Skip to main content


ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง


มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน


แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง


อันที่จริง การใช้ชีวิตของผมในหลายปีมานี้ ไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องออกแรงกายอยู่แล้ว หากไม่ออกเดินทางไปเก็บเกี่ยวเรื่องราว หาแรงบันดาลใจมาเขียนหนังสือ ก็นั่งทำงานขีดๆเขียนๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน หลังขดหลังแข็งต่อเนื่องจนหามรุ่งก็มี


ได้ออกแรงอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องขุดดินเล็กๆน้อยๆ ปลูกต้นไม้บ้าง หย่อนเมล็ดบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ต่อเนื่องกันทุกวัน


จึงไม่ต้องคิดไกลไปให้ถึงการวิ่ง และเรื่องยากยิ่งกว่า หากจะไปให้ถึงสวนสุขภาพ แค่รู้สึกว่าทำไมต้องไปวิ่งท่ามกลางผู้คนเป็นจำนวนมากๆ มีบ้างปีหนึ่งสักครั้งสองครั้ง ที่ผมออกไปวิ่งบนถนนตัดผ่านทุ่งนากว้างๆ หรือไม่ก็ริมขอบสนามฟุตบอลที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่แน่นหนา


แต่ยากและเสี่ยง หากคิดจะวิ่งไปตามถนนชานเมือง ด้วยห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ระวังรถที่วิ่งผ่านไปมา ก็ระวังหมาหมู่ หมาดุที่อาศัยอยู่สองข้างถนน เห่าขรมตั้งท่าจะฝังเขี้ยวก็มี ได้สุขภาพกาย แต่ไม่ได้สุขภาพจิต นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่


สรุปก็คือว่า การออกไปวิ่ง เป็นอุปสรรคเหลือเกิน


ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านข้ามปีที่ผ่านมานี้เอง หลังจากผมออกเดินทางไปดงฝุ่น กลางป่าภูเขาที่อากาศเย็นเฉียบ ต่อด้วยการรื้อหนังสือเก่าๆ เครื่องมือเครื่องใช้ที่เก็บฝากไว้กับบ้านเพื่อนฝูง และไม่ได้ไปเอากลับสักที อาศัยช่วงชุลมุนข้ามปีเก่าไปปีใหม่ ได้เวลาจัดการกับสัมภาระเหล่านี้เสียที


เรียบร้อยโรงเรียนฝุ่นชนบท ผสมโรงกับฝุ่นในเมือง


ป่วยเป็นไข้ หนึ่งปีเป็นไข้สักครั้ง สำหรับผมนั่นมากแล้ว เลยนึกว่าเป็นไข้เล็กๆน้อยๆ กินยานิดหน่อยก็หาย เปล่า ไม่เป็นอย่างนั้น มากันหมดเลย ทั้งครั่นเนื้อครั่นตัว ไอ มีเสมหะ น้ำมูก ขนใส่ไล่ตามกันมา


บางคืนนอนไม่หลับ ไอหนักมาก เสมหะเยอะมาก ต้องนั่งให้เวลาผ่านไปจนเกือบสว่าง ผมไปหาหมอที่คลีนิก คนข้างตัวผมบอกให้ไปโรงพยาบาล แต่ผมกลัวโรงพยาบาล ได้ยามากินเป็นกำ นานกว่าสองสัปดาห์ กว่าทุกอย่างจะทุเลาลงจนเกือบจะปกติ


นั่นเอง ผมจึงคิดถึงการออกแรงตอนเย็น วิ่งๆๆ แล้วเลือกเอาสวนสุขภาพเป็นด่านข้ามผ่าน ปลุกอวัยวะให้ฟื้นสภาพขึ้นมาใหม่


ด่านแรก เตรียมพร้อมร่างกาย ด่าน 2 ก้าว-ขึ้นลง ฝึกกล้ามเนื้อสะโพก ด่าน 3 ดันขอนไม้ ด่าน 4 เดินทรงตัว ด่าน 5 กระโดดข้าม แต่ละด่านที่ว่ามานั้น มีคนสนใจน้อยมาก กระทั่งถึงด่าน 6 ไม่มีที่ว่างให้นั่ง ดูหนาหนักไปหมด ด่านลดอ้วนและพุง เหมือนทุกคนล้นกันมาจากบ้าน ระบายออกตรงด่าน 6 อย่างไม่ได้นัดหมาย เป็นด่านลดกล้ามเนื้อท้องครับ ลุก-นั่งๆๆ แอ่นหลัง เอาเนื้อท้องออกไป


ด่าน 7 แกว่งตัว ด่าน 8 ยกขอนไม้ ฝึกกำลังแขน ไหล่ ไม่ว่างเลย คนยืนกุมพื้นที่ยึดไว้เป็นที่เพิ่มกล้ามเนื้อแขนสักกิโลก่อนออกวิ่งต่อ ด่าน 9 เดินสลับฟันปลา ดูทุกคนเมิน เดินผ่านไปเฉย ด่าน 10 ถีบขอนไม้ ฝึกกล้ามเนื้อขา สะโพก มีหญิงสาวผอมบางนั่งถีบอยู่ก่อนแล้ว ถัดมาเป็นชายวัยกลางคน นั่งถีบอยู่ใกล้ๆ ด่าน 11 ไต่ ลอด ฝึกการทรงตัว นี่สิ เด็ดขาดพื้นที่ยึดครอง รวมตัวกุมสภาพยึดพื้นที่อยู่ห้าหกคน เป็นสภาออกกำลังกายย่อมๆ ถกแสดงความเห็นกันอย่างเข้มข้น ผมเดินวนรอบแรกเป็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง คนหนึ่งบอกว่า คนได้เงินมานะ ไม่ซื้อรองเท้ามาวิ่งหรอก แต่เอาไปซื้อเหล้า ผมเดินวนรอบที่สอง เป็นเรื่องสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ..


ทุกรอบที่ผมเดินผ่าน วิ่งผ่าน ได้ยินหัวข้อเรื่องเปลี่ยน และออกความเห็นกันอย่างออกรสเช่นเดิม เป็นความสนใจร่วม มุ่งไปยังสาระที่เกิดในบ้านเมือง ดูวัยและสีหน้า ก็พอรู้ว่าเป็นวัยพ่อคนแม่คน วัยทำงานมาอย่างยาวนานทั้งนั้น


ด่าน 12 เกาะกระโดด ทุกคนวิ่งผ่านเลยไป .. เป็นการเริ่มต้นเดินและวิ่งอย่างตั้งใจของผมครั้งหนึ่ง พยายามวิ่งให้ได้ทุกวัน ผมวิ่งมาจวนจะครบสัปดาห์ ทุกด่านก็ยังเหมือนเดิม ด่าน 6 นั่งหนาๆ ยังฮิตลดพุง ด่าน 11 ด่านฝึกทรงตัว ยังเปิดสภากันทุกเย็นด้วยหัวข้อใหม่ๆ ล่าสุดเป็นเรื่องแต่งโป๊เข้าไปในงานแจกรางวัลภาพยนต์ โอ -- พระเจ้าจอร์จ ไฟแล่บเลย เรื่องโป๊ๆเปลือยๆในสังคมไทย เป็นเรื่องง่ายซะเมื่อไหร่


ดูเหมือนทุกคนล้นมาจากบ้านและสำนักงาน ระบายออกมาใส่สวนสุขภาพพร้อมๆกัน ทุกเย็น ..


***
หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ เคยตีพิมพ์ในคอลัมน์ คนคือการเดินทาง เสาร์สวัสดี นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ในนามจริง ใช้ชื่อเรื่องว่า 12 ด่าน ครับ.

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …