Skip to main content

1

พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ  ปลาหน้าตารูปร่างประหลาดเหมือนแมงมุมหากินอยู่ใต้ท้องน้ำหมุนวนแรง    

ใครบางคนเปรียบเทียบโข่โละโกรเช่นซากศพคนตาย  ไม่มีใครปรารถนาให้มันฟื้นคืนชีพเพื่อบอกที่มาที่ไปของตัวเอง   ปล่อยให้ไหลไปอย่างคลุมเครืออย่างนั้น  มิหนำซ้ำกลับอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตประเภทกินซาก  ผ่านมาเก็บกินซากเน่าๆ  กินไม้  กินปืนสงคราม  กินข้าวสาร  กินเกลือ  กินน้ำตาล  เป็นอย่างนั้นมาหลายศตวรรษ  

ผมไม่รู้หรอกว่าแสงไฟหน้ารถ  จะไปหยุดลงที่ใด   ผมเห็นแต่ทางเป็นร่องดินน้ำขังเป็นทางยาว  แสงไฟสะท้อนน้ำเป็นเส้นแสงคู่ขนาน  อย่างกับรางรถไฟที่ปราศจากไม้หมอน  ปล่อยให้โบกี้ตกจากรางอย่างที่พะเลอโดะพูดจริงๆ  มันค้างเติ่งอยู่ริมน้ำ  นานวันเข้า  โบกี้ยาวเหยียดจึงงอกรากออกมาค้ำโบกี้ไม่ให้ตกน้ำ  พะเลอโดะบอกว่า  รากงอกยาวขึ้นลงตามระดับน้ำ  ชุมชนแห่งนี้จึงไม่มีวันตกลงน้ำได้ง่ายๆ

พอแสงไฟรถเบี่ยงลงต่ำ  พลันปรากฏลำน้ำเล็กๆสะท้อนกับแสงไฟ  มันดูราวกับไม่มีตลิ่ง  ไหลมาบนกรวดทรายและส่งเสียงดังมาก  หัวรถพุ่งไปเสียบไว้กลางดงสาปเสือ ดับเครื่องยนต์  ดับไฟรถทุกดวง   พะเลอโดะเดินฝ่าความมืดไปยังบ้านไม้หลังหนึ่ง  ซึ่งซ่อนลึกอยู่ในความมืด  พอเสียงรถเงียบลง  เราทั้งหมดก็กลายเป็นแมลงไม่รู้อิโหน่อิเหน่  เกาะนิ่งเหนียวหนึบอยู่ตามพื้นรถ  ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกแล้วนอกจากเสียงน้ำ

พะลอโดะกลับมาพร้อมร่างตะคุ่มๆ  ในมือถือไฟฉายส่อง   ผมเห็นร่างนั้นอย่างกับสัตว์เสียเปรียบในนิทานอีสป สัตว์เล็กเสียเปรียบทุกทาง  สงบปากสงบคำ  กล้าๆกลัวๆ  แม้มันจะเป็นฝ่ายถูกต้องชอบธรรมเพียงใดก็ตาม  ไม่แคล้วโดนขู่ตะปบทำร้ายจากสัตว์ใหญ่จนถึงแก่ชีวิต   

สุดท้ายนิทานอีสปมักจะบอกเพียง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...  ผู้แข็งแรงย่อมมีชัยเหนือ

2

อธรรม ...  ผมเพ่งตามองร่างดำๆเตี้ยๆเคลื่อนไหวเงอะงะอย่างคนไม่สมประกอบ  ราวกับว่าถ้าไม่มีความมืด  เขาคงไม่กล้าออกมาปรากฏตัว   ในช่วงเวลานี้เอง  พื้นรถใต้หน่อมะพร้าวก็เคลื่อนไหวขึ้นครั้งแรก   พลันปรากฏสองร่างค่อยๆบิดตัวแทรกขึ้นมาท่ามกลางข้าวของอย่างเหนื่อยหน่าย

ผมไม่แปลกใจ  แต่ลุงเวยซายังเชื่อเต็มเปี่ยมว่าศาลเจ้าช่วยเอาไว้

คนละมือมือช่วยกันหยิบฉวยข้าวสาร   เกลือ  หน่อกล้วย  มะพร้าวแตกหน่อ  และพันธุ์ไม้อื่น  เดินตามกันไปในความมืด   ผมไม่รู้อะไรเป็นอะไรอีกแล้ว  นอกจากเดินตามแสงไฟฉาย  ในหูผมได้ยินแต่เสียงพูดคุยเป็นภาษาอื่น  ฟังดูเหมือนคนโหวกเหวกโวยวาย   พะเลอโดะพูดได้กลมกลืน   เหมือนว่าดินแดนลับๆขยายหดสั้นยาวได้  ตราบเท่าที่ภาษาประหลาดนั้นยังอยู่

ตะเกียงน้ำมันก๊าดลุกแดงขึ้น  ผมเห็นใบหน้าชายเตี้ยม่อต้อเจ้าของบ้านเป็นครั้งแรก  เขามองมาด้วยสายตาขลาดๆ  ไม่สบตานาน  มองพวกเราผ่านๆ  

พะเลอโดะกวาดตามองผ่านความมืด  เหมือนมีสิ่งเคลื่อนไหว  มองจ้องเหล่าผู้มาใหม่

เราวางสิ่งของลงบนพื้นกระดาน   เมล็ดพันธุ์เดินทางไปถึงปลายทาง    

แต่จะนำไปปลูกที่ไหนนั่นหรือ   ผมยังนึกไม่ออก  ตลอดการเดินทางมา  ผมเห็นแต่ความมืด  ผมรู้มาเพียงว่าภูเขาต่อภูเขาต่อเนื่องไม่สิ้นสุด   ยังมีที่ราบอยู่อีกหรือ

พอนึกถึงริมฝั่งแม่น้ำ  เหมือนมีบางอย่างกระเพื่อมไปตามเนื้อตัว  ต้องตื่นเช้าๆแล้วเดินไปหา  เก็บรูปให้หนำใจ  คิดได้แค่นั้นฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่  ตกต่อเนื่องจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ  ผมทิ้งตัวลงนอนฟังเสียงฝน  มองไฟตะเกียงที่มีคนนั่งรุมล้อม  สองคนในนั้นเป็นพะเลอโดะกับลุงเวยซา   กะฌอกับซอมีญอหายตัวไป

ฝนตกถึงเช้า  ทุกอย่างรอบตัวซึมเซาอยู่ในม่านสีเทา  เสียงน้ำในลำห้วยไหลแรง  แต่รถบรรทุกยังแล่นข้ามผ่านมาได้  ผมนั่งมองรถบรรทุกหกล้อหุ้มตาข่ายแล่นมาช้าๆ  พอข้ามฝั่งมาได้ก็ดับเครื่อง  มีคนสองคนออกมาจากรถ  ก้มๆมองๆไปใต้ท้องรถ  ปีนดูในคอกไม้บรรทุก

“เขามาทำอะไร”  ผมพูดเปรยๆ
“วัว” ..
เสียงชายเตี้ยม่อต้อที่มองดูอยู่ด้วยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ตื่นเต้น  ผมถามอีกว่าวัวจากไหน  จะไปไหน  คราวนี้พะเลอโดะช่วยตอบแทน
“พม่า  พ่อค้าวัวมารอซื้อวัวควายกันที่นี่  วัวบางส่วนมาไกลจากอินเดีย  บังคลาเทศ   ขายต่อกันมาเป็นทอดๆ  ไปโรงฆ่าสัตว์ทั้งนั้น”

ราวกับว่ารถไฟกำลังจะมา  นายสถานียกธงให้รถไฟหยุดโบกี้ยาวเหยียดไปตามฝั่งแม่น้ำ  อันที่จริงทุกอย่างน่าจะผ่านไปด้วยดี  แต่นายสถานีในชุดพลางนั่นสิ  เรียกลุงเวยซาให้หยุด  ลุงเวยซาพูดเสียงดัง  ผมได้ยินแต่เสียงโข่โละโกรๆ  พะเลอโดะต้องรีบเดินเข้าไปหา  พร้อมกับบอกยืนยันว่า  มาด้วยกัน  ผู้เฒ่ามาจากแม่น้ำเงา  อยากมาดูน้ำโข่โละโกรสักครั้ง  สายๆก็กลับไปแล้ว

“ทำไมเขาทำอย่างนั้น”  ผมนึกสงสัย
“อยากแสดงอำนาจมั้ง  งานพวกเขาก็อยู่กันอย่างนี้  คอยดูคนเข้าคนออก”  พะเลอโดะพูดตรงๆ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ปกติ  

ผ่านสถานีมาได้ก็เข้าสู่ร้านค้าเรียงรายอยู่ในโบกี้  เปิดประตูโบกี้ออกกว้างขวาง  สารพัดสารเพวางขาย  ของคาวหวาน  เสื้อผ้า  น้ำมันพืช  รองเท้า  พริก  เกลือ  เชือก  ของเล่นเด็ก ฯลฯ พูดง่ายๆก็คือร้านค้าหัวเมืองมีอะไรบ้าง  ในโบกี้ก็มีไม่ต่างกัน

ราวกับว่าหัวรถจักรเสียมาหลายสิบปี   จอดแน่นิ่งตากแดดตากฝน  มันกำลังเดินไปสู่ของเก่า   ไม่นานก็กลายเป็นซากอีกชิ้นหนึ่ง  รอช่างซ่อมที่ไม่อาจคาดเดาว่าจะผ่านมาเมื่อไหร่   

ลุงเวยซาเดินล่วงหน้าไปก่อน  เราเดินตามไปห่างๆ  เหมือนพะเลอโดะจะรู้ว่ากะฌอกับซอมีญออยู่ที่ไหน  พะเลอโดะบอกผมแต่เพียงว่า  เดี๋ยวคงตามมา

หากจะมีเสียงเพลงบรรเลงผ่านมายามนี้  ผมนึกถึงเสียงร้องบ่นฮึมฮัมด้วยเสียงโทนต่ำ  ดังสลับกับก้าวย่างไปบนพื้นดินแฉะ  ข้างในผมเพริดออกหน้าออกตา  ยามเห็นโข่โละโกรเต็มฝั่ง  อย่างที่พะเลอโดะพูดไว้จริงๆ  โข่โละโกรเต็มฝั่งเดือนกันยายน

หินก้อนใหญ่ริมน้ำ  เหมือนถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง   ลุงเวยยืนนิ่งด้วยอัศจรรย์ใจอยู่ตรงนั้น  ยืนมองแม่น้ำใหญ่ยักษ์ไหลเย็นไหลนิ่ง  

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …