Skip to main content

 

ผมกลับมาเดินทางสู่ “คู่มือมนุษย์” ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ ด้วยความรู้สึกอย่างท่องเดินทางไปในธรรม ในช่วงเวลาวิกฤติชีวิตไล่ตามสั่นคลอน เกิดภาวะความไม่ปกติ จนดูราวกับว่า อากาศรอบตัวมืดดำลงฉับพลันอีกครั้งหนึ่ง


ในนาทีเช่นนี้เองที่ธรรมะกลายเป็นบทเพลง คอยประคองไม่ให้เดินซวนเซเป๋จนไม่อาจทรงตัวยืนอยู่ได้ หนังสืออีก 2 เล่มที่ผมใช้ท่องไปในห้วงเวลาเช่นนี้คือ ตัวกู ของกู ของท่านพุทธทาสภิกขุเช่นกัน กับปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของ พระติช นัท ฮันห์


เวลาชีวิตเสียหลัก ผมคิดถึงหนังสือธรรมะที่ผมผูกพัน และยึดมาเป็นหลักดำเนินชีวิต จะไม่พึ่งพาผีสางนางไม้เทวดาทวยเทพองค์ใดก็ตาม ที่จะแนะนำพิธีกรรมอันส่อไปถึงการสื่อสารให้หลุดพ้น หรือถือดีไปสู่จุดหมายใดก็ตาม


ผมจะกลับมาหาหลักธรรมในธรรมชาติ ธรรมดาๆแต่ไม่ธรรมดา

การก้าวเท้าออกไปแต่ละก้าวนั้นเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง และจิตของเราจะเบิกบานเหมือนดอกไม้ นำเราก้าวเข้าสู่โลกของความเป็นจริง ครูชอบเดินไปคนเดียว ตามทางเท้าในชนบท มีต้นข้าวต้นหญ้าเขียวขจีสองข้างทาง ค่อยๆวางเท้าลงไปทีละก้าวๆอย่างมีสติ รู้ตัวว่ากำลังก้าวไปบนแดนมหัศจรรย์...”  (เดินบนพื้นโลกเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ในหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ)


คลื่นชีวิตภายในที่กระเพื่อมสะท้อนกับทุกอย่างที่ไล่เข้ามาหานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ดำเนินมาชั่วชีวิต ตั้งแต่เกิด แม่สอนให้พูดคำว่า สวัสดี สอนให้พนมมือ แล้วบอกว่าไหว้พระ ชวนไปกราบพระพุทธรูป กราบตักพระสงฆ์ เดินตามหลังแม่ชี กระทั่งไหว้ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสกว่า กลายเป็นคลื่นจิตพื้นแรเงาอยู่ภายใน


โตอยู่ภายใน จึงไม่ต้องพูดถึงข้อสงสัยการมีอยู่จริงแท้หรือไม่เพียงใด

 

 

การเข้าไปใกล้บทธรรมขั้นลึกซึ้ง ทำความเข้าใจความละเอียดลออ อ่อนโยนมากกว่าปกติ เมื่อชีวิตตกอยู่ในห้วงทุกข์ วังวนของความร้าวราน ทรมานทางกายและจิตวิญญาณ จะด้วยเหตุใดก็ตาม นิสัยจริตสนใจเรื่องใดก็ตามเรื่องนั้นไป อยากอ่านหน้าไหนก็เปิดหน้านั้น


เก็บเล็กผสมน้อย เหมือนป้อนการเติบโตของต้นไม้ภายใน อย่างไม่รีบร้อน ด่วนให้ถึงเป้าหมายที่เรียกว่าหลุดพ้นใดๆ หรือต้องขวนขวายผ่านคำอธิบายบาปบุญ บางคราวพลั้งเผลอด้วยเงื่อนไขชีวิตใดก็ตาม ก็ให้รู้ว่าพลั้งเผลอ ไม่ซ้ำเติม ไม่แบ่งแยกหยิบมาตำหนิ หรือกระหน่ำทำให้ทุกข์จิตจมร้อนเผาไหม้ยิ่งขึ้น


รับผิดชอบและรับในสิ่งที่ทำลงไปอย่างที่สุด จะไม่ปฏิเสธความผิดพลาด จะไม่เบิกบานเกินล้นเมื่อพบความหลงดีใจ ดำเนินชีวิตไปตามปกติ พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว เช้าวันนี้กำลังผ่านไป เย็นย่ำกำลังมาและจะผ่านไป


ไม่เคยไม่มีเวลาให้สำหรับการเริ่มต้นใหม่ ที่ไม่สอดคล้องกับคลื่นจิตวิญญาณ และพยายามปล่อยความผิดพลาดที่ยึดจับใจทุรนให้คลายผ่านไป


ความคิดเช่นนี้ มาจากการเก็บเล็กผสมน้อย ที่สอดกับจริตตัวเองมากที่สุด ไม่ได้เกิดจากการหักโหมเพื่อจะรู้บทธรรมชั่วข้ามคืน นำมาเป็นแนวทางชีวิต ทุกอย่างเป็นไปเท่าที่เป็นไปได้ และขบคิดทบทวนนำมารดต้นไม้ภายในให้เติบโตยิ่งขึ้น


อย่าให้ธรรมะนั้นเกิดมีการผูกขาด หรือเกิดความมีสิทธิเป็นเจ้าของขึ้นแก่บุคคลใด หรือแก่ส่วนไหนของโลกขึ้นมาเป็นอันขาด จึงจะสามารถใช้เป็นเครื่องกำจัด “ตัวกู – ของกู” อันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่มีอยู่เพียงตัวเดียวของโลกได้” (ตัวกู ของกู ท่านพุทธทาสภิกขุ)


เป็นความสว่างวาบจับใจ ปล่อยให้เชื่อมโยงกับปัจจัยในชีวิต อันนำไปสู่หนทางความเข้าใจมากขึ้นทั้งนั้น “การเกิดขึ้นแห่ง “ตัวกู ของกู” นั้น คือ จิตที่ตั้งใว้ผิด... ย่อมนำมาซึ่งอันตราย หรือเป็นการทำอันตรายแก่ผู้นั้น ยิ่งกว่าอันตรายที่ศัตรูหรือโจรใจอำมหิตจะพึงกระทำให้...”


ไม่ว่าเปิดหน้าไหนในบทธรรม เหมือนได้รดน้ำต้นไม้ภายใน มันงอกงามสว่างขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา รับรับแต่ใจจิตวิญญาณตนเองเท่านั้น

 

 

การล้างถ้วยล้างจานก็เป็นหนทางนำความสว่างมาให้ นั่นก็เป็นการเก็บมาจากวิถีปฏิบัติของท่านติช นัท ฮันห์ ที่สอนให้แก่เหล่าลูกศิษย์ได้ประจักษ์ ถึงความหมายการอยู่กับปัจจุบันขณะ


ขณะล้างจานเราก็ควรล้างจานอย่างเดียว ซึ่งหมายความว่าขณะล้างจานเราต้องรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเรากำลังล้างจาน ถ้าดูเผินๆอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ออกจะดูโง่เขลา ที่ไปให้ความสำคัญมากมายกับสิ่งธรรมดาๆ แต่นั่นกลับตรงจุดเผงเลยทีเดียว..” (ล้างจานเพื่อล้างจาน ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ พระติช นัท ฮันห์)


วันที่เดินทางกลับไปสู่บทธรรม อันเป็นเสมือนเพลงกล่อมต้นไม้ภายใน ให้เติบโตขึ้นมาเป็นร่างกาย จิตใจ และวิญญาณอย่างปกตินั้น ดูเหมือนยากเข้าใจ แต่ก็ง่ายจะเข้าใจ ดูเหมือนง่ายแสนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย ประตูบานนี้ มีไว้ให้ดวงจิตดวงใจที่ซวนเซเป๋มาเป็นลำดับแรก ออกไปรับแสงแรกอีกครั้งหนึ่ง ดวงจิตดวงใจที่แข็งแรงอาจไม่อยากเปิดประตูไปหยั่งดู หรือประตูภายในบานนั้น ได้รับการปัดกวาดเช็ดถูอยู่สม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องรับมอบวันหนึ่งวันใดให้เป็นวันสำคัญพิเศษ

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
 อยู่กับบ้านหนึ่งวัน ฝนกำลังตก ถนนลาดยางผ่านหน้าบ้านเปียกน้ำ มันข้ามรางรถไฟมุ่งไปยังทะเลสาป ผมมองเห็นฉากเก่าๆผ่านเข้ามา รถบรรทุกไม้ฟืนรถไฟแล่นผ่านหน้าไป มันอัดแน่นด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดหนึ่งวา ผ่าซีกดูขาวๆเหมือนกระดูกสัตว์ ผมใส่แผ่นซีดี Shangri-la ของ MARK KNOPFLER ลงในเครื่องเล่นซีดี เลือกเอาเพลง Whoop de doo  “ถ้าฉันกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยย้อนคืนกลับบ้านฉันไม่ได้มุ่งตรงดิ่งไปสู่คำตอบใดๆของฉันและน้ำตาก็ไม่ได้มาง่ายๆหนทางที่ถูกใช้ไปสู่ Whoop de doo...”
ชนกลุ่มน้อย
คุณเดินไปตามทางดินแคบๆ ลัดเลาะสวนรกเรื้อที่ปล่อยให้ไม้ทุกชนิดขึ้นมาได้ คุณมองหาต้นมะปริงที่เด็กชายตัวน้อยๆ แอบย่องขึ้นไปเด็ดลูกสุกกิน กว่าจะได้กินก็ต้องสู้กับฝูงมดแดงยกโขยง มันไม่อยู่แล้ว มองหามะไฟต้นใหญ่ขนาดรอบโอบผู้ใหญ่ คุณเคยปีนขึ้นไปซ่อนตัวเงียบอยู่บนยอดราวกับลูกลิงขโมย มันไม่อยู่แล้ว   แล้วไปเกาะรั้วลวดหนาม ยืนมองทุ่งนากว้าง ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นที่เลี้ยงวัว ไม่มีร่องรอยเส้นซังข้าวแม้แต่เส้นเดียว นาข้าวร้างต้นข้าวมากว่าสิบปี แล้วคุณก็กวาดตามองครอบครัวยางนา มันอยู่เป็นครอบครัวจริงๆ ห้าหกต้น ต้นใหญ่สุดนั้นผู้ใหญ่สามคนโอบแทบไม่รอบทีเดียว…
ชนกลุ่มน้อย
นางมาถึงหมู่บ้านเหมือนนกย้ายถิ่นประจำฤดู ไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงหมู่บ้านไหนเดือนไหน และเลือกเข้าไปบ้านใครก่อน ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่านางจะมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเรียกนางจนติดปากว่า ซามูนะห์ซามูนะห์มาแล้ว ในความรู้สึกของเด็ก น่าสยอง น่าขนลุกขนพอง ใช่แล้ว หญิงบ้ากำลังเข้ามาหมู่บ้าน เด็กคนไหนดื้อเกิน มักจะโดนพ่อแม่ขู่ จะให้ซามูนะห์จับใส่สอบนั่ง พาไปขาย เด็กจะเงียบกริบ ผมเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กกลัว เด็กไม่กลัวจะโต้ตอบอีกอย่าง เอากรวดปา หรือกระป๋องนมปาใส่นาง นางหยุดกึกบ่นพึมพำ ทำท่ายกไม้ยกมือปัดป้อง แล้วผู้ใหญ่ก็เข้ามาไล่พวกเด็กกลุ่มไม่กลัวนางอีกที
ชนกลุ่มน้อย
วจีเอ่ยเอื้อนออกไปอาจมิใช่ดังใจรู้สึกหากแต่เราคงดำเนินต่อข้ามผ่านกาลคืนค้นหาแรกก้าวจากเริ่มต้นจนพลันหายไปในอากาศพยายามเข้าใจ...จะดำรงอยู่อย่างมีเราอย่างไร ณ ที่นั้นสบเข้าไปนัยน์ตาเธอมิใช่ใครเลยที่ฉันรู้จักดื่มด่ำความงงงันอันว่างเปล่าด้วยสำนึกที่แสนเปลี่ยวเหงาณ บัดนี้ สำหรับฉัน บางคำผุดขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งฉันรู้ว่ามิมีความหมายมากมายหากเปรียบเทียบกับคำกล่าวเมื่อฅนรักได้สัมผัสเธอมิอาจรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ฉันรักในเธอและฉันเองก็มิอาจรู้ว่าเธอรักสิ่งใดในความเป็นฉันอาจเป็นภาพของใครบางฅนที่เธอคาดหวังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีสถานที่ไหน ผูกมัดใจผมไว้แน่นเท่าที่แห่งนี้ เป็นแววตาของพ่อที่มองลูกด้วยความเอ็นดู ดินแดนที่เราเหล่าเด็กๆไม่ได้ไปบ่อย หนึ่งปีผ่านไปเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น เวลาอื่นราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้าม และน่าเกรงกลัว ความจริงในโลกของเด็กชาย ต้องเดินไปเรียนหนังสือตามทางรถไฟ ไปกลับวันละ 10 กิโลเมตร เพียงมองข้ามผ่านทุ่งนาไปทางทิศตะวันตก ห่างราวครึ่งกิโลเมตร ก็เห็นแนวป่าทึบเป็นกำแพงหนา ล้อมไม้ใหญ่ต้นสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง มีธงเหลืองปลิวอยู่เหนือยอดไม้ มองไม่เห็นโรงธรรม กุฎิ หรือต้นลั่นทมเก่าแก่ล้อมโรงธรรม เดินผ่านทุกครั้ง ในใจผมผุดพรายถึงฉากนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว  เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง  ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ  มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก  จริงเหมือนไม่เคยมีจริง   ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน  ปลอดภัย  เป็นสุข สงบ  ไม่ร้อน  ไม่รน  สีของความเก่าแก่  สีของนักบวช  เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก  ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้นผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น  ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา  ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง  เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า  กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช …
ชนกลุ่มน้อย
ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  ไปเป็นไม้หมอนรถไฟร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดินเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควายผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา …
ชนกลุ่มน้อย
ถ้าเกาะสี่เกาะห้าเป็นเรื่องสั้น  ใครก็คงคิดว่าต้องเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว  แต่คุณกลับเห็นต่าง  ใครคงคาดไม่ถึงกระมังว่า  ความจริงมากพอที่จะนับเป็นนวนิยายได้สบายๆนั้น  คุณกลับไม่เห็นเป็นนวนิยาย  คุณอ้างถึงข้อมูลที่คุณมีอยู่เพียงน้อยนิด  ไม่ได้มีมโหฬารขนาดใส่โบกี้รถไฟ  เรื่องสั้นๆห้วนๆขาดๆเกินๆ  คุณจะทำอะไรได้มากไปกว่านั่งมอง  แม้คุณจะบอกใครๆว่าคุณเห็นเกาะสี่เกาะมาตั้งแต่จำความได้ก็ตาม  ในสายตาของคุณ  เกาะสี่เกาะห้าเป็นแค่เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครเขียนจบ ไม่มีใครอยากให้คุณรู้มากไปกว่า  เกาะรังนกนางแอ่นหรือรังนกแอ่นทำรังอยู่กลาง(ทะ)…
ชนกลุ่มน้อย
แม่บอกว่า  ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย  ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่  ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว  แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ   ผมพูดกับแม่ทันที  ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย  เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน  เมล็ดผอม  ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล   ตามความเข้าใจที่ว่า  วิตามินในข้าวจะหายไป   แต่แม่ตอบกลับมาว่า  ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน    แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร  หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท  ผมดูตัวหนังสือข้างถุง  บอกวันเดือนปีที่ผลิต  ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต …
ชนกลุ่มน้อย
ไม่น่าเชื่อว่า  ขี้มัน  จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว  คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
ชนกลุ่มน้อย
อย่างหนึ่งต้องทำ  นั่นคือผมต้องไปสวนยาง เดินทางมากว่าหนึ่งพันกิโลเมตร  เดินต่อไปอีกสองสามกิโลเมตร  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  พลันไปยืนอยู่ท่ามกลางต้นยาง  ความโปร่งโล่งก็ปรากฏ  จับจิตจับใจ  แน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้สึกของการงานคนกรีดยาง (ตัดยาง) แน่ๆ  เพราะธรรมชาติของการตัดยางนั้น  เป็นงานที่เหนื่อยหนักเอาการ (ออกอาการ) ทีเดียวแต่ผมไปในชั่วโมงนี้แบบตากอากาศ ลมพัดแรง ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น นอกจากเสียงใบยางดังลั่นสนั่นป่า เปลี่ยว ลิบๆ ว่างเวิ้งโหวงเหวง ต้นยางต่อต้นเป็นแถวเป็นแนวสุดตา ไม่มีใครอยากมาเดินดูชมอะไรตามลำพังเช่นนี้หรอก      …
ชนกลุ่มน้อย
ถนนคดเป็นงู  ข้ามผ่านหารกง – (พี่ชายของหนองน้ำ) เหลนของสายคลองหัวท้ายตัน  ความยาวเดิมเกือบ 100 เมตร  ตอนนี้มันหดสั้นลงเหลือครึ่งหนึ่ง  อีกไม่เกินสิบปีกระมัง  มันอาจหดลงเหลือแค่คืบไว้ดูเป็นขวัญตา  ให้เด็กรุ่นผมได้นึกย้อนความหลัง  เดินเปลือยล่อนจ้อนตัดกลางหมู่บ้านหน้าตาเฉย  ไปให้ถึงหัวสะพาน  แล้วกระโดดน้ำกันอย่างหนุกหนาน(สนุกและสนาน)