เขาอยู่ด้วยกันสามคน คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา นั่งซึม
เหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย เคลื่อนไหวเชื่องช้า คนสุดท้ายร่างสันทัด ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน ขยันทำงาน เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อน
ทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน ออกเดินลัดป่า
เขา รับจ้างไปตามหมู่บ้าน ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงา
นักรบยามหนีทัพ ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไป
เขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด การเดินทางทำให้เกิดการพบปะพูดคุย คนเร่ร่อนตามป่าเขาพร้อมจะไปที่ไหนก็ได้ เรื่องอาหาร ที่หลับที่นอนเป็นเรื่องไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงให้ปลอดภัย รอดพ้นจากมือไม้เจ้าหน้าที่
พวกเขาจะได้ไม่ต้องไปติดคุก หรือถูกส่งเข้าศูนย์อพยพในลำดับต่อไป
วันที่ผมไปพบพวกเขา เป็นช่วงเวลาเพาะปลูกข้าว นาข้าวลงจอบกันอย่างเดียว ไม่มีรถจักรไถนา หรือแรงงานสัตว์ จอบต่อจอบพลิกหน้าดิน แล้วหย่อนเมล็ดข้าวลงไป
เราแปลกหน้าต่อกันในช่วงแรก ผมรู้ชื่อพวกเขาในเวลาต่อมา ล้วนเป็นชื่อของสัตว์
คนผอมสูงชื่อโถ่(นก) คนมะขามข้อเดียวชื่อกะชอ(ช้าง) คนสุดท้ายชื่อซอมีญอ(แมว)
สีหน้าแววตาพวกเขาคล้ายๆกัน แววตาบาดเจ็บ เพียงแต่รอยยิ้มเจื่อนๆเท่านั้น ทำให้พวกเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง พร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ทุกเมื่อ
นักรบ ไม่คิดถึงการรบแล้วคิดถึงอื่นใด ผมอยากรู้ความรู้สึกพวกเขา ซอมีญอพูดภาษาไทยได้บ้าง เป็นคนตอบว่า ไม่ได้คิดอะไร อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้กลับไปแล้วมั้ง
ผมถามต่อว่า พวกเขาไม่มีความหวังแล้วหรือ
"รบไปก็เท่านั้น ไม่รู้จะจบกันเมื่อไหร่"
"มาทำงานอย่างนี้ มาเพื่อจะกลับไปอีกครั้งมั้ย" ผมถาม
"อยู่อย่างนี้ ไม่ต้องคิดอะไร มีงานก็ทำไป ไม่มีก็ไม่ต้องทำ" ซอมีญอพูดแล้วเป่าควันยาสูบแรงๆ
งานในนาเพาะปลูก อยู่กับการหว่านเมล็ด สับๆขุดๆทั้งวัน มือเคยจับปืนมาจับจอบ เท้าเคยเดินระแวงระวังไปตามแนวรบ มาย่ำบนดินเพาะปลูก ไม่ต้องห่วงว่าศัตรูจะจู่โจมเข้ามาตอนไหน หนทางนักรบหนีทัพดูขี้ขลาด ไม่กล้าสู้ แต่หนทางของคนเพาะปลูกไม่อธิบายเช่นนั้นอย่างแน่นอน
การปลูกเต็มไปด้วยการดิ้นรนต่อสู้ หนักเหนื่อย สู่หนทางสงบ สันติ ร่มเย็น พวกเขาได้รับสัมผัสเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ที่นากลางป่าลึก มีเถียงนาเพียงหลังเดียว สร้างขึ้นมาเพื่อกันแดดกันฝนในช่วงเพาะปลูก
ส่วนพวกเขา สร้างเพิงพักขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมขอบป่า ท้ายแปลงนา เป็นทั้งที่กิน ที่นอน ในเพิงพักไม่มีอื่นใดเลย นอกจากหม้อหุงข้าว กองไฟ ถ้วยชามสังกะสีสามสี่ใบ ช้อน มีด ..
กระบอกไม้ไผ่ตั้งวางเรียงแถว ทั้งกระบอกน้ำ และกระบอกเก็บถนอมอาหาร
ผมร่วมปลูกข้าวกับพวกเขาด้วย มันเป็นการทำงานที่น่าแปลกใจอีกครั้งหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่า เราต่างหนีอะไรบางอย่าง มาอยู่ในดินแดนอันไกลแสนไกล ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร แต่สำหรับผม ผมเห็นวิกฤติชีวิตบางอย่าง เห็นการเดินทางแสวงหาบางอย่าง
พวกเขาหนีสงคราม หนีการสู้รบ หนีทัพ ไม่อยากรบ แล้วผมหนีอะไรมาหรือ?
ดินแดนที่น่าอยู่ต้องเดินทางไกลถึงเพียงนี้หรือ?
สุดท้ายมาพบกันที่เมล็ดข้าวเปลือก รอบๆตัวเต็มไปด้วยไข้ป่าเชื้อไข้มาลาเรีย
พวกเขาไม่นอนกางมุ้ง มีเพียงกองไฟที่สว่างอยู่ค่อนคืน
หลังเวลาทำงาน พวกเขาก็ง่วนอยู่กับการทำอาหารกินเอง ผักหญ้าที่หาได้ตามป่า จากริมฝั่งแม่น้ำเงา แต่วิชาเอาตัวรอดในป่า ดูเหมือนพวกเขาชำนาญเหลือเกิน
เช้าวันหนึ่ง พวกเขาเทบางอย่างออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นเปรี้ยวๆ สีเหลืองๆ น้ำข้นๆ อยู่ในหม้อพร้อมยกขึ้นบนเตาไฟ
"เห็ดหมัก" ซอมีญอบอก "ใส่กบลงไป ใส่น้ำข้าว ใส่เกลือ หมักไว้"
มันเป็นอาหารป่าที่ดูมีขั้นตอนการทำ สอดคล้องกับความเป็นจริงใกล้ตัว พะเลอโดะบอกว่า นี่เป็นวิธีการถนอมอาหารที่ใช้กันตามป่าทั่วไป ไม่มีตู้เย็น ก็ต้องเก็บหมักเอาไว้ หรือไม่ก็ตากแห้ง
ผมร่วมลิ้มชิมรสเห็ดหมักกบกับน้ำซาวข้าวด้วย กลิ่นหมักข้ามคืน พอใส่เครื่องเทศลงไป กลับกลายเป็นอีกกลิ่น ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหลืออยู่เลย
ผมไม่เห็นว่าพวกเขาจะหลุดพ้นไปจากวิถีนักรบ เพียงแต่อาวุธในมือเขาเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง จากปืนเป็นเมล็ดข้าว จากสนามเพลาะเป็นสนามชีวิตตามนาไร่
ซอมีญอเล่าว่า เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตตามปกติ เหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ พอโตจับปืนได้ เขาก็ออกมาฝึกยิงปืน เขาไปเป็นกองกำลังติดอาวุธ เขารู้แต่เพียงว่า ต้องออกไปล่าคนฆ่าพ่อเขาให้ได้ มีทางเดียวเท่านั้น จึงเป็นทหารในกองทัพ
นั่นเป็นเส้นทางกรำศึกอันยาวนาน ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นอุดมการกู้ชาติหรือไม่ เพียงแต่เขาเกิดมาสู่ดินแดนล่า ก็ต้องเอาตัวรอดต่อไปให้ได้ และการเอาตัวรอดของเด็กหนุ่ม ก็ไม่พ้นเรื่องการจับปืนยืนขึ้นป้องกันตัวเอง
โถ่ดูจะเป็นคนเงียบที่สุด เฉื่อยเนือยที่สุด ดูเขาเบื่อๆกับชีวิตที่เป็นไปเหลือเกิน
กะชอเป็นช้างสมชื่อ เขาเป็นแรงงานสำคัญ ทั้งงานในนาและงานออกหาอาหาร ส่วนซอมีญอดูราวกับผู้บังคับกองร้อย ขรึมและมีบุคลิกสั่งการ ทำโน่นหยิบนี่ในงานที่ออกแรงกันจริงๆจังๆเท่านั้น เว้นแต่ช่วงทำอาหาร เขาก่อไฟขลุกอยู่ข้างกองไฟจนแทบไม่ห่าง
เสร็จจากปลูกข้าวก็ลงถั่วเหลือง ลงพริก ทำรั้วกันวัวควาย เป็นแปลงเพาะปลูกที่ดูสวยงามอีกแห่งหนึ่งตั้งแต่ผมผ่านมายังป่าแม่เงา ดูราวหน่วยจรยุทธขนาดย่อม ที่อยู่ระหว่างการเก็บสะสมสะเบียง เพื่อมุ่งสู่สงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ชีวิตตามป่าเขา หลบลี้หนีสายตาใครต่อไครได้ง่ายดาย ที่สำคัญนั้น เป็นดินแดนยืดหยุ่นต่อการมีชีวิตอยู่ ให้อยู่กันต่อไปได้ ไม่แตกหักสืบค้นไล่ตามกันอย่างเข้มข้น ตามป่าเขายังเต็มไปด้วยคนยากลำบาก ไม่รู้หัวนอน ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต
แต่ถึงที่สุดพวกเขาก็อยู่ด้วยกันได้ หากเสียงเรือดังใกล้เข้ามาครั้งใด พวกเขาจะหยุดงานทุกอย่าง ฟังพร้อมกัน จนกว่าเสียงเรือจะหายไป พวกเขาก็เริ่มกุมด้ามจอบทำงานต่อไป การใช้ชีวิตอย่างระแวดระวัง และพร้อมจะหนี นั่น เป็นศิลปะการอยู่รอดที่สั่งสมกันมานานปี
เพียงแต่วันนี้ พวกเขาไม่อยู่ในสนามรบ ถึงอย่างไร ที่แห่งนี้ก็ใช่จะอยู่ไกลจากวิถีกระสุนปืน การเตรียมตัวให้พร้อมหนี เป็นสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนักรบพลัดถิ่น
ผมไม่รู้ว่า พวกเขาต้องหนีกันอีกนานเท่าไหร่ หรือต้องหนีกันชั่วชีวิต ไม่มีใครรับผิดชอบดูแลพวกเขาได้ทุกช่วงจังหวะเวลา พวกเขามีสัญชาตญาณหลบหนีอยู่เต็มเปี่ยม
พวกเขาผ่านทางมาปลูกข้าว มีรายได้เล็กๆน้อยๆ แลกกับชีวิตความเป็นอยู่ไปวันๆ