Skip to main content



ตอนบ่ายของวันที่ป๋าเข้าโรงพยาบาล ผมพาแม่ไปเก็บข้าวของบางอย่างที่จำเป็น ที่บ้านสวน บ้านหลังที่ป๋ามาใช้ชีวิตยามบั้นปลาย ผมเดินไปดูรอบๆบ้านระหว่างรอแม่ นั่งลงริมบ่อเลี้ยงปลาหางนกยูง ข้างซุ้มไม้ไผ่ที่เป็นเหมือนเรือนเพาะชำไปในตัว ป๋าคงนั่งๆนอนๆอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ในซุ้มนั้นอยู่บ่อยๆ

ข้างๆมีเครื่องไม้เครื่องมือวางกองระเกะระกะ ได้ยินแม่เล่าว่าก่อนมาโรงพยาบาล ป๋ายังนั่งซ่อมรถอยู่เลย ผมเงยมองแท้งค์เก็บน้ำซีเมนต์ ครัวที่ต่อออกมาจากตัวบ้าน สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือป๋าทั้งสิ้น (แน่นอนว่า บางส่วนคงมาจากคำบัญชาของแม่)

ผมรู้สึกทึ่ง เพราะแม้กระทั่งวัยขนาดผม ก็ยังคิดว่าจะทำอะไรอย่างที่ป๋าทำได้ เหมือนที่ผมไม่เคยแต่งนิราศได้เพราะเท่าป๋า


นิราศร้างห่างสิ้นถิ่นอาศัย ต้องจากพี่จากน้องครองแดนไกล

สุดหักใจได้ลงคงคนึง

ตราบวันนี้พี่มาถึงที่แล้ว คงไม่แคล้วเฝ้าฝันหมั่นคิดถึง

สุดที่รักคนดีที่บึ้งตึง มาตะลึงจิตใจให้อาวรณ์


เป็นกวีบทแรกๆที่ผมจำได้ขึ้นใจ กวีบทแรกๆที่ผมนั่งมองคนเขียนมันขึ้นมาตรงหน้า เป็นการบ้านในวิชาภาษาไทยตอนมอ 2 และผมต้องออกไปอ่านหน้าชั้น เพื่อนๆทุกคนทึ่ง แต่ป๋าคงคิดว่ากำลังเขียนจีบแม่อยู่ ป๋าคงลืมโจทย์ที่ว่า คนเขียนต้องเป็นเด็กมอ 3 และแน่นอน ครูไม่เชื่อว่าผมเขียนเอง


ทุกวันนี้ แม้ผมจะขีดๆเขียนๆอะไรได้บ้าง ผมก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะแต่งได้แบบนั้น

มันคงต้องผ่านชีวิตอันโชกโชนแบบป๋า ผู้ผ่านการผจญภัยมาหลายต่อหลายครั้ง เผชิญโชคไปยังที่ต่างๆ และสุดท้าย ลูกทะเลแบบป๋าก็มาไกลถึงซบร่างกับหุบเขา


ทุกคนคงมีความทรงจำที่สวยงามกับป๋าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แม่ น้องจอง ป้ามน แป๋ง น้องชายผมเดินมาบอกว่า ให้พูดด้วยว่า ลุงบูลย์คือป๋า ได้ช่วยชีวิตเด็กน้อยคนหนึ่งจากการจมน้ำ ซึ่งก็คือตัวมันนั่นเอง


ส่วนความทรงจำในวัยเด็กของผมที่มีต่อป๋า มักจะเป็นการริเริ่มอะไรใหม่ๆเสมอ สร้างสระว่ายน้ำให้ลูกในบ้านด้วยตัวเอง จัดงานวันเกิดให้ลูกเป็นคนแรกของหมู่บ้าน ตั้งโรงหนังฉายหนัง 8 มม. เรื่องจอมโจรซอโร โดยมีแม่ก่อเตาอั้งโล่ปิ้งข้าวเกรียบอยู่หน้าม่าน


ซื้อจักรยานจากตัวเมืองหาดใหญ่และปั่นมันกลับบ้านที่ห่างออกมา 10 กิโล มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่สำหรับเด็กตัวเล็กๆ เสียงกริ่งจักรยานในวันนั้น มันช่างเป็นเสียงแห่งวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่มาก


แม้กระทั่งคำเรียกพ่อของลูก ป๋าก็ยังให้เราเรียกไม่เหมือนใคร จนทำให้เพื่อนของน้องสาวเข้าใจไปว่า น้องมีป๋าขา มาอุปการะเลี้ยงดู


ผมก็ได้สายเลือดมาจากป๋า สายเลือดที่หลงรักความงาม ศิลปะ หนังสืออักษรวิจิตรที่ป๋าซื้อให้ วิชาวาดรูปที่ป๋าพาไปฝากฝังเรียนกับช่างวาดภาพเหมือนในตัวเมือง เป็นพื้นฐานวิทยายุทธที่นำผมมาจนถึงทุกวันนี้ และผมมักจะได้ยินป๋าเอ่ยถึงมันด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจอยู่เสมอ ป๋าปรารภอยู่บ่อยๆว่าอยากจะเก็บสมุดวาดภาพที่ผมใช้เรียนตอนนั้น ผมไม่แน่ใจว่าแกหาเจอแล้วหรือยัง


ก่อนจะขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ ทุกครั้งที่ผมไปหาป๋า ก็จะพบว่าแกจะใช้เวลาว่างจากการทำงาน ซ่อมเครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ที่ป๋าเสาะหามาจากตลาดมือสองอยู่เป็นประจำ ทั้งวิทยุ เครื่องเล่นซีดี โทรศัพท์ แต่เมื่อเลือกมาใช้ชีวิตชาวสวนกับแม่ สองมือนั้นก็คงหยาบกร้านจากการซ่อมเครื่องสูบน้ำ เครื่องตัดหญ้าแทน


ป๋าไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อดทน ทำอะไรเองได้ ป๋าไม่รั้งรอจะลงมือทำ ทำด้วยความร่าเริง และมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แม้จะนอนอยู่ในโรงพยาบาล ป๋าก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร สบายแล้ว ไล่ให้ผมกลับบ้านไปดูลูกเมีย


แม้ว่าเราจะไม่ชอบ ไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย แต่การสูญเสียนั้นก็นำมาซึ่งบางอย่างเสมอ ครอบครัวได้มาพบกัน ปลอบโยน พูดคุย ลูบหลังลูบไหล่ นอนเคียงข้างกัน ซึ่งคงหาโอกาสแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก


ในยามปกติวัฒนธรรมของคนใต้แบบเรา เหมือนกับผู้ล่วงลับไม่ได้จากเราไปไหน เรายังยกข้าวไปให้เขา บางคราวเขาก็มาเยียนเราในร่างของลูกหลาน สิ่งเหล่านี้มันคงทำให้เรามิอาจลืมเลือนเขา


เขายังอยู่ในการโอบอ้อมของเรา เรายังโอบล้อมกันและกัน แม้จะมองไม่เห็น แต่เราสัมผัสได้ สัมผัสนั้นถักทอให้เรากอดเกลียวกันอย่างอบอุ่น และผมก็เชื่อว่าป๋าก็คงเป็นเส้นด้ายเส้นหนึ่งในสายใยนี้ เป็นด้ายเส้นที่สีสันฉูดฉาดแพรวพราวอยู่ไม่น้อย


ขอให้ป๋าหลับฝันดีครับ

บทบันทึกนี้เขียนข้างๆสภากาแฟที่ป๋าชอบนั่ง


***
เป็นเสียงของความรู้สึกที่จับใจครั้งหนึ่งของผม ในวันสุดท้ายที่พ่อลูกจากกันชั่วนิรันดร์

ลูกชายเขียนเพื่ออ่านประวัติพ่อให้คนมาร่วมฌาปณกิจได้ฟัง ผมบอกลูกชายที่สูญเสียพ่อว่า อยากเอาไปเผยแพร่ต่อได้มั้ย เขาตอบกลับมาว่า ป๋าคงดีใจ ผมพิมพ์แต่ละตัวจากต้นฉบับที่อยู่ในมือเขา ด้วยความรู้สึกกระเพื่อมไหวภายใน


***
ขอแสดงความเสียใจกับลูกชายคนนั้น ศุภโมกข์ ศิลารักษ์(อ้น)(เขียนเรื่องสั้น ทำเพลง และหนังสั้น) ที่สูญเสียพ่อไปอย่างกะทันหัน พลังชีวิตในตัวพ่อไม่ได้หายไปไหน ได้ถ่ายทอดถึงหัวใจลูกชายไว้เต็มเปี่ยมแล้ว

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …