ่ก็เข้ามาไล่พวกเด็กกลุ่มไม่กลัวนางอีกที
ชนกลุ่มน้อย
วจีเอ่ยเอื้อนออกไปอาจมิใช่ดังใจรู้สึกหากแต่เราคงดำเนินต่อข้ามผ่านกาลคืนค้นหาแรกก้าวจากเริ่มต้นจนพลันหายไปในอากาศพยายามเข้าใจ...จะดำรงอยู่อย่างมีเราอย่างไร ณ ที่นั้นสบเข้าไปนัยน์ตาเธอมิใช่ใครเลยที่ฉันรู้จักดื่มด่ำความงงงันอันว่างเปล่าด้วยสำนึกที่แสนเปลี่ยวเหงาณ บัดนี้ สำหรับฉัน บางคำผุดขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งฉันรู้ว่ามิมีความหมายมากมายหากเปรียบเทียบกับคำกล่าวเมื่อฅนรักได้สัมผัสเธอมิอาจรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ฉันรักในเธอและฉันเองก็มิอาจรู้ว่าเธอรักสิ่งใดในความเป็นฉันอาจเป็นภาพของใครบางฅนที่เธอคาดหวังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีสถานที่ไหน ผูกมัดใจผมไว้แน่นเท่าที่แห่งนี้ เป็นแววตาของพ่อที่มองลูกด้วยความเอ็นดู ดินแดนที่เราเหล่าเด็กๆไม่ได้ไปบ่อย หนึ่งปีผ่านไปเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น เวลาอื่นราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้าม และน่าเกรงกลัว ความจริงในโลกของเด็กชาย ต้องเดินไปเรียนหนังสือตามทางรถไฟ ไปกลับวันละ 10 กิโลเมตร เพียงมองข้ามผ่านทุ่งนาไปทางทิศตะวันตก ห่างราวครึ่งกิโลเมตร ก็เห็นแนวป่าทึบเป็นกำแพงหนา ล้อมไม้ใหญ่ต้นสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง มีธงเหลืองปลิวอยู่เหนือยอดไม้ มองไม่เห็นโรงธรรม กุฎิ หรือต้นลั่นทมเก่าแก่ล้อมโรงธรรม เดินผ่านทุกครั้ง ในใจผมผุดพรายถึงฉากนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว  เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง  ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ  มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก  จริงเหมือนไม่เคยมีจริง   ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน  ปลอดภัย  เป็นสุข สงบ  ไม่ร้อน  ไม่รน  สีของความเก่าแก่  สีของนักบวช  เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก  ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้นผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น  ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา  ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง  เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า  กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช …
ชนกลุ่มน้อย
ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  ไปเป็นไม้หมอนรถไฟร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดินเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควายผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา …
ชนกลุ่มน้อย
ถ้าเกาะสี่เกาะห้าเป็นเรื่องสั้น  ใครก็คงคิดว่าต้องเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว  แต่คุณกลับเห็นต่าง  ใครคงคาดไม่ถึงกระมังว่า  ความจริงมากพอที่จะนับเป็นนวนิยายได้สบายๆนั้น  คุณกลับไม่เห็นเป็นนวนิยาย  คุณอ้างถึงข้อมูลที่คุณมีอยู่เพียงน้อยนิด  ไม่ได้มีมโหฬารขนาดใส่โบกี้รถไฟ  เรื่องสั้นๆห้วนๆขาดๆเกินๆ  คุณจะทำอะไรได้มากไปกว่านั่งมอง  แม้คุณจะบอกใครๆว่าคุณเห็นเกาะสี่เกาะมาตั้งแต่จำความได้ก็ตาม  ในสายตาของคุณ  เกาะสี่เกาะห้าเป็นแค่เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครเขียนจบ ไม่มีใครอยากให้คุณรู้มากไปกว่า  เกาะรังนกนางแอ่นหรือรังนกแอ่นทำรังอยู่กลาง(ทะ)…
ชนกลุ่มน้อย
แม่บอกว่า  ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย  ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่  ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว  แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ   ผมพูดกับแม่ทันที  ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย  เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน  เมล็ดผอม  ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล   ตามความเข้าใจที่ว่า  วิตามินในข้าวจะหายไป   แต่แม่ตอบกลับมาว่า  ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน    แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร  หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท  ผมดูตัวหนังสือข้างถุง  บอกวันเดือนปีที่ผลิต  ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต …
ชนกลุ่มน้อย
ไม่น่าเชื่อว่า  ขี้มัน  จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว  คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
ชนกลุ่มน้อย
อย่างหนึ่งต้องทำ  นั่นคือผมต้องไปสวนยาง เดินทางมากว่าหนึ่งพันกิโลเมตร  เดินต่อไปอีกสองสามกิโลเมตร  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  พลันไปยืนอยู่ท่ามกลางต้นยาง  ความโปร่งโล่งก็ปรากฏ  จับจิตจับใจ  แน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้สึกของการงานคนกรีดยาง (ตัดยาง) แน่ๆ  เพราะธรรมชาติของการตัดยางนั้น  เป็นงานที่เหนื่อยหนักเอาการ (ออกอาการ) ทีเดียวแต่ผมไปในชั่วโมงนี้แบบตากอากาศ ลมพัดแรง ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น นอกจากเสียงใบยางดังลั่นสนั่นป่า เปลี่ยว ลิบๆ ว่างเวิ้งโหวงเหวง ต้นยางต่อต้นเป็นแถวเป็นแนวสุดตา ไม่มีใครอยากมาเดินดูชมอะไรตามลำพังเช่นนี้หรอก      …
ชนกลุ่มน้อย
ถนนคดเป็นงู  ข้ามผ่านหารกง – (พี่ชายของหนองน้ำ) เหลนของสายคลองหัวท้ายตัน  ความยาวเดิมเกือบ 100 เมตร  ตอนนี้มันหดสั้นลงเหลือครึ่งหนึ่ง  อีกไม่เกินสิบปีกระมัง  มันอาจหดลงเหลือแค่คืบไว้ดูเป็นขวัญตา  ให้เด็กรุ่นผมได้นึกย้อนความหลัง  เดินเปลือยล่อนจ้อนตัดกลางหมู่บ้านหน้าตาเฉย  ไปให้ถึงหัวสะพาน  แล้วกระโดดน้ำกันอย่างหนุกหนาน(สนุกและสนาน)