Skip to main content
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ


ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย


  

ลูกสาวของหน่อพ้อเลชวนผมไปดูหน้าตาพ้อเลป่าชัดๆ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นใบหน้าละสังขาร

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นไปหากวีภูเขาอย่างเร่งรีบ ของสามสิ่งไม่มีติดมือผมไปด้วย คือ เมี่ยง ยาสูบและปลาทู

"ถ้าคุณไปหาคนเฒ่า เอาเมี่ยงกับยาสูบไปด้วย อู้(พูด)ไปเต๊อะ อู้ได้ทั้งคืน มันตึงบ่เหนื่อย เหๆ.." หางเสียงเหๆดังในลำคอ ทีเล่นทีจริง ผมยังได้ยินชัดเจน


ข้างโลงผมเห็นไปป์ ยาสูบ ย่าม และสมุดบันทึกเยี่ยมเล่มเดียว ผมเข้าไปเปิดดูชื่อผู้มาเยือน พร้อมถ้อยคำบันทึกความทรงจำไว้ ผมเห็นลายมือแปลกหน้าแปลกตามากมาย รวมถึงลายมือของ จรัล มโนเพ็ชร และคนทำงานในแวดวงศิลปะ


ผมมองหาปืนยาวคู่กายพ้อเลป่า ซึ่งปรากฏอยู่ในงานเขียนบ่อยมาก แต่ไม่เห็น



ผมออกไปยืนตรงระเบียงบ้าน ที่ที่พ้อเลป่ามักชวนผมไปยืนดูหมอก ดูควันไฟที่ลอยขึ้นเหนือหมู่บ้านช่วงหน้าหนาว กล้วยไม้ที่แขวนอยู่คงรับรู้ถึงการลาจาก มันว้าเหว่สงัดเงียบเกาะราวไม้ระเบียง บางต้นซีดเซียวเป็นกระดูกราวขาดน้ำมานานวัน


ก่อนถึงพิธีฝังร่างหนึ่งวัน ลูกหลานชวนกันไปมองหาสถานที่ที่พ้อเลป่าจะเหยียดร่างนอนไปตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าเป็นสถานที่ไหน รู้เพียงแต่ป่าบนไหล่เขา ซึ่งไม่ถูกแตะต้องมานับร้อยปี ป่าที่ถูกยกเว้น ให้เป็นเสมือนอ้อมกอดทุกร่างที่จากหมู่บ้าน



พอร่างในโลงไม้ไปถึงที่แห่งนั้น จึงรับรู้ถึงตำแหน่งฝังร่างครั้งแรก ใต้ร่มเงาต้นก่อโตคู่กันมา แก่มากพอๆกับร่างพ้อเลป่า มันงอกอยู่บนแนวปะทะลมและดินหินไหล่เขา มันโตขึ้นราวต้นไม้แคระ ลำต้นกิ่งก้านเท่านั้นบอกให้รู้ว่า มันผ่านลมฝนหนาวมายาวนาน หงิกงอยื่นออกไปราวกับกำลังอยู่ในท่ารำ


จอบเริ่มต้นขุดด้วยมือของลูกหลาน เหล่าญาติๆ ผลัดเปลี่ยนมือกันขุด


ขณะคนมาร่วมส่งร่าง ตีวงล้อมนั่งมอง พูดคุย รอคอยให้ถึงเวลา ต่างคนต่างอยู่ในอาการสงบ สำรวจ และให้อภัย


ผมมองเห็นปืนลำกล้องยาวมากเป็นครั้งแรก มันวางอยู่ใกล้โลงไม้ ผมเข้าไปดู ขอหยิบจับเป็นครั้งสุดท้าย ของใช้ที่จำเป็นใส่ถังวางไว้ใกล้ๆเช่นกัน ผมจำวิทยุทรานซิสเตอร์ได้ดี มันอยู่คู่พ้อเลป่ามานานมาก แก้วชา ถ้วยเซรามิกอีกจำนวนหนึ่ง


ส่วนเครื่องใช้ส่วนตัวส่วนหนึ่ง ก็ถูกเผาในกองเพลิงที่อยู่ใกล้ๆ


พิธีกรรมส่งร่างผู้เฒ่ากวีพ้อเลป่าเป็นไปอย่างเรียบง่าย หลายคนไม่เคยได้ฟังถ้อยคำของพ้อเลป่าเขียนไว้ในหนังสือ ก็ได้ฟังในวันนั้น เด็กหนุ่มเด็กสาวต่างได้รับแรงบันดาลใจ ผู้ใหญ่ต่างมองเห็นความหมายที่หายจากไป


ความงามจากป่าเขา เป็นความงามของดินแดนอื่นด้วย


เพลงทา-บทกวีปากเปล่า ขับเพลงผ่านเครื่องดนตรีเตหน่า ตามมาด้วยเสียงเพลง เพลงสวด และเสียงของความรู้สึก
 

 

พอโลงไม้หย่อนลงสู่ก้นหลุม ทุกมือต่างหยิบก้อนดินคนละก้อนใส่ลงไป ตามด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ถูกนำฝัง ผมมองจ้องนาทีปืนยาวกระโจนลงไปแนบร่างนั้น ลูกหลานอยากให้เป็นสิ่งติดตัวเดินทางไปด้วย

อีกหลายมือต่างก็ช่วยกันขุดดินถมลงไป

มีคนชี้ให้ผมดูต้นมะลิป่ากำลังออกดอกเหลือง ยืนต้นอยู่ห่างจากหลุมฝังร่างเพียงสองวาเท่านั้น

ร่างผู้เฒ่ากวีจะปรากฏผ่านกลีบดอกไม้ ผ่านรากไม้ ผ่านใบอ่อนใบใหม่ที่ผลัดเปลี่ยนฤดูต่อไปอีกชั่วนิรันดร์


ผมเดินไปร่ำลาเป็นคนสุดท้าย ผมบอกว่า ชั่วชีวิตของพ้อเลป่า ผ่านโลกผ่านชีวิตมาอย่างคุ้มค่า ทิ้งงานเขียนที่มีความหมายให้คนข้างหลังได้ศึกษา ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกยาวนาน จนกว่าไม่มีโลก ลูกหลานจะค้นหาเรื่องราว คนจะผ่านทางมาถามทาง ขอให้พ้อเลป่าหลับพักผ่อนให้สบาย สงบสุขในดินแดนธรรมชาติที่เคยจากมาชั่วนิรันดร์

 

*** งานชิ้นนี้ ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ คอลัมน์ จดหมายเหตุจากดินฟ้าอากาศ ฉบับ 882 วันที่ 24 เมษายน 2552 นำมาเผยแพร่อีกครั้ง ผ่านสรรพนาม "ผม" .. แทน เขาและคุณ ทั้งหลาย

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
 อยู่กับบ้านหนึ่งวัน ฝนกำลังตก ถนนลาดยางผ่านหน้าบ้านเปียกน้ำ มันข้ามรางรถไฟมุ่งไปยังทะเลสาป ผมมองเห็นฉากเก่าๆผ่านเข้ามา รถบรรทุกไม้ฟืนรถไฟแล่นผ่านหน้าไป มันอัดแน่นด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดหนึ่งวา ผ่าซีกดูขาวๆเหมือนกระดูกสัตว์ ผมใส่แผ่นซีดี Shangri-la ของ MARK KNOPFLER ลงในเครื่องเล่นซีดี เลือกเอาเพลง Whoop de doo  “ถ้าฉันกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยย้อนคืนกลับบ้านฉันไม่ได้มุ่งตรงดิ่งไปสู่คำตอบใดๆของฉันและน้ำตาก็ไม่ได้มาง่ายๆหนทางที่ถูกใช้ไปสู่ Whoop de doo...”
ชนกลุ่มน้อย
คุณเดินไปตามทางดินแคบๆ ลัดเลาะสวนรกเรื้อที่ปล่อยให้ไม้ทุกชนิดขึ้นมาได้ คุณมองหาต้นมะปริงที่เด็กชายตัวน้อยๆ แอบย่องขึ้นไปเด็ดลูกสุกกิน กว่าจะได้กินก็ต้องสู้กับฝูงมดแดงยกโขยง มันไม่อยู่แล้ว มองหามะไฟต้นใหญ่ขนาดรอบโอบผู้ใหญ่ คุณเคยปีนขึ้นไปซ่อนตัวเงียบอยู่บนยอดราวกับลูกลิงขโมย มันไม่อยู่แล้ว   แล้วไปเกาะรั้วลวดหนาม ยืนมองทุ่งนากว้าง ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นที่เลี้ยงวัว ไม่มีร่องรอยเส้นซังข้าวแม้แต่เส้นเดียว นาข้าวร้างต้นข้าวมากว่าสิบปี แล้วคุณก็กวาดตามองครอบครัวยางนา มันอยู่เป็นครอบครัวจริงๆ ห้าหกต้น ต้นใหญ่สุดนั้นผู้ใหญ่สามคนโอบแทบไม่รอบทีเดียว…
ชนกลุ่มน้อย
นางมาถึงหมู่บ้านเหมือนนกย้ายถิ่นประจำฤดู ไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงหมู่บ้านไหนเดือนไหน และเลือกเข้าไปบ้านใครก่อน ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่านางจะมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเรียกนางจนติดปากว่า ซามูนะห์ซามูนะห์มาแล้ว ในความรู้สึกของเด็ก น่าสยอง น่าขนลุกขนพอง ใช่แล้ว หญิงบ้ากำลังเข้ามาหมู่บ้าน เด็กคนไหนดื้อเกิน มักจะโดนพ่อแม่ขู่ จะให้ซามูนะห์จับใส่สอบนั่ง พาไปขาย เด็กจะเงียบกริบ ผมเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กกลัว เด็กไม่กลัวจะโต้ตอบอีกอย่าง เอากรวดปา หรือกระป๋องนมปาใส่นาง นางหยุดกึกบ่นพึมพำ ทำท่ายกไม้ยกมือปัดป้อง แล้วผู้ใหญ่ก็เข้ามาไล่พวกเด็กกลุ่มไม่กลัวนางอีกที
ชนกลุ่มน้อย
วจีเอ่ยเอื้อนออกไปอาจมิใช่ดังใจรู้สึกหากแต่เราคงดำเนินต่อข้ามผ่านกาลคืนค้นหาแรกก้าวจากเริ่มต้นจนพลันหายไปในอากาศพยายามเข้าใจ...จะดำรงอยู่อย่างมีเราอย่างไร ณ ที่นั้นสบเข้าไปนัยน์ตาเธอมิใช่ใครเลยที่ฉันรู้จักดื่มด่ำความงงงันอันว่างเปล่าด้วยสำนึกที่แสนเปลี่ยวเหงาณ บัดนี้ สำหรับฉัน บางคำผุดขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งฉันรู้ว่ามิมีความหมายมากมายหากเปรียบเทียบกับคำกล่าวเมื่อฅนรักได้สัมผัสเธอมิอาจรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ฉันรักในเธอและฉันเองก็มิอาจรู้ว่าเธอรักสิ่งใดในความเป็นฉันอาจเป็นภาพของใครบางฅนที่เธอคาดหวังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีสถานที่ไหน ผูกมัดใจผมไว้แน่นเท่าที่แห่งนี้ เป็นแววตาของพ่อที่มองลูกด้วยความเอ็นดู ดินแดนที่เราเหล่าเด็กๆไม่ได้ไปบ่อย หนึ่งปีผ่านไปเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น เวลาอื่นราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้าม และน่าเกรงกลัว ความจริงในโลกของเด็กชาย ต้องเดินไปเรียนหนังสือตามทางรถไฟ ไปกลับวันละ 10 กิโลเมตร เพียงมองข้ามผ่านทุ่งนาไปทางทิศตะวันตก ห่างราวครึ่งกิโลเมตร ก็เห็นแนวป่าทึบเป็นกำแพงหนา ล้อมไม้ใหญ่ต้นสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง มีธงเหลืองปลิวอยู่เหนือยอดไม้ มองไม่เห็นโรงธรรม กุฎิ หรือต้นลั่นทมเก่าแก่ล้อมโรงธรรม เดินผ่านทุกครั้ง ในใจผมผุดพรายถึงฉากนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว  เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง  ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ  มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก  จริงเหมือนไม่เคยมีจริง   ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน  ปลอดภัย  เป็นสุข สงบ  ไม่ร้อน  ไม่รน  สีของความเก่าแก่  สีของนักบวช  เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก  ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้นผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น  ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา  ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง  เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า  กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช …
ชนกลุ่มน้อย
ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  ไปเป็นไม้หมอนรถไฟร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดินเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควายผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา …
ชนกลุ่มน้อย
ถ้าเกาะสี่เกาะห้าเป็นเรื่องสั้น  ใครก็คงคิดว่าต้องเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว  แต่คุณกลับเห็นต่าง  ใครคงคาดไม่ถึงกระมังว่า  ความจริงมากพอที่จะนับเป็นนวนิยายได้สบายๆนั้น  คุณกลับไม่เห็นเป็นนวนิยาย  คุณอ้างถึงข้อมูลที่คุณมีอยู่เพียงน้อยนิด  ไม่ได้มีมโหฬารขนาดใส่โบกี้รถไฟ  เรื่องสั้นๆห้วนๆขาดๆเกินๆ  คุณจะทำอะไรได้มากไปกว่านั่งมอง  แม้คุณจะบอกใครๆว่าคุณเห็นเกาะสี่เกาะมาตั้งแต่จำความได้ก็ตาม  ในสายตาของคุณ  เกาะสี่เกาะห้าเป็นแค่เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครเขียนจบ ไม่มีใครอยากให้คุณรู้มากไปกว่า  เกาะรังนกนางแอ่นหรือรังนกแอ่นทำรังอยู่กลาง(ทะ)…
ชนกลุ่มน้อย
แม่บอกว่า  ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย  ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่  ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว  แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ   ผมพูดกับแม่ทันที  ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย  เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน  เมล็ดผอม  ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล   ตามความเข้าใจที่ว่า  วิตามินในข้าวจะหายไป   แต่แม่ตอบกลับมาว่า  ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน    แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร  หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท  ผมดูตัวหนังสือข้างถุง  บอกวันเดือนปีที่ผลิต  ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต …
ชนกลุ่มน้อย
ไม่น่าเชื่อว่า  ขี้มัน  จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว  คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
ชนกลุ่มน้อย
อย่างหนึ่งต้องทำ  นั่นคือผมต้องไปสวนยาง เดินทางมากว่าหนึ่งพันกิโลเมตร  เดินต่อไปอีกสองสามกิโลเมตร  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  พลันไปยืนอยู่ท่ามกลางต้นยาง  ความโปร่งโล่งก็ปรากฏ  จับจิตจับใจ  แน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้สึกของการงานคนกรีดยาง (ตัดยาง) แน่ๆ  เพราะธรรมชาติของการตัดยางนั้น  เป็นงานที่เหนื่อยหนักเอาการ (ออกอาการ) ทีเดียวแต่ผมไปในชั่วโมงนี้แบบตากอากาศ ลมพัดแรง ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น นอกจากเสียงใบยางดังลั่นสนั่นป่า เปลี่ยว ลิบๆ ว่างเวิ้งโหวงเหวง ต้นยางต่อต้นเป็นแถวเป็นแนวสุดตา ไม่มีใครอยากมาเดินดูชมอะไรตามลำพังเช่นนี้หรอก      …
ชนกลุ่มน้อย
ถนนคดเป็นงู  ข้ามผ่านหารกง – (พี่ชายของหนองน้ำ) เหลนของสายคลองหัวท้ายตัน  ความยาวเดิมเกือบ 100 เมตร  ตอนนี้มันหดสั้นลงเหลือครึ่งหนึ่ง  อีกไม่เกินสิบปีกระมัง  มันอาจหดลงเหลือแค่คืบไว้ดูเป็นขวัญตา  ให้เด็กรุ่นผมได้นึกย้อนความหลัง  เดินเปลือยล่อนจ้อนตัดกลางหมู่บ้านหน้าตาเฉย  ไปให้ถึงหัวสะพาน  แล้วกระโดดน้ำกันอย่างหนุกหนาน(สนุกและสนาน)