Skip to main content

I've been lately thinking
พักนี้ฉันมักคิดถึง
About my lifes time
ช่วงชีวิตของฉัน
All the things I've done
สิ่งที่ทำลงไปแล้ว
\\/--break--\>

And how its been
และสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่
And I cant help believing
และฉันไม่สามารถหยุดความเชื่อ
In my own mind
ในหัวใจ
I know I'm gonna hate to see it end
ว่าฉันเกลียดที่จะเห็นมันจบลง

I've seen a lot of sunshine
ฉันได้เห็นอาทิตย์ฉายแสงหลายครา
Slept out in the rain
หลับลึกกลางสายฝน
Spent a night or two all on my own
อยู่เดียวดายคืนสองคืน
I've known my ladys pleasures
รู้จักสาวหลาย ๆ คน
Had myself some friends
มีมิตรสหายมากหน้า
And spent a time or two in my own home
และบางทีก็อยู่บ้าน

And I have to say it now
และที่ฉันต้องพูด
It's been a good life all in all
ชีวิตมันช่างยอดเยี่ยม
It's really fine
มันสุดยอด
To have a chance to hang around
ที่มีโอกาสได้เที่ยวท่อง
And lie there by the fire
นอนผิงไฟ
And watch the evening tire
และดูยามเย็น
While all my friends and my old lady
เมื่อกลุ่มเพื่อนและแม่นางนั่งรอบกาย
Sit and pass the pipe around
สูบไปป์

And talk of poems and prayers and promises
และพูดเกี่ยวกับบทกวี ผู้ภาวนา และสัญญา
And things that we believe in
และสิ่งที่ยึดมั่น
How sweet it is to love someone
ช่างหวานหอมเมื่อรักใครสักคน
How right it is to care
ช่างดีจริงที่ได้ดูแล
How long it's been since yesterday
ตั้งแต่วันวาน
And what about tomorrow
และต่อไปในวันพรุ่ง
And what about our dreams
และพูดเกี่ยวกับความฝัน
And all the memories we share
ความทรงจำที่มีด้วยกัน

The days they pass so quickly now
วันเวลาช่างผ่านรวดเร็ว
Nights are seldom long
กลางคืนไม่เคยยาวนาน
And time around me whispers when it's cold
และอากาศรอบข้างกระซิบถ้อยคำเย็นยะเยือก
The changes somehow frighten me
การเปลี่ยนแปลงทำฉันหวาดหวั่น
Still I have to smile
แต่ก็ยังยิ้มได้
It turns me on to think of growing old
มันทำให้ฉันแก่ลง
For though my life's been good to me
และทำให้คิดว่าชีวิตเคยดีกับฉันเพียงใด
There's still so much to do
ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
So many things my mind has never known
ยังมีอีกหลายอย่างที่ใจต้องเรียนรู้
Id like to raise a family
ฉันอยากจะทำให้ครอบครัวเติบโต
Id like to sail away
ฉันอยากจะล่องเรือไปไกล ๆ
And dance across the mountains on the moon
และเต้นรำบนเนินเขาใต้พระจันทร์

(เพลง  poems, prayers and promises  ของ john Denver 
เพลงที่ผมรักอีกเพลง  ขอบคุณมาก โพล้เพล้'  แปลได้งดงาม)



ปล่อยฉัน  ได้โปรดปล่อยฉันให้เดินทางไปตามใจ
ซึ่งฉันจะไม่บอกลาประตูหน้าต่าง
คนที่รัก  ลูกเมีย หรือข้อผูกมัดใดๆ
ฉันจะไปนอนพักบนยอดดอยสูงสุด  ซึ่งแสงจันทร์ส่องสว่างที่สุด
ฉันจะเดินเท้าไปให้หมดแรง
อาบเหงื่อต่างน้ำและนอนหลับไปด้วยเสื้อผ้าชุดเดิม
ฉันจะตื่นขึ้นมาพบกับกลิ่นตัวฉัน  ต่างจากวันก่อนๆ
ฉันจะไม่คิดถึงใคร
ฉันจะไม่ห่วงใคร
ฉันจะทิ้งทุกอย่างที่มนุษย์พึงมีไว้ประดับใบหน้ามนุษย์
ภาวนาผ่านลมหายใจ  ชำระล้างความดีงามในหัวใจออกไป
ฉันจะไม่แบกความความดีงามอีกแล้ว  และฉันจะฝันหวานถึงความชั่วร้ายด้วย
ฉันจะสูดเอาอากาศจากกลิ่นตัวผืนป่าบนยอดเขา
ฟังเสียงค้างคาวล่าเหยื่อตอนกลางคืน
เสียงมูมมามของมันกังวานมากลางอากาศ
ฉันจะเข้าไปฝากรอยไว้ในถ้ำหินปูนเปลี่ยวเดียวดาย
ซึ่งรากไม้อันอ่อนนุ่มพยายามแทรกตัวเข้าไปในก้อนหิน

ฉันไปถึงที่นั่นจริงๆ  ฉันเดินจนหมดแรง
ราวกับหยดหยาดน้ำในตัวฉันไหลออกไปหมดตัว
ฉันนอนเหลวแบนราบอยู่ข้างก้อนหินที่โดนน้ำฝนกัดกร่อนมาหลายร้อยล้านปี
กางเต็นท์นอนในห้องหินที่ประดับประดาด้วยตะไคร่ มอส เฟิร์น กล้วยไม้และรอยปริแตก
แล้วสายฝนก็โปรยลงมา  แสงจันทร์หายไปในบัดดล
ฉันนอนฟังเสียงฝนจนหลับไป  หลับลึกยาวนานตั้งแต่ฉันเกิดมาอยู่บนโลก
ชีวิตมันช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้
ปล่อยฉัน  ปล่อยให้ฉันได้เดิมตามใจเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน
เอารั้ว กำแพงบ้านออกไป  ฉันไม่อยากมองประตูหน้าต่าง
ฉันไม่อยากฝันถึงวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้
ฉันไม่อยากเพ้อฝันเรื่องวันวานที่เต็มไปด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวด
สิ่งมีอยู่จริง  อยู่ ณ นาทีนี้  อย่าให้ฉันหวังถึงวันพรุ่งนี้
อย่าให้ฉันฝันหวานถึงเรื่องราวเมื่อวาน
คืนนี้  ฉันนอนหลับลึกยาวนานในเสียงฝน
ดึกคืนหนึ่ง  ฉันตื่นขึ้นมานั่งมองดวงจันทร์กลมโต
เกล็ดเมฆขาวนวลเนียนจนฉันอยากจะเห่าหอนให้ป่าหายวังเวง
เหล่าต้นไม้ยืนดำมืดแข็งดำเป็นหิน 
เหมือนเสียงร้องไห้ดังในมืดดำนั้นตลอดเวลา
ฉันไม่พยายามจะคิดว่าเป็นน้ำค้างเม็ดโตเท่าดวงตา
ในความเงียบเปลี่ยวนั้น  สายตานกเค้าช้างตัวเท่าแม่ไก่สบตาดวงจันทร์เหมือนฉันเห็น
เพียงแต่เสียงของเขา  เหมือนเสียงคนตะโกนต้อนฝูงวัวให้เดินตรงทาง
ฉันจุดเทียน  ฉันอยากนั่งมองแสงเทียนและน้ำตาเทียน
นั่งมองเกล็ดเมฆขาว  นอนมองดวงจันทร์จนสว่าง


 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ