Skip to main content

ด็อกเตอร์สมบัติ เครือทอง ครูการเขียนคนแรกของผม ย้ายจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก นานหลายปีมาแล้ว แต่ผมได้พบครูสอนเขียนเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น


วันที่ครูมาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ผมไม่พลาดโอกาสที่จะพบหน้าครูให้ได้ เราพบกันในร้านกาแฟบนถนนนิมนานเหมินทร์ ย่านร้านรวงธุรกิจบริการกาแฟผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จัดแต่งร้านพร้อมนำเสนอเครื่องดื่มชวนดื่มชิมรส รมณียสถานคราคร่ำด้วยผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน


พบกันคราวนี้ ผมมีเรื่องเก่าย้อนถาม

จดหมายจากสวนยางถึงสวนลุกซองบูร์ยังมีอยู่มั้ยครับ จดหมายพี่ผมเก็บไว้ทุกฉบับ เก็บใส่แฟ้มไว้อย่างดี” ครูไปเรียนต่อทางภาษาฝรั่งเศส ความสนิทสนมกันนานหลายปี



คำว่า พี่ ถูกนำมาอยู่เหนือกาลเทสะต่อครูอาจารย์ นานวันความรู้สึกเหมือนเพื่อนต่างวัน ที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ทั้งวรรณกรรม งานเขียน หนังสือ สังคม การเมือง สุขภาพ ปัญหาชีวิต ผู้หญิง จิปาถะเรื่องราวเล่าสู่กันฟัง


วันที่ผมมาดมั่นจะเขียนหนังสือเลี้ยงชีพให้ได้ ผมกลับไปยังบ้านสวนยางที่พัทลุง ห่างจากฝั่งทะเลสาปสงขลาราว 8 กิโลเมตร ราวกับว่าสวนยางจะให้ชีวิตใหม่ผมได้ ผมไปได้แรงบันดาลใจ(แบบลืมชั่งผิดถูก)นั้นมาจากไหน อ๋อ งานเขียนของแม็กซิม กอร์กี้ , เฮอร์มาน เฮสเส ,เออร์เนส เฮมมิงเวย์ ,ลีโอ ตอลสตอย ,ดอสโตเยฟสกี้ ,จอร์น เลนนอน ,เชกูวาร่า , จิตร ภูมิศักดิ์ , เสกสรรค์ ประเสริฐกุล , สุรชัย จันทิมาธร ..ฯลฯ เหล่าขบถทั้งหลาย


ผมใช้ชีวิตด้วยการกรีดยางกลางคืนจนถึงเที่ยงของวันใหม่ พอบ่ายผมก็ออกเดินไปเขียนฉากในหมู่บ้าน เขียนทุ่งนา เขียนสวน เขียนคน ปานประหนึ่งแวนโก๊ะออกเดินไปเขียนรูป เก็บข้อมูลจากปากคำคนเฒ่าคนแก่ จากสวนยางถึงทะเลสาป วนเวียนซ้ำๆวันแล้ววันเล่า เป็นเดือนๆ เลยผ่านจนข้ามปี


คิดได้อย่างไรกัน!.? กลับแผ่นดินเกิดเขียนแต่ฉากของหมู่บ้าน เขียนถึงเรื่องเล่าต่างๆนานา ด้วยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับงานเขียนสักวันหนึ่ง



อยู่มาวันหนึ่ง จดหมายติดแสตมป์ภาษาฝรั่งเศสมาถึงหน้าบ้าน ผมแทบไม่เชื่อสายตาว่ามันจะเดินออกจากกรุงปารีสมุดท้องเครื่องบินมาไกลถึงเพียงนั้น ร่อนลงกลางสวนยางจากมือบุรุษไปรษณีย์ ผมเกิดความรู้สึกราวพบบางอย่างชวนประหลาดใจว่าผู้ใดหนอล่วงรู้ความลับ (สิ่งที่ผมหลงผิด) บนที่อยู่ของผม


จดหมายฉบับแรกหยอดคำหวาน ว่านักเขียนต้องเขียนเพื่อคนวันข้างหน้า ไม่ใช่เขียนเพื่อคนวันนี้หรือคนอยู่ข้างหลัง ยังบอกอีกว่าผมมีความตั้งใจมั่น นั่นถูกต้องแล้ว แต่นักเขียนจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดก็ต้องฝึกฝน และลงมือเขียน ณ บัดนี้


ผมสร้างตัวละครมาตัวหนึ่งชื่อ สาเจิม เพื่อจะเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ครูสอนเขียนผมฟัง ประหนึ่งบทเรียนงานเขียนที่ผมจะเขียนไปเล่า และฟังเสียงสะท้อนกลับมา นางเป็นตัวแทนของหมู่บ้าน นางรู้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน พ่อของนางเป็นแรงงานตัดต้นไม้ไปทำไม้หมอนรถไฟ ขุดหัวเคี่ยมไปให้คนทำน้ำตาลโตนดบนเกาะกลางทะเลสาป ความยากจนอันเป็นสมบัติของนาง ราวกับนางหวงแหนไว้ชั่วชีวิต ...


เหตุการณ์มากมาย เกิดขึ้นในชั่วชีวิตของนาง ผมเขียนเล่าบุคลิกลักษณะ สิ่งที่นางกำลังเผชิญ ลูกของนาง สามีของนาง ป่าหลังบ้านของนาง หัวเคี่ยมที่ฝังอยู่ใต้ดินอย่างกับสมบัติโบราณที่จมลึกล้ำอยู่ใต้ดินรอเวลาขุดขึ้นมาขาย


ฉาก ตัวละคร ชวนกันกระโดดลงหน้ากระดาษ บรรจุซองส่งไปให้ครูสอนเขียน จ่าหน้าซองถึงกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส ครูสอนเขียนมักเล่าฉากสวนลุกซองบูร์ เล่าถึงคนแก่ที่ใช้ชีวิตทั้งวันนั่งเล่นกระดานหมากรุก


เขียนถึงบรรทัดนี้แล้วผมต้องรื้อแฟ้มจดหมายมาอ่าน..

รับจดหมายของนาย 1 ฉบับ เอามาอ่านพลางเดินพลาง ดวงตาก็ต้องเหลือบดูตรงที่เท้าจะต้องย่างผ่าน เพราะปารีสเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยขี้หมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมความเป็นอยู่บางแง่มุมของคนปารีสได้อย่างดียิ่ง ..


เดินมุดลงใต้ดินขึ้นรถไฟใต้ดินที่ชาวฝรั่งเศสเรียกว่าเมโทร(Metro) หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้แล้วดำดิ่งสู่ห้วงอักษรของนายต่อไป นึกถึงขนมจีนที่เราเคยกินเป็นประจำที่ภูเก็ต เคยขโมยตังส์พี่สาวและของแม่ไปซื้อกิน และนึกไปถึงยามที่ต้องตั้งหน้าตั้งตาคอยให้น้องสาวเอาขนมจีนมาส่งที่สวนยาง ซึ่งเราตื่นขึ้นมาเอามีดกรีดให้เลือดสีขาวของมันไหลโกรกออกมา บางต้นมีเพียงแค่รอยซึมๆ แล้วไหลออกมาสู่ปลายท่อ หยดลงสู่กะลาทีละหยดๆ อย่างอ้อยอิ่ง บางต้นก็ไหลปรี่อย่างรวดเร็ว..”


แน่นอนว่า ผมเขียนฉากกรีดยางไปเล่า ครูเขียนก็ตอบกลับมาด้วยท่วงทำนองนั้น เราโต้ตอบจดหมายกันระหว่างสวนยางกับกรุงปารีสนานข้ามปี จนจดหมายสูงพะเนิน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าเป็นไปได้



อีกหนึ่งแรงบันดาลใจในโลกงานเขียนหนังสือ ผมหยิบแฟ้มจดหมายขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เปิดขึ้นหน้าที่ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2531 วันแรกหิมะโปรย ...


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …