Skip to main content

1

“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว 

นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย  และแทบมองไม่เห็นหนวดเคราขาวหรอมแหร็ม  กับเส้นผมแห้งแข็งเหมือนฟางข้าว

เรามาถึงริมฝั่งแม่น้ำตอนเที่ยงคืนกว่าๆ  ผมเหลือบเห็นผิวน้ำเลื่อมมันวาวสะท้อนแสงจันทร์เสี้ยว  อย่างผิวหนังสัตว์เกล็ดงูยักษ์เคลื่อนผ่านหน้าไป   ห้าคนอัดแน่นอยู่บนรถจิ๊ปสีเทารุ่นสงครามโลก  พะเลอโดะเป็นคนขับ  ผมนั่งเคียงคู่  ลุงเวยซานั่งข้างหลัง  

ส่วนอีกสองคน ซอมีญอกับกะฌอดูราวหลอมแบนราบเป็นเนื้อเดียวกับพื้นรถ

ผมมาถึงฝั่งโข่โละโกรเป็นครั้งแรก  เหมือนลุงเวยซา  ซอมีญอกับกะฌอเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี  พะเลอโดะเป็นผู้นำทาง  เขาเข้าออกโข่โละโกรอย่างกับบ้านหลังที่สอง  เขาบอกว่า  เขามากี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ 

โข่โละโกรมีเรื่องใหม่ๆ ผ่านเข้ามาทุกวัน  ไม่ต่างกับการมาถึงของพวกเรา  

แสงไฟรถฉายไปยังบ้านไม้แต่ละหลังที่ปิดประตู  ปิดไฟเปล่าเปลี่ยวอยู่ในความมืด  ราวกับโบกี้รถไฟไม้เก่าทิ้งร้าง  ไม่มีหัว ไม่รู้ท้าย  ปล่อยเลยตามเลยไว้ริมแม่น้ำ  อย่างกับรอวันคืนอัศจรรย์ผ่านมาชุบชีวิตให้มันตื่นขึ้นเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง  แล้ววิ่งเลียบแม่น้ำไปเยี่ยงจักรกลโบราณที่ไม่คาดหวังว่าจะมีสิ่งมีชีวิตตื่นขึ้นมาขอโดยสารหรือไม่  

เสียงรถยามวิกาลไม่ได้ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในโบกี้ไม้แตกตื่น 

พะเลอโดะบอกว่า เว้นแต่พวกทหารที่คอยดมกลิ่นกลางคืน  นอกนั้นไม่มีใครอยากรู้หรอกว่าเป็นใครมาทำอะไร  ผู้คนแถบนี้คุ้นเคยกับคนเข้าคนออก 

เท็จจริงใดๆ ดูไร้ประโยชน์   บรรยากาศชีวิตแถบนี้ปกคลุมด้วยความเท็จมากกว่าความจริง  ความสงสัยใดๆไม่ได้นำพาไปสู่ความเคร่งครัดในสิ่งคาดหวังใหม่ๆ

ผมรับรู้เรื่องราวโข่โละโกรอันจำกัด  

ส่วนหนึ่งมาจากพะเลอโดะ  เล่าเพียงว่าชุมชนคนพลัดถิ่นเกิดขึ้นมากลางสนามรบ  เพราะผลพวงจากสงครามเชื้อชาติบนแผ่นดินพม่า  หนีการสู้รบข้ามน้ำโข่โละโกรมาตั้งบ้านอยู่สุดขอบพรมแดน  ให้พอมีพื้นที่ดำรงชีพกันไปได้ 

แต่ดูเหมือนชีวิตไม่ง่ายเถรตรงอย่างแนวเขตปันแดน  อิทธิพลของนักรบกะเหรี่ยงยังแผ่ขยายมาถึงคนหนีมาสุดแนวเขตจนได้    ใครไม่มีลูกชายส่งไปออกรบ  ก็ต้องส่งส่วยไปอุดหนุน    

พันธะทางสายเลือด  พรมแดนไม่อาจปิดกั้นกันไหลทะลักไปหากัน 

2

วันดีคืนดีของลุงเวยซา  ก็มีคนแปลกหน้าพร้อมอาวุธเข้ามาถึงบ้าน  ขอพริกขอข้าวสาร  มีอยู่เท่าไหร่ก็ต้องเอาให้เขาไป  

ลุงเวยซาบอกว่า พวกนี้เป็นผีโข่โละโกร แฝงตัวมากับกลางคืน  เคลื่อนไหวมาตามป่าเขาอย่างเงียบกริบ  ไม่มีใครรู้ว่าพวกนี้มาจากที่ใด  จะไปไหน  แต่ลุงเวยซารู้ผ่านพ่อแม่บอกต่อกันมา  ว่าดินแดนนั้นเหมือนถูกสาปอยู่หลังแม่น้ำโข่โละโกร  ที่นั่น เต็มไปด้วยนักรบที่พร้อมจะห้ำหั่นใส่กันได้ทุกเมื่อ   

วัยวันลุงเวยซาผ่านไป 69 ปี  ไม่เคยสักครั้งที่คิดจะเดินไปยังดินแดนนั้น  หรือไปให้ถึงฝั่งน้ำโข่โละโกรสักครั้ง   ลุงเชื่อฝังใจว่าที่นั่นเต็มไปด้วยพวกผีโข่โละโกร  ไม่เชื่อฟังเหตุผลใดๆ  

ถ้าถูกจับไปเป็นลูกหาบแบกกระสุนปืนเมื่อไหร่  อย่าหวังว่าจะได้กลับออกมาง่ายๆ  
“พระเจ้าให้เป็นอย่างนั้น” ลุงเวยซาบอก 

พะเลอโดะกลับหัวเราะ  แล้วพูดออกไปว่า  พระเจ้าอยู่ในเรานี่แหละ.. พะตี

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …