ถนนสายนี้เกิดขึ้นมาในความเงียบเปลี่ยว ผมผ่านไปทุกครั้ง สวนทางกับรถแล่นผ่านไปมาน้อยมาก ผมยืนอยู่บนตำแหน่งข้างถนนปากทางเข้าบ้านแม่ป๋าม ขวามือไปเชียงใหม่ ซ้ายมือไปพร้าว อำเภอที่ดูราวติ่งเนื้อโด่เด่สุดเอื้อมของจังหวัดเชียงใหม่ ไม่มีเหตุผลจำเป็นพอที่ใครคนหนึ่งจะผ่านไปหา หากไม่จำเป็นด้วยเลือดเนื้อถิ่นเกิด หรือหน้าที่การงาน
\\/--break--\>
ผมไม่ได้ตั้งใจจะรอรถไปทางขวามือ เพราะซ้ายมือถนนโล่งจนน่าใจหาย ถึงกระนั้นก็มีคนนั่งคอยรถอยู่สองคน ผมยังลังเลกับรถบัสคันจะมาถึง ด้วยไม่แน่ว่ามันจะแล่นมาตรงตามเวลาหรือไม่ ข่าวรถบัสประจำทางงอแงไม่อยากรับคนไปส่งคนในอำเภอถิ่นไกล หากมีจำนวนคนโดยสารไม่มากพอให้คุ้มทุนค่าแรง
รถพร้าวเป็นกับเขาด้วยหรือไม่ ยากจะรู้
เพื่อให้ทันเวลารถบัสแม่อาย-เชียงใหม่เทียบสถานีขนส่งเชียงดาว คันสุดท้ายเกิดพลาด ก็ต้องโบกรถหรือไม่ก็ต้องเลื่อนเดินทางพรุ่งนี้ ผมไม่ได้เตรียมใจไว้เดินทางกลับพรุ่งนี้
แต่พลันทันใด เจ้ารูปทรงสีแดงเก่าๆอ้วนสั้นก็โผล่หน้าขึ้นมาตรงสุดถนน เสียงของมันเก่าแก่น่าเกรงขาม มันดูโชกโชนแก่แดดลม มากประสบการณ์ ทั้งรถ ทั้งคนขับ
ผมไม่รอให้รถกระบะที่กำลังจอดกินน้ำมันจากปั้มหลอด ต้องไปส่งผมถึงสถานีเชียงดาวอีกแล้ว บอกลาคนมาส่งแล้วรีบกระโจนขึ้นรถบัสแดงทันที พอก้าวขึ้นไปเท่านั้น กลิ่นสาปประหลาดๆก็โชยเข้าจมูก มันเป็นส่วนผสมของกลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่ละลายอยู่บนเนื้อตัวคนกรำเหงื่อ หรือไม่ก็กลิ่นสัตว์ป่าหายากชนิดหนึ่งแน่ๆ
พอเงยหน้า ผมก็พบกับสายตาที่ต้องจดจำไปอีกนาน มันเป็นสายตาของคนแก่โลก อย่างชนิดไม่มีที่ว่างให้ความแตกร้าวใดๆ ได้เข้ามามีโอกาสขยายพื้นที่อีกแล้ว มันเต็มอิ่มหม่นทึบอยู่บนร่างที่หนาหนัก คอหนาสั้น พุงใหญ่ไม่มีเอว คนเดียวนั่งแทบจะเต็มเบาะหลัง
ไม่เพียงเท่านั้น ตะกร้าไม้ไผ่สานขนาดใหญ่มาก ลักษณะคล้ายเข่ง มีผ้าขาวม้าผูกไว้สองข้าง ผมไม่สงสัยหรอกว่า เจ้าของตะกร้าจะยกได้หรือไม่ แต่ผมสงสัยว่ามันแทรกตัวผ่านประตูรถเข้ามาได้อย่างไร
มันวางแทบเต็มที่ว่างหลังรถ ใครผ่านมาต้องมอง ผมนั่งลงเคียงข้างเขาทันที
ผมเสียมารยาทสำรวจตัวแกทันที แอบมองเสื้อผ้าทอมือเก่าๆ เตี่ยวสะดอเก่าๆ รองท้าแตะ เผยนิ้วเท้ากร้านแข็งแรงเป็นหิน นิ้วมือสั้นหงิกงอเหมือนนิ้วคนเป็นโรคเก๊า นิ้วมือบางนิ้วกุด ปลีน่องใหญ่โตเหมือนบวม ครั้นดูวงหน้า ก็เหมือนใบหน้านักบวชจีนแก่ๆ หนวดขาวดก คิ้วหนา เคราดกยาวสีขี้เถ้า สวมหมวกสานอีกต่างหาก
ผมไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียเลย ว่าทำไมต้องนั่งสำรวจผ่านสายตา ทั้งที่ไม่ได้มีมุมใดบอกการเข้าถึงชีวิตแก โดยอ้างความคุ้นเคย หรืออ้างความเป็นญาติ
พอรถแล่นออกมาเท่านั้น แกหัวเราะหึหึอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทุกคนในรถต่างมองไปข้างหน้า เสียงในรถดังอื้ออึง ไม่มีใครมองเห็นหรือสนใจอย่างที่ผมสนใจ
ผมสงสัยบางสิ่งอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ ว่ามันเป็นพืชผักอาหาร หรืออื่นใดที่เกี่ยวข้องกับเขาคนนั้น หรือเป็นตำรับยาสมุนไพรของผู้เฒ่าในหุบเขาไกลลึก ที่ตั้งใจจะเอาไปล่อยที่ใดที่หนึ่งพอเป็นรายได้หรือเปล่า
แล้วอยู่ๆมือหนาๆหนักๆก็มาสะกิดไหล่ผม ผมยิ้มให้โดยสัญชาติญาณตัวเอง
"ลุงไปลงไหน" ผมถามด้วยภาษากลาง
"หึๆๆ" ขณะแกหัวเราะดังๆในลำคอ ดวงตาปิดสนิท เผยให้เห็นรอยยับย่นบนใบหน้า อย่างกับหนังสัตว์ที่โดนโบยซ้ำที่เดิมมาเป็นระยะเวลานาน
แกไม่ตอบที่หมายปลายทาง ทำให้ผมรู้สึกวาบขนหัวลุก ราวกับว่ารถคันนี้ไม่มีอยู่จริง มันกำลังแล่นไปสู่นรกสักขุมหรือเปล่า ทั้งกลิ่นทั้งเสียงมากันพร้อมเพรียง
นาทีหนึ่งนั้นเอง แกสะกิดตรงไหล่ผมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้สะกิดแรงกว่าเดิม พร้อมกับทำท่ายกฝ่ามือตัวเองปาดบนคอหอยตัวเอง ผมเข้าใจภาษานั้นได้ทันที ว่าหมายถึงการเชือด แกทำเสร็จก็หัวเราะไม่เห็นดวงตาอีกเช่นเคย
"ไก่ๆ ฆ่าไก่" แกพูด ผมเออออขึ้นมาในใจทันที
กลิ่นเผาไหม้ขนไก่โชยเข้ามาทางหน้าต่าง คงมีบ้านหลังใดหลังหนึ่งกำลังฆ่าไก่เป็นอาหารมื้อค่ำจริงๆ
ผมนั่งเฝ้าดูท่าทางแกตลอดเวลา ยังสงสัยเหลือเกินแกจะไปลงที่ไหน รถแล่นผ่านตัวเมืองเชียงดาวโดยไม่เพิ่มผู้โดยสาร เสียงเครื่องยนต์เหมือนโรงสีข้าวและตราบใดที่คนโดยสารยังมีตัวเลือกอื่น รถพร้าวคงถูกเลือกหลังสุด
พอรถแล่นผ่านสามแยกหนึ่งนั่นเอง แกลุกขึ้นยืน แล้วพูดเสียงดัง ลงนี่ๆ จอดๆ ลงนี่ๆ แล้วนาทีตะกร้าสานไม้ไผ่ลงจากรถก็มาถึง มันอัดก๊อปปี้เต็มประตู แต่แกก็ใช้แรงทั้งหมดนั้น ผลักดันมันไปตกลงพื้นอย่างง่ายดาย
ทั้งตะกร้า ทั้งคนกองอยู่บนพื้น เสียงคนขับบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"จะหยุดก็บอกให้หยุดกะทันหัน บ้าหรือเปล่าวะ"
ผมเห็นแกเดินโขยกเขยกหายเข้าไปในถนนดินสายหนึ่ง ซึ่งทอดไปหาแนวภูเขาใหญ่ไกลๆ
*** พิมพ์ครั้งแรกในเสาร์สวัสดี คอลัมน์ คนคือการเดินทาง นสพ.กรุงเทพธุรกิจรายวัน เสาร์ 5 กันยายน 2552