Skip to main content

 

เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี

แต่ทว่าเสื้อนั้นมีเพียงตัวเดียว เสื้อตัวอื่นสำหรับจะเปลี่ยนไม่มี มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น เสื้อตัวนั้นจะเก่าหรือ จะสกปรกหรือ ฉันไม่รู้ไม่เข้าใจ รู้เพียงว่ามีเสื้อแล้ว ฉันก็ดีใจ ฉันรู้ว่ามันเปียกหรือไม่เปียกเท่านั้นเอง

พอรู้ว่าเสื้อเปียกแล้ว เราพูดกันในหมู่เด็กๆว่า

"จะทำเสื้อให้แห้งอย่างไรดี อยู่อย่างนี้หนาวจังเลย"

ถึงตอนนี้เราบอกกันให้ไปช่วยหาเศษไม้เศษขยะมาก่อไฟที่ใต้ถุนบ้าน แล้วเราก็ตากเสื้อเหนือไฟกองนั้น พวกเราเจ้าของเสื้อแต่ละคนนั่งผิงอยู่รอบๆกองไฟ เปลือยกายล่อนจ้อนกันทุกคนอย่างพวกลิง ค่าง ชะนี หากเสื้อของใครจะแห้งก่อนสักคน เราจะไปเที่ยวเล่นคนเดียวไม่ได้ เราต้องคอยจนกว่าเสื้อของทุกคนจะแห้งหมด เราจึงหาเพื่อนด้วยเศษไม้ เศษขยะนี่เอง


เมื่อเสื้อแห้งหมดทุกคนแล้ว เราสวมมันอย่างร่าเริงแจ่มใสอีกครั้งหนึ่ง เราพากันออกไปเล่นต่ออีก

สำหรับพวกเราเด็กๆกะเหรี่ยงนั้น กลิ่นที่หอมที่สุด เป็นกลิ่นอะไรรู้ไหม

มันคืนกลิ่นหอมควันไฟจากเสื้อเรานั่นเอง

 

พอโตจนสวมทั้งเสื้อและกางเกงแล้ว ฉันจำได้ว่า หากฉันเห็นใครสวมเสื้อผ้าใหม่ ใส่กางเกงดีๆ ฉันจะรู้สึกอายเขามาก ฉันมองดูตัวเองแล้วก็ร้องไห้ออกมานิดๆ แต่พอมองไปที่พวกเพื่อนๆแล้วที่เขาเหมือนกับฉันก็มีอยู่เหมือนกัน ฉันจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง


ความอดอยากแร้นแค้นเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉันอีก เงินหรือ? เงินก็ไม่มี ข้าวหรือ? ข้าวก็หมดไปนานแล้ว ฉันจะไปเป็นลูกจ้างคนอื่น ก็ยังทำงานไม่เป็น คงไม่มีใครจ้างฉัน แต่มีอยู่ทางหนึ่ง ถ้าอยากกินข้าว ฉันจะไปช่วยตักน้ำให้เพื่อนบ้าน เขาก็จะให้ข้าวมากินก้อนหนึ่ง เพื่อนของฉัน บางคนพ่อแม่เขามีวัวควาย เขาก็มาชวนฉันไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ฉันไปกับเขา เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็ให้ฉันกินข้าวด้วย ฉันทำอย่างนี้เอง


บางครั้งถ้าฉันมีข้าว ฉันก็ชวนเพื่อนมากินข้าวกับฉัน มานอนกับฉัน เราผลัดเปลี่ยนกันไปนอนบ้านคนนี้บ้าง คนโน้นบ้าง บางทีเราก็ชวนกันไปเที่ยวตกปลา ดักนก ดักไก่ป่าเอามากินกัน


ยามขาดแคลนข้าว เราไปเสาะหาข้าวเปลือกต่างหมู่บ้าน ฉันมักจะตามหลังพ่อไป ตอนนั้นฉันเริ่มเป็นหนุ่มแล้ว พวกคนเฒ่าคนแก่พูดกับฉันว่า

"พวกเด็กๆโตขึ้นเร็วมาก เด็กสมัยนี้โตเร็ว อีกไม่นานก็จะโตขึ้นแทนที่พวกข้า"


เวลานั้น ถนนรถยนต์ยังมาไม่ถึงหมู่บ้านของเรา ฉันยังไม่เคยเห็นรถยนต์เลยสักครั้ง ฉันเดินไปขนข้าวสารจากวังลุงบ้าง จากจอมทองบ้าง บางครั้งฉันตามคนอื่นไป บางครั้งฉันไปกับพ่อและแม่ ที่นั่นเองที่ฉันได้เห็นรถยนต์


ในตอนนั้น ฉันยังไม่เคยเห็นเงินที่เป็นธนบัตรเลย เราใช้กันแต่สตางค์แดงเท่านั้น ถ้วย จาน เราก็ยังไม่มีใช้ หม้อเหล็ก หม้ออลูมีเนียมที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มี เด็กๆสมัยนี้คงไม่มีใครเชื่อฉัน แต่มันเป็นความจริงอย่างนั้น


เราใช้หม้อดิน เราทำจานทำถ้วยจากไม้ไผ่ เราใช้ช้อนที่ทำจากกิ่งไผ่ สำหรับหม้อดินนั้น พวกเราเอามาจากหมู่บ้านของคนลัวะ บางทีเราเอาไก่ไปแลก บางทีเราใช้สตางค์แดงไปซื้อ


แต่ก็มีบางคนเขาทำถ้วยและจานจากไม้ เขาจะเจาะแกนไม้ แล้วถากรอบๆให้เหมือนถ้วย สำหรับจานใส่ข้าวนั้น เขาจะตัดไม้ใหญ่มาผ่าซีก แล้วก็จะขูดเนื้อไม้ข้างในออก เวลาจะกินข้าว เราจะคดข้าวใส่ลงรอบๆในจานไม้ใหญ่นี้ ซึ่งเราเรียกว่า เซอบิเมหละ เราจะวางถ้วยแกงหรือน้ำพริกไว้ตรงกลาง คนทั้งบ้านจะนั่งเป็นวงกลมรอบเซอบิเมหละ พ่อ แม่ ลูกจะกินข้าวจากจานใบเดียวกันนี้


อาหารของคนกะเหรี่ยงเรานั้น ขอให้มีแต่พริกกับเกลือก็พอ ถ้ามีพริกมีเกลือ เรากัดกินปนกัน เราก็อยู่ได้

บางครั้งเรากัดกินพริกกับเกลือ แต่บางครั้งเราก็ได้กินเนื้อ กินนกกินหนูด้วยเหมือนกัน

บนภูเขาเดี๋ยวนี้สบายขึ้นมากแล้ว มีทางรถยนต์ไปถึงหมู่บ้าน แต่บางหมู่บ้านก็ยังไปไม่ถึง

ฉันไม่รู้หรอกว่า ความสะดวกสบายที่เราได้รับจะนำความสุขหรือความทุกข์มาให้คนภูเขา

 

*** น่าจะเป็นครั้งแรกที่คนในหมู่บ้านแม่แฮใต้ ได้ฟังถ้อยงานเขียนพ้อเลป่า

ผมคัดเลือกเอาบทที่มีความรู้สึกต่อเนื่อง ใกล้เคียงกัน อ่านรวดเดียวจบ ให้ทุกคนได้ฟังซึมซับ

(จากหนังสือ"คนปกากะญอ" เล่มแรกของ พ้อเลป่า (แปลโดย กัลยา-วีระศักดิ์ ยอดระบำ))

ในตอนใกล้เที่ยง วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2552

ณ สุสานแม่แฮใต้

 

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ