Skip to main content


 

สวรรค์ปักษ์ใต้มีสะตอกับลูกเนียงรวมอยู่ด้วย หรอยที่สุดต้องเหนาะ(จิ้ม)กับน้ำชุบ(น้ำพริก-ต้องกะปิเท่านั้น) หรือกินกับแกงคั่ว คั่วกะทิหรือแกงคั่วเผ็ดไม่กะทิ เผ็ดร้อนไม่แพ้ขาดเหลือกันนัก ไม่มีใครบอกว่าพริกพัทลุงหรือพริกนครศรีธรรมราช เผ็ดแรงร้อนกว่ากัน...


แต่เคย
(กะปิ)เลสาบ หรอยติดลมบน ยากจะหารสใดมาเทียบเคียง

ผมจำได้ว่า แม่ได้ปลาหลังเขียวมาทำเคย(บางทีใช้ปลาลิ้นหมา) หลังจากต้มจนสุก ก็กระหน่ำครกที่ใช้สากไม้สูงท่วมหัว(ครกที่ใช้ตำหยวกกล้วยให้หมูกิน) แสลงใต้คำนี้บอกว่า

เซ” เซนานๆก็ใส่น้ำตาลโตนดและเกลือ ในสัดส่วนผสมของสายตารู้มือ โยนหวานโยนเค็มลงใส่ และปราศจากสารกันบูด (ตัวกันบูดอยู่ที่ท้อง 7 ท้อง 7 ปาก)


เคยกุ้งเลสาบ เป็นเคยยอดนิยมถึงขนาดปิ้งลนไฟกินกับข้าวได้ลืมว่าพ่อลูกบ่าวยังต้องไปหายอดเหม็ดชุนมาเหนาะอีกหรือไม่

แต่คราวนี้เคยเลสาบกลับไม่ติดมากับใต้สวรรค์ เคยที่ติดมือมากลับเป็นเคยจากชุมพร รสชาติที่ทำให้ท้องวงดนตรีวงหนึ่ง ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้เบิกบานกันทั่วหน้า

ไม่แพ้ร็องแง็งเร็กเก้!!!...


พ่อครัวมือปรุงระดับตำนาน เคยเอาหลังพิงหลังกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ แห่งหุบเขาฝนโปรยไพร ลูกมือเดินป่าเขาหลวงตำเครื่องแกงมานับครั้งไม่ถ้วน

เป็นหนุ่มใหญ่หนวดเคราเฟิ้ม พูดจาสำเนียงพื้นถิ่นได้หนักแน่นคำไหนคำนั้น ผมเรียกจนติดปาก

ทอง!!?”


หลายคนหลายมุมปากเรียก บ่าวทอง น้าบ่าวทอง หลวงทอง พี่ทอง ไอ้ทอง ลุงทอง น้าเณรทอง ฯลฯ สำเนียงของการนับญาติใกล้วัยใครพูด แม้ไม่คลานตามกันมาก็ตาม

บ่าวทองเฝ้าหม้อข้าวหม้อแกง นับชามนับช้อน ล้างผักเป็นโคม(กะละมัง) เฝ้าท้องใต้สวรรค์ให้อิ่มหนำกันทั่วหน้า

พอเบิกบานใจก็โรยยาเส้นบนใบจาก โรยยาเส้นบนยาเส้น สูบยาพ่นควันผุยๆเฉิบๆอย่างสบายอารมณ์

เหล่าฝูงปลาดุกหนังเหนียวที่สุด สามารถแถกเหงือกเกี่ยวเอาความสุขรสเลิศเพียงควันล่องลอย

หรือไม่ก็นั่งเย็บตัดซ่อมทรงผมเดดล็อก(รังไก่)


พ่อครัวเมืองใต้มักหน้าโหด” ผมพูดเปรยเล่น

ที่จริงหน้าตาดีก็ยัง แต่ไม่เหลือให้ใช้งานแล้ว”

จะมีคำไหนมาต่อท้ายก็ตาม บ่าวทองต้องพูดคำนำหน้าก่อนคำอื่นว่า “ที่จริง”

ที่จริงน่าจะยังลูกเหรียง รับรอง()ว่าเข้ากับน้ำชุบพี่”

ผมตำน้ำชุบไว้ถ้วยใหญ่ ใต้สวรรค์ไม่ถือสาหาความแน่ๆ ที่ต้องหนีน้ำชุบและมาเจอน้ำชุบเข้าอย่างจัง แถมเผ็ดแกล้งกันชัดๆ น้ำมูกน้ำตาไหลพรากๆ…

เหล่าฝูงปลาดุกแถกเหงือกมาถึงตอนสายๆของวันนัดหมาย ถ้ามองผ่านหน้าตาแววตาเศร้าคมเข้ม สารรูป เสื้อผ้าที่สวมใส่ สีผิว ท่าทางท่าที ไม่รวมถึงน้ำเสียงการพูด

คนเมืองอื่นอย่างแน่นอน มองให้ชัดๆ ยิ่งไม่ใช่พวกมาท่องเที่ยว

คลื่นคนกลุ่มเล็กๆหนาตาหนักตา ดูราวกลุ่มคนหนีเข้าเมืองโทนเฉดสีผู้อพยพ

ต้องเป็นกลุ่มหัวไม้ผู้ก่อการบางอย่างในเมืองนี้แน่ๆ


ถ้าผมตอบแทนใครๆ(ไม่ให้เจ็บใจ)ได้ ผมก็คงตอบว่า เป็นพวกก่อการอย่างแน่นอน แต่ฝูงปลาดุกคงไม่เหลิงระเริง หากผมจะหยอดใส่หางฝูงปลาดุกสักหน่อย

ผู้ก่อการดี อินเลิฟ น็อตวอร์ !?!.. และ โน-วู-แมน-โน-คราย!.?..


รถสองคันแล่นไล่ตามกันมา หยุดลงกลางซอยอุโมงค์ตีนดอยสุเทพ คลื่นคนกลุ่มเล็กๆ เข้าเมืองอย่างผู้อพยพที่พร้อมจะผูกเปลนอน ตั้งเต็นท์และก่อไฟหุงต้มกันได้ในชั่วเวลาพริบตา

พลังคนหนุ่มที่ไม่เอาดีทางปืนคอนตราควาย หน้าไม้และหนังสติ๊กแน่ๆ

แต่ดนตรีกับเครื่องแกง น่าจะเป็นอาวุธที่พวกเขามีอยู่

(ดูเหมือนถ้าพวกเขาไม่มีดนตรี พวกเขาจะเป็นฝูงปลาดุกด้างที่มีความเสี่ยงสูงมาก ว่าจะโดนจับไปทำแกงฉูฉีในชั่วพริบตา)


แกงฉูฉี แกงที่ชิ้นปลาดุกสำลักเครื่องแกงในกะทิ แบบขลุกขลิกในน้ำแห้งขอด

เครื่องดนตรีของพวกเขานอนห่มผ้ามาตลอดทาง เช่นกัน เครื่องแกงของพวกเขาซุกตัวเงียบรอให้ถึงเวลาหยิบขึ้นมาปรุง

เหมือนพวกเขาไม่ห่วง(และไม่สน)ว่าจะมีสารอาหารตกถึงท้องตอนไหน เวลาใด ขอเพียงแต่สายตาเหล่าฝูงปลาดุกจ้องจับชะเง้อลำไผ่กับหยวกกล้วย

(บ้านผมมีกอไผ่ 1 กอ กล้วยอีกสามสี่กอ)

ลำไผ่ไว้แหวกว่ายชื่นชมหมู่มัจฉาว่ายบนบก ในวันแดดแดงใบไม้แดง

ต้นกล้วยกลายร่างตัวเองเป็นผู้พลีชีพ ยอมให้รูปหนังตะลุงเสียบปักเล่าเรื่องให้ความสุขแก่ผู้ชม

ฝูงปลาดุก ลำไผ่ และหยวกกล้วย น่าจะเป็นสัญลักษณ์ผู้คาดโทษถึงวันพรุ่ง ว่าจะมีมาหรือไม่มีก็ได้


หลังกินข้าวมื้อหนักตอนกลางวัน ทุกคนเบิกบานกับที่นั่งที่นอน หลับลึกในภวังค์ ตื่นตาในกลิ่นกาแฟ หลงใหลในกลิ่นใบไม้ไหม้ไฟ กลิ่นทะเลเค็มโชยไล่กลิ่นใบสักแห้งออกไปจนหมดสิ้น

แล้วบ้านทั้งหลังก็อึงอลด้วยภาษาถิ่นต่างถิ่น

มีซ้อมก่อน()มั้ย” ผมถามเพื่อน

ไม่มี ซ้อมกันมาแล้ว” ..


คราวนี้น่าจะไม่ธรรมดาแน่ๆ คงหลอมท่วงทำนองร็องแง็งจนเข้ากระดูกทุกตัวคน

ปีก่อนโน้น ย้อนหลังไป 5 ปี พวกเขารวมตัวกันเกือบ 10 ชีวิต ขึ้นเหนือเพื่อเที่ยวท่องหาที่เล่นเพลง ผมชวนเข้าไปถึงบ้านห้วยอีค่าง(ประมาณ40กิโลเมตรจากเชียงใหม่) เขตอำเภอแม่วาง(เชียงใหม่)

ไปโดยไม่ได้นัดหมายชาวบ้าน ว่าจะมีวงดนตรีแอบเข้าไปตั้งเครื่องในหมู่บ้าน

 


หลังบ้านแควา(คนที่ผมไปขอเป็นญาติ)เป็นลานร่มล้อมด้วยต้นขนุนเก่าแก่ เป็นลานเวที ยกพื้นไม้ขึ้นเล็กน้อย ปูพื้นด้วยเสื่อกระสอบ เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นทยอยกันลงจากรถ เริ่มจากกลองกระเดื่อง กลองสะแน แฉ ฉาบ กลอมทอม ไล่กันไป


ชาวบ้านมาช่วยยกเหมือนมดขนอาหาร

เสียงตั้งกลองเริ่มดัง คนเริ่มเข้ามาสังเกตการณ์

พอตกค่ำ วงดนตรีที่ตั้งใจมาเที่ยวท่องตามใจ ก็พร้อมแสดงต่อหน้าผู้ชมที่เป็นชาวปกากะญอยกหมู่บ้าน บรรยากาศรุมล้อมใกล้กันระหว่างผู้เล่นกับผู้ชม


นานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นเวทีเพลงในฝัน ราวกับอยู่ในพิธีกรรมอะไรสักอย่าง เสียงแมนโดลิน แซ็กโซโฟน แอ็คอเดียน สะกดใจผู้ชมจนนิ่งงันตาค้าง

ไม่มีใครลุกหนีไปไหน

จบเพลงคืนนั้น รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นครับ

ทั้งย่ามทอมือ ช่อดอกไม้(แกลดิโอลัส) ข้าวสารซ้อมมือใส่ถุงผ้า หวีกล้วยน้ำว้างามๆ อโวคาโอ และคำต่าบลึๆ ขอบคุณๆ

ครึ่งคันรถสำหรับรางวัลจากห้วยอีค่าง


ประทับจิตประทับใจจนถึงตอนนี้ (ผมอยากบอก)นิยุติว่า เราต้องมีโอกาสไปห้วยอีค่างอีกทีมั้ย ไปบิณฑบาตข้าวสาร ดอกไม้ ย่าม กล้วยน้ำว้า อโวคาโด แลกกับเสียงดนตรีที่เดินทางไกลมากว่า 1,000 กิโลเมตร

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …