Skip to main content

 

 

เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา


แต่ละด่านชีวิตของพ่อที่ต้องข้ามผ่านวันหนึ่งๆ ล้วนอาศัยภาษาใจควบคู่กันไปด้วย หมายถึงกำลังใจและความหมายชีวิตอยู่


พ่อเดินทางไกลเกือบ 2,000 กิโลเมตร พ่อมากับรถไฟ การมาของพ่อเป็นความลับ พ่อห่วงลูกๆจะห้ามปรามไม่ให้เดินทาง พ่อจึงเก็บฤกษ์เดินทางไว้มิดชิด แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาลูกๆ กระเป๋าเดินทางสองใบ ลูกๆไม่กล้าถามมากว่าพ่อไปนานมั้ย แต่กระเป๋าพองโตพอคาดเดาได้ว่า ที่นอนข้างหน้าของพ่อนั้น ยากจะคาดเดาเวลาเดินทางกลับ


เดินทางไม่ใกล้ พ่อเก็บปากเงียบ ไม่บอกใครว่าต้องทำอะไรบ้างระหว่างทาง เหล่าลูกๆต่างเป็นห่วงให้รุ่มร้อนไปตามๆกัน


พ่อมาในชุดเสื้อผ้าลดเลขวัยอายุลงครึ่งหนึ่งทีเดียว


ถึงสุดสถานี พ่อบอกทันทีว่า ไม่เหนื่อยเลย นอนบ้างตื่นบ้างมาตลอดทาง แถมด้วยเรื่องเล่าที่สถานีรถไฟหัวลำโพง มิตรแปลกหน้าบนโบกี้รถไฟ เรื่องเหล่านั้นไม่พ้นเรื่องคนเป็นพ่อแม่ไปหาลูกสาวลูกชาย

"ไม่ต้องห่วง บายๆ" พ่อตอบตัดบทเมื่อผมถามถึงสุขภาพร่างกาย


ก่อนพ่อมาถึงสองวัน ผมจัดการกับที่นอนของพ่อ จัดห้องเสียใหม่ ติดรูปภาพ ย้ายชั้นวางหนังสือ รวมไปถึงกะระยะแสงแดดกลางวัน ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องของอาหาร


กิจกรรมเช้าของผมเปลี่ยนไป จากเดิมเริ่มกันง่ายๆด้วยมื้ออาหารตามแต่หยิบฉวยได้ แต่คราวนี้ไม่ใช่แล้ว สารอาหารของพ่อกับโรคประจำตัวพ่อเป็นตัวตั้ง ผมวิ่งไปมาระหว่างร้านตลาดผักปลอดสารพิษกับเตาไฟ วันละหลายๆรอบ


"
สูตรของแม่ทั้งนั้น" ผมบอกพ่อ พ่อรีบตอบสวนทันทีว่า "ไม่ทำแต่เด็กๆ ใหญ่ขึ้นใครจะทำให้กิน"

พ่อกินข้าวกล้องทุกมื้อ เมนูอาหารที่หนักไปทางผัก งดเนื้อ งดอาหารมัน งดเค็มจัด เผ็ดจัด แถมด้วยไปเดินเล่นออกกำลังกาย

พ่อบอกความรู้สึกว่า สบายใจ ทุกวัน


จากนั้นพ่อก็ออกเดินสำรวจต้นไม้ในบ้านทุกต้น ทั้งต้นเล็กและต้นใหญ่ ต้นไม้กินได้อย่างกล้วย มะม่วง มะไฟ ตำลึง กระถิน มะนาว สะเดา ชะอม ฯลฯ รวมถึงไม้ใหญ่ที่หลงเหลือจนได้ชื่อว่าไม้เก่าแก่ อย่างต้นสักใหญ่ 4 ต้น ไผ่กอใหญ่สูงเกินหลังคา

"กล้วยป่า ปลูกทำไร ลูกมันกินไม่ได้ ปลูกรกบ้านเปล่าๆ นั่นต้นเหลียง ใครเขาปลูกเหลียงไว้ในบ้าน ต้นมันใหญ่ รากทำให้บ้านเสีย ม่วงแก่ต้นนั้นไม่ออกลูกแล้ว" ..


บางเรื่อง ที่ให้บทเรียนชีวิตพ่อ เป็นจริงที่สุด สอดคล้องกับความจริงชีวิตมากที่สุด พ่อเข้าป่าทุกครั้ง ไม่ใช่ไปเดินเล่นเดินเที่ยวแน่ๆ แต่หมายถึงอาหารในรูปของหน่วยผล ใบ ดอกผล หัวแง่ง จะติดตัวมาด้วย และไม่ว่าจะเข้าป่าไปกี่ครั้ง ก็จะต้องได้อาหารมาเลี้ยงดูทุกชีวิตในบ้าน จนกระทั่งลูกทุกคนโบยบินออกไปจากชายคาบ้าน


พ่อยังตามไปดู ตามไปทำความเข้าใจ

ซุ้มประตูไม้ที่พ่อทำขึ้นตรงรั้วกำแพงบ้าน เมื่อสามปีก่อน แม้จะถูกสร้างขึ้นมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่พ่อก็ใช้ความรู้ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต สร้างซุ้มประตูไม้จนสำเร็จ แค่ผมเห็นท่าพ่อนั่งๆยืนๆวัดระดับน้ำ ตอกแผ่นไม้ให้เข้ารูปกับซีเมนต์ หรือเหลี่ยมมุมซุ้มประตูที่มองเห็นจากระยะไกล มองแล้วเกิดความรู้สึกรื่นรมย์ยินดีเหลือเกิน

 


พ่อมาคราวนี้ แม้จะอยากทำโน่นทำนี่ แต่ผมก็ปรามไว้ทุกครั้ง
พ่อเพิ่งเข้าใจพื้นที่ชีวิตผมเมื่อไม่นาน ว่าทำไมลูกชายถึงไม่ยอมใส่ชุดเครื่องแบบไปทำงานนอกบ้าน จากเฝ้าเครื่องพิมพ์ดีดมาถึงเฝ้าจอสี่เหลียมที่มีแสง พ่อไม่มีคำถามแล้วว่าผมจะเลือกทำงานชนิดไหน เพื่อพาตัวเองและคนข้างตัวไปให้รอด


ถึงวันนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อจะพอใจหนทางดำเนินชีวิตของลูกชายหรือไม่ พ่อผ่านโลกลำบากมามากกว่าหลายเท่า การได้เห็นลูกชายออกเดินไปพิชิตหน้ากระดาษ ด้วยลำเลียงตัวหนังสือเป็นอาวุธทะลุทะลวงไปทุกทาง จนกว่าการรบจะเสร็จสิ้น ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆเช่นกัน หน้ากระดาษโชกด้วยสีดำตัวหนังสือ เปื้อนแล้วยากลบออกง่ายๆ


พ่ออยากรู้อะไรในตัวลูกชายอีกมั้ย กับวันเวลาที่ไม่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันนานๆ แน่นอนว่าพ่อไม่ใช่นิสัยถามตรงตอบตรงตลอดเวลา พ่อเดินอ้อมทุกครั้งที่เป็นฝ่ายมองเข้ามายังลูกชาย แต่ยามรุกคำตอบบางเรื่องก็ล้ำเข้ามาอย่างเงียบเย็น พ่อเข้าถึงตัวลูกชายอย่างนั้น


พ่อไม่ถามว่า เขียนหนังสืออีกเท่าไหร่ถึงจะพอ เพราะถ้าพ่อเกิดถามจริงๆ ผมก็คงตอบว่า นอนเท่าไหร่ถึงจะพอล่ะพ่อ กินเท่าไหร่ถึงจะพอ พ่อไม่ถามว่าเดินทางอีกเท่าไหร่ถึงจะพอ เพราะพ่อเดินทางมาเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว พ่อก็ยังต้องเดินทาง


เพียงแต่ผมแอบตอบตัวเองเงียบๆว่า สงสัยตอนที่ผมเดินออกมาจากพ่อนั้น ผมติดเชื้อเดินทางจากพ่อมาเต็มๆ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย

 

 

*** งานชิ้นนี้ เคยตีพิมพ์ครั้งแรกใน เสาร์สวัสดี นสพ.กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ คนคือการเดินทาง ฉบับ เสาร์ วันที่ 6 มิถุนายน 2552

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ