Skip to main content

Soy la sombra de una pena,
ฉันคือท่วงทำนองแห่งความเศร้า


Soy el eco de un dolor.
ฉันคือเสียงสะท้อนของความปวดร้าว


Triste soledad, que me queda hoy.
แสนเศร้ากับสิ่งที่ทิ้งขว้างไปวันนี้


El recuerdo de que te amé
ความทรงจำที่เคยรักเธอ


Y una extraña desolación, eyy, eyyy.
และความร้าวลึกภายใน


Soy la sombra de una pena,
ฉันคือท่วงทำนองแห่งความเศร้า


Soy el eco de un dolor.
ฉันคือเสียงสะท้อนของความเจ็บปวด


Quiero olvidar, quiero encontrar perdón.
อยากจะลืมและค้นหาทางให้อภัย


Ten piedad de mi corazón
เพื่อปลอบโยนหัวใจแห่งตน


Yo te imploro mi Señor.
พระเจ้าฉันได้โปรดช่วยด้วย


Borraré las tinieblas y esconderé mi llanto
ฉันจะกำจัดความมืดมนและซ่อนการสะอื้นไห้


El recuerdo que sufro se volverá un canto.
จะนำความทุกข์ทนมาร้องเป็นเพลง


Volveré a la vida, volveré a cantar, ya verá,
ฉันจะมีชีวิต ฉันจะขับขานท่วงทำนองอีกครั้ง และจะตาสว่างอีกครา


Volveré a la vida, volveré a cantar, ya verá .
ฉันจะมีชีวิต ฉันจะขับขานท่วงทำนองอีกครั้ง และจะตาสว่างอีกครา

(เพลง samba pa ti ของ Jose Feliciano โพล้เพล้ – แปล)

เดินไปถึงยอดเขา เหมือนยอดเขาไม่มีอยู่จริง
ฉันมองหาความสูง ไม่มีอะไรมากไปกว่าดวงตากับหัวใจ
เมฆปะทะหน้าผา หรือหน้าผาปะทะเมฆ ความพยายามปล่อยให้เมฆไหลท่วมป่าหิน
ความพยายามของดวงตากับหัวใจ
ลื่นล้มหกคะมำมาตลอดเส้นทาง ทางเส้นนี้ลื่น สูงชันและไม่มีใคร
ยอดเขามีจริงนั่นหรือ ฉันมองเห็นยอดเขาอื่น อีกยอดเขาและอีกยอดเขา
ลมเย็นพัดเมฆหมอกผ่านหน้าตาฉันไป
มันผ่านท่วงทำนองความเศร้าของฉันไปด้วย
ฉันปรารถนาให้ความยากลำบากได้ชำระล้างภายใน
ก้าวย่างแต่ละก้าว ความเงียบ เสียงป่า และลมหายใจเข้าออก
สัมผัสความหนักเหนื่อย ไม่เห็นที่มา เหมือนไม่มีดินแดนที่ไปถึง
ออกไปปีนยอดเขากับมิตรสหาย ถามหาสิ่งมีอยู่จริงบนยอดเขา
อาณาจักรแห่งนั้น มีเรื่องใดบ้างดำรงอยู่อย่างไม่เกินเลย
ใบไม้หนาเย็นเฉียบดื่มกินแสงดาวเดือนเป็นอาจิณ
ดื่มกินความยาวนานของความมืด
และแสงสว่างที่นำพาเมฆขาวผ่านมาด้วย
ลมบาดหิน’ มีอยู่ทุกวัน หินแหลมคมทะลวงเวิ้งว้างอากาศ
ยังมีลมบาดหินอยู่ทุกวัน ทุกคืน
เดินไปบนยอดเขา ถามหายอดเขา’ ถามหายอดเขายอดอื่นๆ
เหมือนยอดเขาไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเพียงให้พื้นที่ยืนต่อไปได้
เดินทางกลับ หรือไม่ก็มุ่งสู่ปลายยอดเขาอื่น
ไม่มีอื่นใดมากไปกว่าความว่างเปล่ากับลม
มองได้อย่างเดียว เราเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง มองแล้วสบายใจ”
ฉันมองหาความสูง ไม่มีอะไรมากไปกว่าดวงตากับหัวใจ


-----------------------------

หมายเหตุ:
ลมบาดหิน’ สำนวนของอา’ รงค์ วงษ์สวรรค์
เดินไปบนยอดเขา ถามหายอดเขา’ วรรคหนึ่งในเพลงชื่อแสงดาว ของไวด์ซี๊ด
มองได้อย่างเดียว เราเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง มองแล้วสบายใจ” คำพูดของ พ้อเลป่า


 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ห้องครัวซ้อมดนตรี ถึงเพลงบันนังสตา บ้านเช่าบ้านไม้เป็นบ้านชาวนาในหมู่บ้านแม่เหียะ ชานเมืองเชียงใหม่   ห้องครัวคือห้องทำงาน  ห้องนอนบางเวลา  ห้องซ้อมดนตรี   ห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก 
ชนกลุ่มน้อย
ประชาชน  สัตว์เลี้ยงของแวมไพร์
ชนกลุ่มน้อย
สองทุ่ม   อังคารที่ 16 มีนาคม  2553   นักดนตรีในเชียงใหม่  และคนในแวดวงหนังสือ ศิลปะ  นัดรวมตัวกันที่ร้านสุดสะแนน  ร่วมรำลึกถึงการจากไปของ ”จ่าเพียร”(พ.ต.อ สมเพียร เอกสมญา) วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด  ด้วยสายสัมพันธ์กับไวล์ดซี๊ด (ชุมพล  เอกสมญา) ลูกชายจ่าเพียรที่ผ่านมาเล่นดนตรีในเชียงใหม่อยู่เสมอๆ   เยียวยาจิตใจเมล็ดเถื่อนจากบันนังสตา  ร่วมรำลึก ...   
ชนกลุ่มน้อย
ขอต่อยาวสาวความยืดถึงน้ามาดบางมุมดูหน้าดุ เวลาเดินเหมือนนุ่นลอยอีกหน่อย อย่างที่บอกไว้ บุรุษไร้นาม(และหนาม)ตามใจคนนี้ อย่าให้นั่งหน้าทับหน้าหนังกลองแล้วกัน ความจืดของหน้าจะถูกขับออกมาอย่างเผ็ดร้อน ไม่เรียบเฉยปล่อยวางอีกแล้ว บางด้านดูดุเทียบได้ใบหน้าเสือจ้องขบ กลับเกลี่ยเสียใหม่ เป็นเสียงทะลวงไส้พุงเร้าใจผิดหน้าผิดหูผิดตาไปทันที
ชนกลุ่มน้อย
  “เลสาปหน้าร้อนเปื่อยหมดแล้ว” ประโยคนี้ถ้าเขียนใหม่ตามภาษาบรรพบุรุษของใต้สวรรค์ ต้องบอกว่า เลสาปหน้าร้อนเปื่อยแผล็ดๆ เหตุที่เปื่อยเห็นด้วยตา ถ้าพูดผ่านปากของบ่าวทอง ต้องเริ่มต้นว่า“ที่จริง”เช่นเคย “ที่จริงมันไม่เปื่อยหร็อก ที่มันเปื่อยเพราะเลกลายเป็นโคลน เปื่อยแผล็ดๆไปทั้งเล” …
ชนกลุ่มน้อย
  สวรรค์ปักษ์ใต้มีสะตอกับลูกเนียงรวมอยู่ด้วย หรอยที่สุดต้องเหนาะ(จิ้ม)กับน้ำชุบ(น้ำพริก-ต้องกะปิเท่านั้น) หรือกินกับแกงคั่ว คั่วกะทิหรือแกงคั่วเผ็ดไม่กะทิ เผ็ดร้อนไม่แพ้ขาดเหลือกันนัก ไม่มีใครบอกว่าพริกพัทลุงหรือพริกนครศรีธรรมราช เผ็ดแรงร้อนกว่ากัน...
ชนกลุ่มน้อย
นักดนตรีกลุ่มนี้ขับเคลื่อนด้วยความรัญจวนจากฤดูความว่างของชีวิต ออกไปเล่นดนตรีบรรเลงชีวิตร่วมกัน หรือจะพูดอีกที การมาถึงของพวกเขาใต้สวรรค์ ไม่ต่างจากฝูงปลาดุกหนีน้ำแถกเหงือกมาหากันในช่วงหน้าแล้ง หนวดยั้วคลุกนัวกันมาบนโคลนเปียกๆ เหนียวเหนอะไปยังถิ่นที่คาดว่าจะมีน้ำ สีผิวฝูงปลาดุกเลื่อมมันน่าเกรงขาม
ชนกลุ่มน้อย
คำ  สุวิชานนท์ รัตนภิมล และคำของอา' รงค์ ทำนอง  สุวิชานนท์  รัตนภิมล
ชนกลุ่มน้อย
ลมบาดหิน ของอา… “ผู้ชายคนนั้นกับผู้หญิงของเขาตัดสินใจแรมคืนในกระโจม(เต็นท์) เขาพบว่าการเสียบก้านปลั๊กตัวผู้ลงในรูปลั๊กตัวเมียเพื่อต้มน้ำกับกาไฟฟ้านั้นเป็นความสะดวกสบายของคนในทาวน์เฮาส์ที่กรุงเทพฯ และอย่างน่าอิจฉา แต่การมองหาก้อนหินนำมาวางเป็นก้อนเส้า กิ่งไม้ง่ามปักกับดินแล้วพาดราวแขวนหม้อและริ้วชิ้นวัวฝานหมักเกลือ ก่อกองไฟและต้มกาแฟ นี้เป็นบางแบบของชีวิตซึ่งผู้ชายควรเรียนรู้...”
ชนกลุ่มน้อย
พอออกมาจากห้องฝึกเรียนไวโอลินกลางเมืองเชียงใหม่  ผมบอกเจ้า 9 ขวบว่าไปเยี่ยมคุณลุงหน่อยนะ   เจ้าเก้าขวบถามทันทีที่ไหน  ผมตอบกลับวัดเจดีย์หลวง  ไปทำอะไรเหรอ เขาสงสัย  อยากไปเยี่ยม พ่อไม่ได้เข้าไปนานแล้ว
ชนกลุ่มน้อย
  ในห้องทำงาน โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ไม้ไม่เหมือนวันก่อน หนังสือเล่มใหม่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเล่มมาวาง ชั้นหนังสือเรียงตามกัน โน้ตสั้นๆ เขียนถึงเวลานัดหมาย เวลาส่งงาน หมายเลขโทรศัพท์ ม้านั่งไม้ไว้นอนเอกเขนก โคมไฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะกลม กีตาร์ กล้องถ่ายรูป รูปภาพบนผนัง ...
ชนกลุ่มน้อย
  ในชีวิต ณ ปัจจุบัน ผมไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาข้องเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชื่อ ไวโอลิน และยิ่งไม่เคยนึกว่าวันหนึ่ง จะมีไวโอลินมานอนอยู่ในห้อง ตั้งวางอยู่ข้างตัว รวมถึงได้ยินมันส่งเสียงทุกวันตอนย่ำค่ำ