Skip to main content


 

สวรรค์ปักษ์ใต้มีสะตอกับลูกเนียงรวมอยู่ด้วย หรอยที่สุดต้องเหนาะ(จิ้ม)กับน้ำชุบ(น้ำพริก-ต้องกะปิเท่านั้น) หรือกินกับแกงคั่ว คั่วกะทิหรือแกงคั่วเผ็ดไม่กะทิ เผ็ดร้อนไม่แพ้ขาดเหลือกันนัก ไม่มีใครบอกว่าพริกพัทลุงหรือพริกนครศรีธรรมราช เผ็ดแรงร้อนกว่ากัน...


แต่เคย
(กะปิ)เลสาบ หรอยติดลมบน ยากจะหารสใดมาเทียบเคียง

ผมจำได้ว่า แม่ได้ปลาหลังเขียวมาทำเคย(บางทีใช้ปลาลิ้นหมา) หลังจากต้มจนสุก ก็กระหน่ำครกที่ใช้สากไม้สูงท่วมหัว(ครกที่ใช้ตำหยวกกล้วยให้หมูกิน) แสลงใต้คำนี้บอกว่า

เซ” เซนานๆก็ใส่น้ำตาลโตนดและเกลือ ในสัดส่วนผสมของสายตารู้มือ โยนหวานโยนเค็มลงใส่ และปราศจากสารกันบูด (ตัวกันบูดอยู่ที่ท้อง 7 ท้อง 7 ปาก)


เคยกุ้งเลสาบ เป็นเคยยอดนิยมถึงขนาดปิ้งลนไฟกินกับข้าวได้ลืมว่าพ่อลูกบ่าวยังต้องไปหายอดเหม็ดชุนมาเหนาะอีกหรือไม่

แต่คราวนี้เคยเลสาบกลับไม่ติดมากับใต้สวรรค์ เคยที่ติดมือมากลับเป็นเคยจากชุมพร รสชาติที่ทำให้ท้องวงดนตรีวงหนึ่ง ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้เบิกบานกันทั่วหน้า

ไม่แพ้ร็องแง็งเร็กเก้!!!...


พ่อครัวมือปรุงระดับตำนาน เคยเอาหลังพิงหลังกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ แห่งหุบเขาฝนโปรยไพร ลูกมือเดินป่าเขาหลวงตำเครื่องแกงมานับครั้งไม่ถ้วน

เป็นหนุ่มใหญ่หนวดเคราเฟิ้ม พูดจาสำเนียงพื้นถิ่นได้หนักแน่นคำไหนคำนั้น ผมเรียกจนติดปาก

ทอง!!?”


หลายคนหลายมุมปากเรียก บ่าวทอง น้าบ่าวทอง หลวงทอง พี่ทอง ไอ้ทอง ลุงทอง น้าเณรทอง ฯลฯ สำเนียงของการนับญาติใกล้วัยใครพูด แม้ไม่คลานตามกันมาก็ตาม

บ่าวทองเฝ้าหม้อข้าวหม้อแกง นับชามนับช้อน ล้างผักเป็นโคม(กะละมัง) เฝ้าท้องใต้สวรรค์ให้อิ่มหนำกันทั่วหน้า

พอเบิกบานใจก็โรยยาเส้นบนใบจาก โรยยาเส้นบนยาเส้น สูบยาพ่นควันผุยๆเฉิบๆอย่างสบายอารมณ์

เหล่าฝูงปลาดุกหนังเหนียวที่สุด สามารถแถกเหงือกเกี่ยวเอาความสุขรสเลิศเพียงควันล่องลอย

หรือไม่ก็นั่งเย็บตัดซ่อมทรงผมเดดล็อก(รังไก่)


พ่อครัวเมืองใต้มักหน้าโหด” ผมพูดเปรยเล่น

ที่จริงหน้าตาดีก็ยัง แต่ไม่เหลือให้ใช้งานแล้ว”

จะมีคำไหนมาต่อท้ายก็ตาม บ่าวทองต้องพูดคำนำหน้าก่อนคำอื่นว่า “ที่จริง”

ที่จริงน่าจะยังลูกเหรียง รับรอง()ว่าเข้ากับน้ำชุบพี่”

ผมตำน้ำชุบไว้ถ้วยใหญ่ ใต้สวรรค์ไม่ถือสาหาความแน่ๆ ที่ต้องหนีน้ำชุบและมาเจอน้ำชุบเข้าอย่างจัง แถมเผ็ดแกล้งกันชัดๆ น้ำมูกน้ำตาไหลพรากๆ…

เหล่าฝูงปลาดุกแถกเหงือกมาถึงตอนสายๆของวันนัดหมาย ถ้ามองผ่านหน้าตาแววตาเศร้าคมเข้ม สารรูป เสื้อผ้าที่สวมใส่ สีผิว ท่าทางท่าที ไม่รวมถึงน้ำเสียงการพูด

คนเมืองอื่นอย่างแน่นอน มองให้ชัดๆ ยิ่งไม่ใช่พวกมาท่องเที่ยว

คลื่นคนกลุ่มเล็กๆหนาตาหนักตา ดูราวกลุ่มคนหนีเข้าเมืองโทนเฉดสีผู้อพยพ

ต้องเป็นกลุ่มหัวไม้ผู้ก่อการบางอย่างในเมืองนี้แน่ๆ


ถ้าผมตอบแทนใครๆ(ไม่ให้เจ็บใจ)ได้ ผมก็คงตอบว่า เป็นพวกก่อการอย่างแน่นอน แต่ฝูงปลาดุกคงไม่เหลิงระเริง หากผมจะหยอดใส่หางฝูงปลาดุกสักหน่อย

ผู้ก่อการดี อินเลิฟ น็อตวอร์ !?!.. และ โน-วู-แมน-โน-คราย!.?..


รถสองคันแล่นไล่ตามกันมา หยุดลงกลางซอยอุโมงค์ตีนดอยสุเทพ คลื่นคนกลุ่มเล็กๆ เข้าเมืองอย่างผู้อพยพที่พร้อมจะผูกเปลนอน ตั้งเต็นท์และก่อไฟหุงต้มกันได้ในชั่วเวลาพริบตา

พลังคนหนุ่มที่ไม่เอาดีทางปืนคอนตราควาย หน้าไม้และหนังสติ๊กแน่ๆ

แต่ดนตรีกับเครื่องแกง น่าจะเป็นอาวุธที่พวกเขามีอยู่

(ดูเหมือนถ้าพวกเขาไม่มีดนตรี พวกเขาจะเป็นฝูงปลาดุกด้างที่มีความเสี่ยงสูงมาก ว่าจะโดนจับไปทำแกงฉูฉีในชั่วพริบตา)


แกงฉูฉี แกงที่ชิ้นปลาดุกสำลักเครื่องแกงในกะทิ แบบขลุกขลิกในน้ำแห้งขอด

เครื่องดนตรีของพวกเขานอนห่มผ้ามาตลอดทาง เช่นกัน เครื่องแกงของพวกเขาซุกตัวเงียบรอให้ถึงเวลาหยิบขึ้นมาปรุง

เหมือนพวกเขาไม่ห่วง(และไม่สน)ว่าจะมีสารอาหารตกถึงท้องตอนไหน เวลาใด ขอเพียงแต่สายตาเหล่าฝูงปลาดุกจ้องจับชะเง้อลำไผ่กับหยวกกล้วย

(บ้านผมมีกอไผ่ 1 กอ กล้วยอีกสามสี่กอ)

ลำไผ่ไว้แหวกว่ายชื่นชมหมู่มัจฉาว่ายบนบก ในวันแดดแดงใบไม้แดง

ต้นกล้วยกลายร่างตัวเองเป็นผู้พลีชีพ ยอมให้รูปหนังตะลุงเสียบปักเล่าเรื่องให้ความสุขแก่ผู้ชม

ฝูงปลาดุก ลำไผ่ และหยวกกล้วย น่าจะเป็นสัญลักษณ์ผู้คาดโทษถึงวันพรุ่ง ว่าจะมีมาหรือไม่มีก็ได้


หลังกินข้าวมื้อหนักตอนกลางวัน ทุกคนเบิกบานกับที่นั่งที่นอน หลับลึกในภวังค์ ตื่นตาในกลิ่นกาแฟ หลงใหลในกลิ่นใบไม้ไหม้ไฟ กลิ่นทะเลเค็มโชยไล่กลิ่นใบสักแห้งออกไปจนหมดสิ้น

แล้วบ้านทั้งหลังก็อึงอลด้วยภาษาถิ่นต่างถิ่น

มีซ้อมก่อน()มั้ย” ผมถามเพื่อน

ไม่มี ซ้อมกันมาแล้ว” ..


คราวนี้น่าจะไม่ธรรมดาแน่ๆ คงหลอมท่วงทำนองร็องแง็งจนเข้ากระดูกทุกตัวคน

ปีก่อนโน้น ย้อนหลังไป 5 ปี พวกเขารวมตัวกันเกือบ 10 ชีวิต ขึ้นเหนือเพื่อเที่ยวท่องหาที่เล่นเพลง ผมชวนเข้าไปถึงบ้านห้วยอีค่าง(ประมาณ40กิโลเมตรจากเชียงใหม่) เขตอำเภอแม่วาง(เชียงใหม่)

ไปโดยไม่ได้นัดหมายชาวบ้าน ว่าจะมีวงดนตรีแอบเข้าไปตั้งเครื่องในหมู่บ้าน

 


หลังบ้านแควา(คนที่ผมไปขอเป็นญาติ)เป็นลานร่มล้อมด้วยต้นขนุนเก่าแก่ เป็นลานเวที ยกพื้นไม้ขึ้นเล็กน้อย ปูพื้นด้วยเสื่อกระสอบ เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นทยอยกันลงจากรถ เริ่มจากกลองกระเดื่อง กลองสะแน แฉ ฉาบ กลอมทอม ไล่กันไป


ชาวบ้านมาช่วยยกเหมือนมดขนอาหาร

เสียงตั้งกลองเริ่มดัง คนเริ่มเข้ามาสังเกตการณ์

พอตกค่ำ วงดนตรีที่ตั้งใจมาเที่ยวท่องตามใจ ก็พร้อมแสดงต่อหน้าผู้ชมที่เป็นชาวปกากะญอยกหมู่บ้าน บรรยากาศรุมล้อมใกล้กันระหว่างผู้เล่นกับผู้ชม


นานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นเวทีเพลงในฝัน ราวกับอยู่ในพิธีกรรมอะไรสักอย่าง เสียงแมนโดลิน แซ็กโซโฟน แอ็คอเดียน สะกดใจผู้ชมจนนิ่งงันตาค้าง

ไม่มีใครลุกหนีไปไหน

จบเพลงคืนนั้น รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นครับ

ทั้งย่ามทอมือ ช่อดอกไม้(แกลดิโอลัส) ข้าวสารซ้อมมือใส่ถุงผ้า หวีกล้วยน้ำว้างามๆ อโวคาโอ และคำต่าบลึๆ ขอบคุณๆ

ครึ่งคันรถสำหรับรางวัลจากห้วยอีค่าง


ประทับจิตประทับใจจนถึงตอนนี้ (ผมอยากบอก)นิยุติว่า เราต้องมีโอกาสไปห้วยอีค่างอีกทีมั้ย ไปบิณฑบาตข้าวสาร ดอกไม้ ย่าม กล้วยน้ำว้า อโวคาโด แลกกับเสียงดนตรีที่เดินทางไกลมากว่า 1,000 กิโลเมตร

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้ มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน
ชนกลุ่มน้อย
ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่ น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม
ชนกลุ่มน้อย
 ไผ่กอนี้งามเหลือเกิน สิ้นคำอุทานแบบไม่มีปี่ ไม่มีพร้า แต่ในมือมีกล้องถ่ายรูป แต่เหลือฟิล์มติดกล้องเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น เป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายปลายฟิล์ม เจ้าปลายฟิล์มนี่สิ ลุ้นตัวโก่งตัวลีบมาแล้วหลายครั้ง ประมาณว่ามีฟิล์มอยู่ในกล้องให้อุ่นใจก็จริง แต่รูปไม่มีใส่แล้ว ปลายสุดม้วนฟิล์มอาจเป็นเรื่องอุบัติเหตุล้วนๆก็ได้ให้รู้สึกนึกในใจว่า เจอไผ่งามเมื่อฟิล์มหมด...
ชนกลุ่มน้อย
    ดูเอาเถิด  เพื่อนเอย  ลำน้ำในความฝันฉันหลงลืมฤดูบอกเล่าเรื่องที่ฉันรักนานมาแล้ว  ฉันมองเห็นแต่ดวงตาอาดูรลึกล้ำไร้จุดจบระหว่างทางความแข็งแกร่งกับมวลสารอ่อนนุ่มนานเพียงใด  ใสเย็นสงบไปตามเสียงเรียกของหัวใจที่นั่น  พระอาทิตย์ยังคลุกฝุ่นอยู่ในดงสาปเสือต้นหญ้ามีกลิ่นเสื้อผ้าเก่าๆเถาวัลย์ออกดอก   กลิ่นเหมือนน้ำปลาดวงตาดอกไม้มองดวงตาฉัน  ให้ฉันวางใจดอกไม้วางใจฉันหอบเอาความหวังสู่หนทางไว้เนื้อเชื่อใจแม้แผ่นดินที่ฉันเดินไปนั้น   แห้งแล้งแต่ลำน้ำมีชีวิตไกลลึก
ชนกลุ่มน้อย
ผมกลายร่างเป็นแมลงวันไปจริงๆ ขณะทะเล่อทะล่าอยู่กลางเมืองปาย ตอมทุกอย่างที่ขวางหน้า ดมกลิ่นได้ดม มองดูได้มอง กินได้กิน ดื่มได้ดื่ม อาหารตาอาหารใจมากสำรับวางเรียงราย ความพยายามของแมลงตัวน้อยๆบินไปเกาะอยู่ข้างโปสการ์ด ท่ามกลางผู้คนรุมล้อมตอมปาย กลิ่นเมืองปายโชยมาตั้งแต่ลงต่ำจากไหล่เขา สู่ที่ราบต่ำกว่า พอข้ามน้ำปายก็พบกับกองคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฝูงคนใส่เสื้อสีเหมือนลูกกวาด รวมตัวเป็นกลุ่มๆอยู่สองฟากถนน ต่างใจจดใจจ่อกับการชมทิวทัศน์ผืนนา แม่น้ำ พร้อมถ่ายรูปกันด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มกันถ้วนหน้าเหมือนตกลงไปอยู่ในดินแดนความฝัน 
ชนกลุ่มน้อย
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ากรุงเทพไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่ผมผ่านไปกี่ครั้งๆ ก็ไปไม่ถึง เหมือนมันอยู่ไกลเหลือเกิน จนไม่เข้าใจแก่นแกนของเมืองใหญ่เมืองนี้ ช่วงเวลาน้อยๆที่จำเป็นต้องอยู่ เสมือนหนึ่งสถานีพักชั่วข้ามคืน ห้องสงบบนตึกสูงชั้น 6 บนฝั่งถนนวิภาวดีรอยต่อเขตดอนเมืองกับหลักสี่ ห่างจากทางรถไฟที่มุ่งไปสายเหนือ-ตะวันออกฉียงเหนือราว 50 เมตร ห่างจากสนามบินดอนเมืองแค่ 5-10 นาทีบนความเร็วรถแท็กซี่
ชนกลุ่มน้อย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ผมจะไปให้ถึงสวนสุขภาพสักครั้งหนึ่ง มากกว่า 5 ปี ที่ผมกักบริเวณสองเท้าไว้กับยามเย็น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในบ้านชานเมือง ก็เป็นในเมือง หรือไม่ก็ในหมู่บ้านกลางป่า ตามภูเขา ตามถนนหนทาง ร้านหนังสือ งานเลี้ยง พบเพื่อนฝูงน้องพี่ … จิปาถะยามเย็นของแต่ละวัน แต่ไม่เคยนึกจะไปสวนสุขภาพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไปออกกำลังกายตอนเย็นๆเสียบ้าง
ชนกลุ่มน้อย
   ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง  พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ  เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน  ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข
ชนกลุ่มน้อย
หน้าต่างสีตะกั่ว เปิดกว้างกว่าวันก่อน นกประหลาดหัวขาวลำตัวเท่านิ้วก้อยปีกขาดไปข้างหนึ่ง บินผ่านมาเกาะอยู่ริมหน้าต่าง มันกำลังบินเข้ามายังโพรงกลวงๆในตัวข้าพเจ้า สบตากันนาน มองจ้องกันนาน สัตว์แปลกหน้าเผชิญหน้ากัน ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นความจริง ท้องทุ่งหลังเก็บเกี่ยวกำลังตากแดด เปลี่ยววังเวง รอความตาย jonn Denver ร้องเพลง poems, prayers and promises
ชนกลุ่มน้อย
ผมยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่อีกครั้ง เพลงร้องในยามตื่น มี ความหมายในยามหลับลึกด้วย เหล่าต้นไม้มีตุ่มตา โอบกอดความโศกศัลย์ที่ไหลย้อนผ่านมาไม่ขาดสาย
ชนกลุ่มน้อย
ผมอยู่รั้งท้าย จนตกหล่นจากขบวนแถว อยู่คนเดียวในที่สุด มองออกไปเป็นทางดินแคบๆ เส้นเดียวที่หลบเลี้ยวหายไปในพงรกทั้งสองด้าน หากมองลงมาจากยอดไม้ ก็จะเห็นกระทาชายนั่งขนาบข้างทางดินเหลืองอ่อน เหมือนนั่งบนเส้นเชือกที่ตัดเข้าไปบนพื้นที่สีเขียว ทอดสายตามองเหม่อออกไปยังหุบเหวต้นไม้เบื้องหน้าเสียงป่าเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆตัว ลมป่าพัดมาครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเหมือนคนพูด อาจเป็นเสียงคนในขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน หรือเสียงป่าพูดได้ ลำต้นเหมือนลำตัว กิ่งไม้เหมือนมือ พุ่มใบมีดวงตามองจ้องมาทุกด้าน
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ