Skip to main content

20080201 ภาพประกอบ โข่โละโกร ตอนจบ (1)

หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  

ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วย

พะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามทุ่งนาทุ่งไร่  หรืออาศัยหลับนอนไปตามบ้าน รับจ้างเป็นแรงงานไปวันๆ ก็ตาม  

พวกเขาคงรู้กลิ่น มีที่ไหนปลอดภัยบ้าง

ลุงเวยซาอยู่ในอารมณ์ครุ่นคิด ลุงเงียบผิดปกติ มองแม่น้ำอีกครั้ง  มองไล่ไปตามบ้านเรือนที่ตั้งวางเรียงราย  พะเลอโดะกำลังง่วนอยู่กับการจัดของภายในรถ     

เรากำลังจะขึ้นรถอยู่แล้ว  จู่ๆ ชายเตี้ยม่อต้อก็วิ่งตาตื่นมาพูดกับพะเลอโดะ  ว่าเมื่อคืนมีคนหายไปจากหมู่บ้านหลายคน  สองคนในจำนวนนั้นน่าจะเป็นกะฌอกับซอมีญอ  มีคนได้ยินแต่เสียงเดินย่ำพื้นดินอย่างรีบเร่ง  ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่  

พะเลอโดะมีสีหน้าเคร่งเครียด  ก่อนจะบอกผมกับลุงเวยซาว่าเรายังกลับไม่ได้  เราต้องอยู่ต่ออีกคืน  แต่ชั่วข้ามคืนของพะเลอโดะ  ผมรู้ดีว่า  อาจหมายถึงครึ่งคืน  หรือไม่ก็อาจสองสามวัน  ขึ้นอยู่กับสัญชาติญาณครั้งสุดท้าย

อันที่จริงใครจะอยู่ใครจะไป  ก็เป็นเรื่องปกติของชีวิตแถบนี้  คนหายดูเป็นเรื่องให้พูดถึงอย่างธรรมดาเหลือเกิน  แม้ไม่อาจคาดเดาในชะตากรรมก็ตาม   เพราะคนหายไป  ก็อาจหมายถึงการย้ายที่ไปอยู่ที่อื่น  ไปทำอะไรก็ได้ที่ใครไม่จำเป็นต้องรู้

ทุกอย่างน่าจะขึ้นอยู่กับการรอคอย   ผมไม่รู้จะคอยอะไร  คอยใคร  หรือต้องห่วงใครบ้าง  ลุงเวยซายังอยู่กับเรา  กะฌอกับซอมีญอนั้นหรือ  ที่นี่ก็เป็นแผ่นดินพวกเขา  เขาไม่ใช่บุคคลสำคัญขนาดเป็นสิ่งจำเป็นของกองทัพ   หรือกองทัพขาดเขาไปสองคน  อาจจะลดทอนกำลังใจของหมู่ทหาร

เปล่า ..

ถึงอย่างไร  ผมไม่รู้อยู่ดี   ผมเดินไปนั่งมองแม่น้ำ  ลุงเวยซาตามไปนั่งข้างๆ  พะเลอโดะเดินหายไปกับชายเตี้ยม่อต้อ

20080201 ภาพประกอบ โข่โละโกร ตอนจบ (2)

บ่ายฝนตกพรำๆ  เหมือนแม่น้ำใหญ่ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ  มันยังคงไหลไปอย่างเย็นเยียบ  ไหลเนื่องไปข้างหน้าอยู่อย่างนั้น  ผมหลบมาอยู่ในศาลาริมน้ำ   มีคนนั่งอยู่หลายคน  ท่าทางแต่ละคนแทบไม่ต่างกัน  นั่งรอคอยอะไรสักอย่าง  ซึ่งไม่แน่ว่าจะมาถึงใกล้ไกลเพียงใด

ตกค่ำ  ยังไม่มีทีท่าว่ากะฌอกับซอมีญอจะกลับมา  แมวดำตัวใหญ่วิ่งฝ่าฝนเปียกปอน  เดินหายเข้าไปในบ้านไม้   สัตว์ยังมีที่หลบภัย  แต่คนคงมองไม่เห็นทางได้ง่ายๆ

ผมไม่พบกะฌอกับซอมีญออีกเลย  นับจากวันนั้น   เรารออีกวันเต็มๆ  เพื่อให้แน่ใจว่าเขาสองคนไม่กลับมาจริงๆ   เราช่วยกันหยิบหน่อกล้วยลงมาจากรถ  มันไม่มีความจำเป็นใดๆอีกแล้ว ภายในรถดูโล่ง  ผมกับลุงเวยซานอนเหยียดตัวบนพื้นรถ  เสียงเครื่องรถครางหึ่งๆๆ  พะเลอโดะไม่พูดอะไร  นิ่งเงียบไปบนความเร็วของเต่าคลานต้วมเตี้ยมไปตามถนนดิน

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
 อยู่กับบ้านหนึ่งวัน ฝนกำลังตก ถนนลาดยางผ่านหน้าบ้านเปียกน้ำ มันข้ามรางรถไฟมุ่งไปยังทะเลสาป ผมมองเห็นฉากเก่าๆผ่านเข้ามา รถบรรทุกไม้ฟืนรถไฟแล่นผ่านหน้าไป มันอัดแน่นด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดหนึ่งวา ผ่าซีกดูขาวๆเหมือนกระดูกสัตว์ ผมใส่แผ่นซีดี Shangri-la ของ MARK KNOPFLER ลงในเครื่องเล่นซีดี เลือกเอาเพลง Whoop de doo  “ถ้าฉันกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยย้อนคืนกลับบ้านฉันไม่ได้มุ่งตรงดิ่งไปสู่คำตอบใดๆของฉันและน้ำตาก็ไม่ได้มาง่ายๆหนทางที่ถูกใช้ไปสู่ Whoop de doo...”
ชนกลุ่มน้อย
คุณเดินไปตามทางดินแคบๆ ลัดเลาะสวนรกเรื้อที่ปล่อยให้ไม้ทุกชนิดขึ้นมาได้ คุณมองหาต้นมะปริงที่เด็กชายตัวน้อยๆ แอบย่องขึ้นไปเด็ดลูกสุกกิน กว่าจะได้กินก็ต้องสู้กับฝูงมดแดงยกโขยง มันไม่อยู่แล้ว มองหามะไฟต้นใหญ่ขนาดรอบโอบผู้ใหญ่ คุณเคยปีนขึ้นไปซ่อนตัวเงียบอยู่บนยอดราวกับลูกลิงขโมย มันไม่อยู่แล้ว   แล้วไปเกาะรั้วลวดหนาม ยืนมองทุ่งนากว้าง ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นที่เลี้ยงวัว ไม่มีร่องรอยเส้นซังข้าวแม้แต่เส้นเดียว นาข้าวร้างต้นข้าวมากว่าสิบปี แล้วคุณก็กวาดตามองครอบครัวยางนา มันอยู่เป็นครอบครัวจริงๆ ห้าหกต้น ต้นใหญ่สุดนั้นผู้ใหญ่สามคนโอบแทบไม่รอบทีเดียว…
ชนกลุ่มน้อย
นางมาถึงหมู่บ้านเหมือนนกย้ายถิ่นประจำฤดู ไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงหมู่บ้านไหนเดือนไหน และเลือกเข้าไปบ้านใครก่อน ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่านางจะมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเรียกนางจนติดปากว่า ซามูนะห์ซามูนะห์มาแล้ว ในความรู้สึกของเด็ก น่าสยอง น่าขนลุกขนพอง ใช่แล้ว หญิงบ้ากำลังเข้ามาหมู่บ้าน เด็กคนไหนดื้อเกิน มักจะโดนพ่อแม่ขู่ จะให้ซามูนะห์จับใส่สอบนั่ง พาไปขาย เด็กจะเงียบกริบ ผมเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กกลัว เด็กไม่กลัวจะโต้ตอบอีกอย่าง เอากรวดปา หรือกระป๋องนมปาใส่นาง นางหยุดกึกบ่นพึมพำ ทำท่ายกไม้ยกมือปัดป้อง แล้วผู้ใหญ่ก็เข้ามาไล่พวกเด็กกลุ่มไม่กลัวนางอีกที
ชนกลุ่มน้อย
วจีเอ่ยเอื้อนออกไปอาจมิใช่ดังใจรู้สึกหากแต่เราคงดำเนินต่อข้ามผ่านกาลคืนค้นหาแรกก้าวจากเริ่มต้นจนพลันหายไปในอากาศพยายามเข้าใจ...จะดำรงอยู่อย่างมีเราอย่างไร ณ ที่นั้นสบเข้าไปนัยน์ตาเธอมิใช่ใครเลยที่ฉันรู้จักดื่มด่ำความงงงันอันว่างเปล่าด้วยสำนึกที่แสนเปลี่ยวเหงาณ บัดนี้ สำหรับฉัน บางคำผุดขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งฉันรู้ว่ามิมีความหมายมากมายหากเปรียบเทียบกับคำกล่าวเมื่อฅนรักได้สัมผัสเธอมิอาจรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ฉันรักในเธอและฉันเองก็มิอาจรู้ว่าเธอรักสิ่งใดในความเป็นฉันอาจเป็นภาพของใครบางฅนที่เธอคาดหวังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีสถานที่ไหน ผูกมัดใจผมไว้แน่นเท่าที่แห่งนี้ เป็นแววตาของพ่อที่มองลูกด้วยความเอ็นดู ดินแดนที่เราเหล่าเด็กๆไม่ได้ไปบ่อย หนึ่งปีผ่านไปเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น เวลาอื่นราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้าม และน่าเกรงกลัว ความจริงในโลกของเด็กชาย ต้องเดินไปเรียนหนังสือตามทางรถไฟ ไปกลับวันละ 10 กิโลเมตร เพียงมองข้ามผ่านทุ่งนาไปทางทิศตะวันตก ห่างราวครึ่งกิโลเมตร ก็เห็นแนวป่าทึบเป็นกำแพงหนา ล้อมไม้ใหญ่ต้นสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง มีธงเหลืองปลิวอยู่เหนือยอดไม้ มองไม่เห็นโรงธรรม กุฎิ หรือต้นลั่นทมเก่าแก่ล้อมโรงธรรม เดินผ่านทุกครั้ง ในใจผมผุดพรายถึงฉากนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว  เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง  ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ  มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก  จริงเหมือนไม่เคยมีจริง   ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน  ปลอดภัย  เป็นสุข สงบ  ไม่ร้อน  ไม่รน  สีของความเก่าแก่  สีของนักบวช  เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก  ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้นผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น  ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา  ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง  เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า  กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช …
ชนกลุ่มน้อย
ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  ไปเป็นไม้หมอนรถไฟร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดินเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควายผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา …
ชนกลุ่มน้อย
ถ้าเกาะสี่เกาะห้าเป็นเรื่องสั้น  ใครก็คงคิดว่าต้องเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว  แต่คุณกลับเห็นต่าง  ใครคงคาดไม่ถึงกระมังว่า  ความจริงมากพอที่จะนับเป็นนวนิยายได้สบายๆนั้น  คุณกลับไม่เห็นเป็นนวนิยาย  คุณอ้างถึงข้อมูลที่คุณมีอยู่เพียงน้อยนิด  ไม่ได้มีมโหฬารขนาดใส่โบกี้รถไฟ  เรื่องสั้นๆห้วนๆขาดๆเกินๆ  คุณจะทำอะไรได้มากไปกว่านั่งมอง  แม้คุณจะบอกใครๆว่าคุณเห็นเกาะสี่เกาะมาตั้งแต่จำความได้ก็ตาม  ในสายตาของคุณ  เกาะสี่เกาะห้าเป็นแค่เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครเขียนจบ ไม่มีใครอยากให้คุณรู้มากไปกว่า  เกาะรังนกนางแอ่นหรือรังนกแอ่นทำรังอยู่กลาง(ทะ)…
ชนกลุ่มน้อย
แม่บอกว่า  ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย  ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่  ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว  แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ   ผมพูดกับแม่ทันที  ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย  เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน  เมล็ดผอม  ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล   ตามความเข้าใจที่ว่า  วิตามินในข้าวจะหายไป   แต่แม่ตอบกลับมาว่า  ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน    แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร  หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท  ผมดูตัวหนังสือข้างถุง  บอกวันเดือนปีที่ผลิต  ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต …
ชนกลุ่มน้อย
ไม่น่าเชื่อว่า  ขี้มัน  จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว  คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
ชนกลุ่มน้อย
อย่างหนึ่งต้องทำ  นั่นคือผมต้องไปสวนยาง เดินทางมากว่าหนึ่งพันกิโลเมตร  เดินต่อไปอีกสองสามกิโลเมตร  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  พลันไปยืนอยู่ท่ามกลางต้นยาง  ความโปร่งโล่งก็ปรากฏ  จับจิตจับใจ  แน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้สึกของการงานคนกรีดยาง (ตัดยาง) แน่ๆ  เพราะธรรมชาติของการตัดยางนั้น  เป็นงานที่เหนื่อยหนักเอาการ (ออกอาการ) ทีเดียวแต่ผมไปในชั่วโมงนี้แบบตากอากาศ ลมพัดแรง ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น นอกจากเสียงใบยางดังลั่นสนั่นป่า เปลี่ยว ลิบๆ ว่างเวิ้งโหวงเหวง ต้นยางต่อต้นเป็นแถวเป็นแนวสุดตา ไม่มีใครอยากมาเดินดูชมอะไรตามลำพังเช่นนี้หรอก      …
ชนกลุ่มน้อย
ถนนคดเป็นงู  ข้ามผ่านหารกง – (พี่ชายของหนองน้ำ) เหลนของสายคลองหัวท้ายตัน  ความยาวเดิมเกือบ 100 เมตร  ตอนนี้มันหดสั้นลงเหลือครึ่งหนึ่ง  อีกไม่เกินสิบปีกระมัง  มันอาจหดลงเหลือแค่คืบไว้ดูเป็นขวัญตา  ให้เด็กรุ่นผมได้นึกย้อนความหลัง  เดินเปลือยล่อนจ้อนตัดกลางหมู่บ้านหน้าตาเฉย  ไปให้ถึงหัวสะพาน  แล้วกระโดดน้ำกันอย่างหนุกหนาน(สนุกและสนาน)