Skip to main content

20080408 1

ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  

20080408 2

ที่นี่ที่ไหน  ไปไหน  ไปอย่างไร  ไปไกลมั้ย ..  เหล่าคำถามนั้น  เจ้าลูกชายถามเป็นข้าวตอก   ต่อเมื่อผมชี้ให้ดูรถโดยสารธรรมดาที่จอดนิ่งสงบดำมืดอยู่บนราง  อย่างกับสัตว์โบราณกบดานเงียบ  ดูไม่มีพิษภัย  รอเวลาตื่นขึ้นรับแดดเช้าเพียงเท่านั้น   

หรือจะบอกว่า  มันเป็นรถจักรหัวเก่าแก่ชราภาพเต็มที   ราวกับมันจะจมอยู่ในความเงียบมานานนับศตวรรษ   จอดนิ่งกับที่  ไม่ส่งเสียงใดๆ
รอจนกว่ารถด่วนอีกขบวน  รถเร็วอีกขบวนจากกรุงเทพ  แซงหน้าผ่านไป   มันจึงจะตื่นด้วยสำนึกคำรามเป็นครั้งแรก   สั่นสะเทือนไปทั่วอาณาบริเวณ 
นั่นเอง  รถไฟโดยสารชั้นธรรมดา  ต้นทางพัทลุง  มุ่งสู่ปลายทางสุไหงโกลก     
ชาวบ้านรู้จักในชื่อ รถโกลก     

ช่องขายตั๋วเริ่มเปิดบริการ  คนเดินออต่อคิวยาวซื้อตั๋ว  ดูหน้าตาคนซื้อส่วนใหญ่ขรึมเงียบ  เป็นชาวบ้านชาวสวนมากกว่าจะเป็นคนประกอบอาชีพอื่นใด  ต่อเมื่อใครคนหนึ่งคนใดจะเจอเพื่อน เจอญาติ  เจอคนรู้จักจึงจะได้ยินเสียงพูดกันดัง  พูดเรื่องอะไรก็ตาม  เผื่อแผ่หูคนรอบข้างได้อย่างทั่วถึง   ใครเจ็บใครตายใครแต่งงานที่ไหน  ลูกหลานใคร  เราจะได้ยินกันชัดเจน

ถึงแล้วครับ บ้านเกิดผมเอง ผมถึงเข้าใจและคุ้นเคยอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ เสียงดูไม่มีพิษภัยกับใคร    กระทบกระเทียบใครก็เปิดออกมาให้รู้ในที่แจ้ง   

ขณะผมนั่งจดจ่อมองคนขายตั๋ว  ที่กำลังสั่นหน้าใส่หญิงชราคนหนึ่ง  แกเข้ามาถามเป็นครั้งที่สอง  ว่าเป็นตั๋วรถโดยสารธรรมดาหรือเปล่า   แต่คนขายตอบกลับไปครั้งหนึ่งแล้วว่า   ขายตั๋วรถเร็วก่อน

“รถป้าจะขายเมื่อไร”  เสียงยายพูดเน้นย้ำคำ
“ต้องท้าก่อน” (คอยก่อน) เสียงตอบมาไม่ยิ้ม
“ขายไม่ขายก็บอกแหละ” ..
เสียงยายบ่นพึมพัมออกมาอย่างไม่สบอารมณ์   คนอื่นๆยืนรุมมองส่งสายตาเห็นใจ  อย่างกับยืนดูละครฉากผ่านไปตอนอื่นๆ

พอถึงคิวยายจริงๆ  ยายล้วงเอาเหรียญจากกระเป๋านานมาก   นานจนคนต่อท้ายเริ่มร้อนรน  คนขายตั๋วก็สั่นหัวไปมา

คอยเหรียญออกมาจากกระเป๋ายาย ..
“ลงไหนยาย” เสียงหนึ่งถาม
“ควนเคี่ยมลูกเหอ”  เสียงยายตอบแล้วเดินจากไป

เสียงขายตั๋วทำให้ผมนึกถึงการตีตั๋วในอดีต  เสียงตึงๆ  เป็นเสียงกระแทกของแข็ง  ตัดตั๋วกระดาษหนาๆสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเท่ากำมือรอบ  กลับกลายเป็นเสียงวิ่งของเครื่องกลอิเลคโทรนิกส์  แล้วแผ่นกระดาษยาวๆก็ลอดออกมาจากเครื่อง  

ผมได้ตั๋วในราคา  8 บาท  เด็ก 4 บาท  ราคาถูกน่าตกใจ  รถไฟบริการประชาชนน่าจะจริงเป็นแน่แท้  หากมันจะถูกกว่านี้  ก็คงต้องแถมน่องไก่ทอดฟรีอะไรทำนองนั้น

ผมบอกลูกชายว่า  เราต้องนั่งรถขบวนนี้ไปอีกราวเกือบชั่วโมง “ก็จะถึงบ้านเกิดพ่อแล้ว”        
“ทำไมไม่ไปรถที่เรามาล่ะ”
ลูกชายช่างถาม
“มันไม่จอดป้ายสถานี”
“เพราะอะไรเหรอ”
“ป้ายมีไว้ให้รถไฟธรรมดาจอด”
“อ๋อ” ..


ผมนั่งมองเขาอกทะลุผ่านอากาศมัวซัวตอนเช้า  ขณะรอรถไฟออกจากสถานี   สัญลักษณ์ของจังหวัดตั้งตระหง่านใหญ่ยักษ์อยู่ใกล้ๆ   ยอดเขาหินปูนที่ยืนสู้แดดลมฝนมานานอย่างไม่อาจย้อนเวลาก่อเกิดอันแน่นอน  

20080408 3

ตำนานเรื่องเล่าแทนยอดเขาอกทะลุมีชีวิต   อกทะลุอันมาจากสากทิ่มตำ  กลายเป็นยอดอกทะลุมาจนถึงทุกวันนี้   ผมคงไม่ได้แวะหยิบเอาเกล็ดเรื่องที่มา  เล่าไว้ตรงนี้  แต่ลูกหลานพัทลุงล้วนได้ชิมลางเรื่องเล่าความหมายสัญลักษณ์เขาอกทะลุ   

และผ่านมาชะเง้อมองนับครั้งไม่ถ้วน

ผมผ่านมาแค่ชะเง้อมองตั้งแต่จำความได้   ยืนอยู่มุมไหนของเมือง  มักจะเห็นยอดเขาอกทะลุ  ยืนอยู่บนถนนโคลีเซียมตามเรื่องสั้นของ กนกพงศ์  สงสมพันธุ์  ก็ยังมองเห็นยอดอกทะลุได้ชัดเจน   หนังสือรวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น ที่ผมพกมาด้วย  คงได้อ่านนึกย้อนถนนโคลีเซียม

20080408 4

พอรถออกจากสถานี  เสียงโครมครามๆ  ผ่านหน้าเขาอกทะลุ  ลมเช้าตีเข้ามาทางหน้าต่าง  ตึงตังๆ โครมๆ ฉั่กๆๆ ครือๆๆ  นั่งนับสถานีที่เหลืออยู่
       

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
 อยู่กับบ้านหนึ่งวัน ฝนกำลังตก ถนนลาดยางผ่านหน้าบ้านเปียกน้ำ มันข้ามรางรถไฟมุ่งไปยังทะเลสาป ผมมองเห็นฉากเก่าๆผ่านเข้ามา รถบรรทุกไม้ฟืนรถไฟแล่นผ่านหน้าไป มันอัดแน่นด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดหนึ่งวา ผ่าซีกดูขาวๆเหมือนกระดูกสัตว์ ผมใส่แผ่นซีดี Shangri-la ของ MARK KNOPFLER ลงในเครื่องเล่นซีดี เลือกเอาเพลง Whoop de doo  “ถ้าฉันกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยย้อนคืนกลับบ้านฉันไม่ได้มุ่งตรงดิ่งไปสู่คำตอบใดๆของฉันและน้ำตาก็ไม่ได้มาง่ายๆหนทางที่ถูกใช้ไปสู่ Whoop de doo...”
ชนกลุ่มน้อย
คุณเดินไปตามทางดินแคบๆ ลัดเลาะสวนรกเรื้อที่ปล่อยให้ไม้ทุกชนิดขึ้นมาได้ คุณมองหาต้นมะปริงที่เด็กชายตัวน้อยๆ แอบย่องขึ้นไปเด็ดลูกสุกกิน กว่าจะได้กินก็ต้องสู้กับฝูงมดแดงยกโขยง มันไม่อยู่แล้ว มองหามะไฟต้นใหญ่ขนาดรอบโอบผู้ใหญ่ คุณเคยปีนขึ้นไปซ่อนตัวเงียบอยู่บนยอดราวกับลูกลิงขโมย มันไม่อยู่แล้ว   แล้วไปเกาะรั้วลวดหนาม ยืนมองทุ่งนากว้าง ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นที่เลี้ยงวัว ไม่มีร่องรอยเส้นซังข้าวแม้แต่เส้นเดียว นาข้าวร้างต้นข้าวมากว่าสิบปี แล้วคุณก็กวาดตามองครอบครัวยางนา มันอยู่เป็นครอบครัวจริงๆ ห้าหกต้น ต้นใหญ่สุดนั้นผู้ใหญ่สามคนโอบแทบไม่รอบทีเดียว…
ชนกลุ่มน้อย
นางมาถึงหมู่บ้านเหมือนนกย้ายถิ่นประจำฤดู ไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงหมู่บ้านไหนเดือนไหน และเลือกเข้าไปบ้านใครก่อน ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่านางจะมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเรียกนางจนติดปากว่า ซามูนะห์ซามูนะห์มาแล้ว ในความรู้สึกของเด็ก น่าสยอง น่าขนลุกขนพอง ใช่แล้ว หญิงบ้ากำลังเข้ามาหมู่บ้าน เด็กคนไหนดื้อเกิน มักจะโดนพ่อแม่ขู่ จะให้ซามูนะห์จับใส่สอบนั่ง พาไปขาย เด็กจะเงียบกริบ ผมเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กกลัว เด็กไม่กลัวจะโต้ตอบอีกอย่าง เอากรวดปา หรือกระป๋องนมปาใส่นาง นางหยุดกึกบ่นพึมพำ ทำท่ายกไม้ยกมือปัดป้อง แล้วผู้ใหญ่ก็เข้ามาไล่พวกเด็กกลุ่มไม่กลัวนางอีกที
ชนกลุ่มน้อย
วจีเอ่ยเอื้อนออกไปอาจมิใช่ดังใจรู้สึกหากแต่เราคงดำเนินต่อข้ามผ่านกาลคืนค้นหาแรกก้าวจากเริ่มต้นจนพลันหายไปในอากาศพยายามเข้าใจ...จะดำรงอยู่อย่างมีเราอย่างไร ณ ที่นั้นสบเข้าไปนัยน์ตาเธอมิใช่ใครเลยที่ฉันรู้จักดื่มด่ำความงงงันอันว่างเปล่าด้วยสำนึกที่แสนเปลี่ยวเหงาณ บัดนี้ สำหรับฉัน บางคำผุดขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งฉันรู้ว่ามิมีความหมายมากมายหากเปรียบเทียบกับคำกล่าวเมื่อฅนรักได้สัมผัสเธอมิอาจรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ฉันรักในเธอและฉันเองก็มิอาจรู้ว่าเธอรักสิ่งใดในความเป็นฉันอาจเป็นภาพของใครบางฅนที่เธอคาดหวังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีสถานที่ไหน ผูกมัดใจผมไว้แน่นเท่าที่แห่งนี้ เป็นแววตาของพ่อที่มองลูกด้วยความเอ็นดู ดินแดนที่เราเหล่าเด็กๆไม่ได้ไปบ่อย หนึ่งปีผ่านไปเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น เวลาอื่นราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้าม และน่าเกรงกลัว ความจริงในโลกของเด็กชาย ต้องเดินไปเรียนหนังสือตามทางรถไฟ ไปกลับวันละ 10 กิโลเมตร เพียงมองข้ามผ่านทุ่งนาไปทางทิศตะวันตก ห่างราวครึ่งกิโลเมตร ก็เห็นแนวป่าทึบเป็นกำแพงหนา ล้อมไม้ใหญ่ต้นสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง มีธงเหลืองปลิวอยู่เหนือยอดไม้ มองไม่เห็นโรงธรรม กุฎิ หรือต้นลั่นทมเก่าแก่ล้อมโรงธรรม เดินผ่านทุกครั้ง ในใจผมผุดพรายถึงฉากนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว  เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง  ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ  มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก  จริงเหมือนไม่เคยมีจริง   ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน  ปลอดภัย  เป็นสุข สงบ  ไม่ร้อน  ไม่รน  สีของความเก่าแก่  สีของนักบวช  เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก  ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้นผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น  ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา  ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง  เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า  กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช …
ชนกลุ่มน้อย
ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  ไปเป็นไม้หมอนรถไฟร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดินเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควายผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา …
ชนกลุ่มน้อย
ถ้าเกาะสี่เกาะห้าเป็นเรื่องสั้น  ใครก็คงคิดว่าต้องเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว  แต่คุณกลับเห็นต่าง  ใครคงคาดไม่ถึงกระมังว่า  ความจริงมากพอที่จะนับเป็นนวนิยายได้สบายๆนั้น  คุณกลับไม่เห็นเป็นนวนิยาย  คุณอ้างถึงข้อมูลที่คุณมีอยู่เพียงน้อยนิด  ไม่ได้มีมโหฬารขนาดใส่โบกี้รถไฟ  เรื่องสั้นๆห้วนๆขาดๆเกินๆ  คุณจะทำอะไรได้มากไปกว่านั่งมอง  แม้คุณจะบอกใครๆว่าคุณเห็นเกาะสี่เกาะมาตั้งแต่จำความได้ก็ตาม  ในสายตาของคุณ  เกาะสี่เกาะห้าเป็นแค่เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครเขียนจบ ไม่มีใครอยากให้คุณรู้มากไปกว่า  เกาะรังนกนางแอ่นหรือรังนกแอ่นทำรังอยู่กลาง(ทะ)…
ชนกลุ่มน้อย
แม่บอกว่า  ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย  ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่  ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว  แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ   ผมพูดกับแม่ทันที  ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย  เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน  เมล็ดผอม  ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล   ตามความเข้าใจที่ว่า  วิตามินในข้าวจะหายไป   แต่แม่ตอบกลับมาว่า  ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน    แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร  หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท  ผมดูตัวหนังสือข้างถุง  บอกวันเดือนปีที่ผลิต  ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต …
ชนกลุ่มน้อย
ไม่น่าเชื่อว่า  ขี้มัน  จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว  คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
ชนกลุ่มน้อย
อย่างหนึ่งต้องทำ  นั่นคือผมต้องไปสวนยาง เดินทางมากว่าหนึ่งพันกิโลเมตร  เดินต่อไปอีกสองสามกิโลเมตร  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  พลันไปยืนอยู่ท่ามกลางต้นยาง  ความโปร่งโล่งก็ปรากฏ  จับจิตจับใจ  แน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้สึกของการงานคนกรีดยาง (ตัดยาง) แน่ๆ  เพราะธรรมชาติของการตัดยางนั้น  เป็นงานที่เหนื่อยหนักเอาการ (ออกอาการ) ทีเดียวแต่ผมไปในชั่วโมงนี้แบบตากอากาศ ลมพัดแรง ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น นอกจากเสียงใบยางดังลั่นสนั่นป่า เปลี่ยว ลิบๆ ว่างเวิ้งโหวงเหวง ต้นยางต่อต้นเป็นแถวเป็นแนวสุดตา ไม่มีใครอยากมาเดินดูชมอะไรตามลำพังเช่นนี้หรอก      …
ชนกลุ่มน้อย
ถนนคดเป็นงู  ข้ามผ่านหารกง – (พี่ชายของหนองน้ำ) เหลนของสายคลองหัวท้ายตัน  ความยาวเดิมเกือบ 100 เมตร  ตอนนี้มันหดสั้นลงเหลือครึ่งหนึ่ง  อีกไม่เกินสิบปีกระมัง  มันอาจหดลงเหลือแค่คืบไว้ดูเป็นขวัญตา  ให้เด็กรุ่นผมได้นึกย้อนความหลัง  เดินเปลือยล่อนจ้อนตัดกลางหมู่บ้านหน้าตาเฉย  ไปให้ถึงหัวสะพาน  แล้วกระโดดน้ำกันอย่างหนุกหนาน(สนุกและสนาน)