Skip to main content
 

นพพร ชูเกียรติศิริชัย

 

 

 

"to prove the Faustian dream to be a nightmare"

 

ผมมีโอกาสประสบพบกับประโยคภาษาอังกฤษข้างต้นเป็นครั้งแรกในหนังสือ ‘POST MODERN : ชะตากรรมโพสต์โมเดิร์นในอุ้งมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ' ของ อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร และตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องนึกถึงมันอีกเลยไม่ว่าจะในกรณีใดๆ

 

แต่แล้ววันดีคืนดี ในขณะที่ผมกำลังนั่งเพลิดเพลินเจริญอารมณ์อยู่กับภาพยนตร์เรื่อง Hellboy 2 : The Golden Army หลายๆ ฉาก หลายๆ ตอนในภาพยนตร์กลับทำให้มันสมองของผมเกิดระลึกถึงคำอธิบายเกี่ยวกับ ‘the Faustian dream' ของอาจารย์ไชยันต์ (ไชยพร) ขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

แม้ว่าผมจะไม่เคยอ่านบทประพันธ์เรื่อง ‘Faust' ของเกอเธ่ (JohannWolfgang von Goethe) กวีเอกชาวเยอรมัน (ค.ศ.1749-1832) แต่หนังสือของอาจารย์ไชยันต์ก็ได้ช่วยอธิบายเรื่องย่อของบทประพันธ์ดังกล่าวซึ่งจะกลายเป็นที่มาของ ‘the Faustian dream' เอาไว้ว่า

 

"เป็นเรื่องเกี่ยวกับชะตากรรมของบัณฑิตผู้ใฝ่รู้นามว่า เฟาสต์' และด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะพบแก่นแท้ความหมายของชีวิต เขาได้เรียกปีศาจมาเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ปีศาจเสนอตัวว่าจะรับใช้เขาตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่ และจะเอาวิญญาณของเฟาสต์ก็ตอนที่เขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของความสุข" (ไชยันต์ ไชยพร.POST MODERN : ชะตากรรมโพสต์โมเดิร์นในอุ้งมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ. กทม. : หจก.ภาพพิมพ์, 2550 พิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 96 )

 

และแม้ว่าผมจะไม่เคยอ่านบทความของ  Seyla Benhabib นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของประโยค ‘to prove the Faustian dream to be a nightmare' แต่อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ก็ช่วยอธิบายไว้ในหนังสือเรื่องเดิมอีกว่า

 

"การพูดถึง ‘the Faustian dream' นั้นเกี่ยวพันกับยุคสมัยใหม่ตรงที่ว่า ในการวิวาทะระหว่างภูมิปัญญาโบราณและภูมิปัญญาสมัยใหม่ในยุโรปช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ดนั้น พวกที่นิยมความรู้สมัยใหม่อันได้แก่ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เป็นต้น มีความศรัทธาเชื่อมั่นว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้นจะนำมนุษยชาติไปสู่ชีวิตที่สะดวกสบายมีความสุขและก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ ท่ามกลางคลื่นศรัทธาว่า มนุษยชาติจะก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์แบบ' นั้น ก็มีนักเขียนหลายคนได้สะท้อนจินตนาการความเชื่อของเขาออกมาเป็นนิยายหรือนิยายวิทยาศาสตร์ พวกนิยมภูมิปัญญาสมัยใหม่เชื่อว่า การละทิ้งความรู้โบราณ ซึ่งอาจรวมถึงศรัทธาความเชื่อในศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า ย่อมคุ้มค่าที่จะเสี่ยง เพราะการหันไปยึดมั่นในความรู้ใหม่จะสร้างโลกที่เหมือนกับสวรรค์ได้ด้วยน้ำมือความสามารถของมนุษย์เอง โดยไม่ต้องรอตายแล้วถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า...

 

" การละทิ้งของโบราณเพื่อของใหม่นั้น ก็ได้ให้รางวัลแก่ผู้ที่กล้าทิ้งของโบราณที่ดำรงอยู่มานานอย่างสาสม เพราะความเป็นสมัยใหม่นั้นได้นำความสะดวกสบายต่างๆ มาให้มนุษย์อย่างที่คนโบราณยากที่จะจิตนาการได้...

 

"แต่การเลิกเชื่อพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ต่างกับการที่คนเรากลายเป็นสัตว์ไร้วิญญาณ หรือไม่ก็ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงสู่ การเลิกเชื่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อหวังความสุขสบายทางกายและความบันเทิงทางโลกีย์ต่างๆ นั้น ก็ไม่ต่างกับที่ Faust ทำสัญญากับปีศาจ ไม่ต่างกับการขายวิญญาณเพื่อแลกกับการตอบสนองกิเลสตัณหา...

 

"เมื่อเวลาผ่านไป ความก้าวหน้า ความสะดวกสบายต่างๆ ในยุคสมัยใหม่ก็เริ่มถูกเงาร้ายคืบคลานเข้ามาแทนที่ เพราะยังมิทันที่สังคมสมัยใหม่จะเข้าสู่ยุคสมบูรณ์พูนสุขกันถ้วนหน้าทั่วโลกอย่างที่จินตนาไว้...ทุกอย่างมันเริ่มจะเลวลงมากกว่าในสายตาของ คนสมัยใหม่' บางพวกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความวิบัติ ความอดอยากที่ไม่น่าจะมีในโลกที่มีวิทยาการอันแสนจะก้าวหน้า ที่สามารถผลิตอะไรต่างๆ ได้ครั้งละมหาศาล...สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แหล่งเสื่อมโทรม ฆาตกรโรคจิต คนวิปริตทางเพศ ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย ก็เริ่มจะกลายเป็นฝันร้าย ‘to prove the Faustian dream to be a nightmare'

(ไชยันต์ ไชยพร.POST MODERN : ชะตากรรมโพสต์โมเดิร์นในอุ้งมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ. กทม. : หจก.ภาพพิมพ์, 2550 พิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 92-93)

 

 

โดยสรุปแล้ว (ตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง) ‘the Faustian drem' จึงเป็นคำที่ใช้อธิบายสภาพจิตใจของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่' ที่รู้สึกกังวัลว่าการละทิ้งความเชื่อแบบโบราณ (ความเชื่อในพระเจ้า) แล้วหันหน้ามาพึ่งพา วิทยาศาสตร์' และ เทคโนโลยี' กำลังจะนำพวกเขาไปสู่ข้อผูกมัดที่เลวร้ายดุจเดียวกับการทำสัญญากับปีศาจ

 

เกริ่นมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะตัดสินใจเลิกอ่านไปแล้ว หรือหากยังมีบางท่านที่อ่านอยู่ก็คงจะเกิดข้อสงสัยว่า แล้วไอ้ที่ผมพยายามอ้างอิงงานวิชาการมาตั้งนานนี่มันเกี่ยวอะไรกับ Hellboy  ภาค 2 วะ,ครับ,คะ? ซึ่งผมก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ได้หรือเปล่า แต่ก็อยากให้ลองอ่านกันต่อไป

 

Hellboy 2 : The Golden Army : ‘พระเจ้าตายแล้ว' จริงๆ

 

(ก่อนอื่นผมคงต้องขอบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Hellboy ภาคแรก แต่เข้าใจไปเองว่ามันคงจะไม่ได้ต่อเนื่องกันสักเท่าไหร่ เพราะผู้กำกับเดล โตโรก็บอกเองว่าหนังจะไม่มีการอ้างอิงหรือย้อนอะไรไปถึงภาคแรกมากนัก')

 

ภาพยนตร์เรื่อง Hellboy ภาค 2 เริ่มต้น ด้วยตำนานแต่ครั้งโบราณที่อาณาจักรเอลฟ์ (สวรรค์) โลกใต้พิภพ และโลกมนุษย์ยังไม่ถูกแยกออกจากกัน จนอยู่มาวันหนึ่งราชาแห่งโลกมนุษย์นั้นต้องการที่จะยึดครองดินแดนทั้งสาม (ความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติ และปฏิเสธความเชื่อในพระเจ้า) พระองค์จึงเดินหน้าทำสงครามทั้งกับเหล่ามนุษย์ เทวดา และปีศาจใต้พิภพ

 

ยิ่งนับวันกองทัพของมนุษย์ก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้น และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ราชาแห่งเอลฟ์ (ราชาแห่งเทวดาตัวแทนแห่งพระเจ้า) ต้องตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโดยได้รับความช่วยเหลือจากนักรบทองคำที่สร้างขึ้นโดย ช่างตีเหล็กมากฝีมือ

 

ซึ่งนอกจากช่างตีเหล็กจะสร้างเหล่านักรบทองคำจำนวนมหาศาลขึ้นมาแล้ว เขายังได้สร้าง มงกุฏทองคำ' มอบให้แด่ราชาแห่งเอลฟ์เพื่อใช้ในการควบคุม นักรบทองคำ' และด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพจักรกลทองคำ ทำให้มนุษย์จำนวนมากต้องพ่ายแพ้และล้มตายไปในสงครามระหว่างมนุษย์และเทวดา

 

จากความสูญเสียอย่างมหาศาล  ราชาแห่งเอลฟ์ (พระเจ้า) จึงตัดสินใจที่จะทำสนธิสัญญาเพื่อยุติสงคราม และตัดสินใจที่จะแยกมงกุฎทองคำออกเป็น 3 ส่วน เพื่อป้องกันมิให้มีผู้ใดสามารถนำ กองทัพทองคำ' ไปประหัตประหารชีวิตผู้คนได้อีก

 

แต่สำหรับเจ้าชายเนาด้า บุตรของราชาแห่งเอลฟ์ กลับรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำสนธิสัญญาสงบศึกกับพวกมนุษย์ เพราะนับวันพวกมนุษย์ก็ยิ่งพยายามจะรุกรานธรรมชาติ โดยไม่เห็นหัวเหล่าเทวดา (การปฏิเสธพระเจ้า) เจ้าชายเนาด้าจึงตัดสินใจที่จะเนรเทศตนเองออกจากอาณาจักรเอลฟ์ โดยมุ่งหวังว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมาแย่งชิง มงกุฎทองคำ' และนำ กองทัพทองคำ' ออกทำสงครามปราบปรามเหล่ามนุษย์ซึ่งหยิ่งผยองในอำนาจของตนเอง  

 

แต่ภารกิจในการแย่งชิงและรวบรวมชิ้นส่วนของ มงกุฎทองคำ' ของ เจ้าชายเนาด้า' กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะหน่วยเฝ้าระวังเรื่องเหนือธรรมชาติของสหรัฐ (BPRD-Bureau for Paranormal Reserch and Defense) ที่นำทีมโดย เฮลล์บอย บุตรของเจ้าแห่งนรกซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลัง, ลิช เชอร์แมน สาวพลังไฟ เพื่อนร่วมงานและภรรยาของเฮลล์บอย, เอ๊บ เบรเมน หรือเอ๊ป ซาเปียน มนุษย์ ปลาที่สามารถอ่านจิตได้ และสมาชิกใหม่อย่างโยฮาน ครอส (ดวงจิตที่เต็มไปด้วยความรู้ความสามารถทางวิชาการ) ต่างรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมนุษย์

 

พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้ความรู้ความสามารถ (องค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ของโยฮาน ครอส พละกำลังมหาศาล (กองกำลังทหาร)ของ เฮลล์บอย บุตรของเจ้านรก และเทคโนโลยีทางอาวุธอันทรงอานุภาพ) ในการบุกตะลุยดินแดนใต้พิภพ ที่ถูกกั้นกลางด้วยประตูกลไก (สัญลักษณ์หรือตัวแทนความเชื่อที่ว่ามนุษย์สามารถไขความลับของธรรมชาติด้วยองค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์) เพื่อลงไปสืบหาปรากฏการณ์ที่อาจจะเป็นภัยต่อมนุษย์

 

แม้ว่าเจ้าชายเนาด้า (ตัวแทนของพระเจ้า) จะพยายามขัดขวางหน่วย BPRD ด้วยการส่งสัตว์ร้ายเข้าต่อสู้ แต่ก็ไม่คะนามือ บุตรแห่งเจ้านรกอย่างเฮลล์บอย หรือแม้แต่ รุกขเทวดา' (ตัวแทนของภัยธรรมชาติ) ก็ถูก เฮลล์บอย' ระเบิดกระบาลดับสนิทด้วยอาวุธปืนขนาดใหญ่ (สัญลักษณ์แห่งความสามารถของมนุษย์ในการคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อเอาชนะธรรมชาติ)

 

และถึงแม้ว่าเจ้าชายเนาด้า (ตัวแทนของพระเจ้า) จะสามารถรวบรวม มงกุฎทองคำ' เพื่อบัญชาการกองทัพจักรกลทองคำ' ได้สำเร็จ แต่สุดท้ายเจ้าชาย (พระเจ้า) ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับบุตรแห่งเจ้านรกอย่าง เฮลล์บอย (ตัวแทนของกองทัพและเทคโนโลยี) อยู่ดี

 

และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เรารับรู้ว่า จากความร่วมมือระหว่างมนุษย์ และบุตรของปีศาจ (เทคโนโลยี) ในสังคมสมัยใหม่นั้น ทำให้ พระเจ้าตายแล้ว' จริงๆ  

 

 ‘to prove the Faustian dream to be a nightmare' หรือ ความฝันแบบ ‘Faust' กำลังจะกลายเป็นฝันร้ายแม้แต่ในโลกของฮอลีวู้ด

 

 

 

 

บล็อกของ Cinemania

Cinemania
นพพร ชูเกียรติศิริชัย   “การที่ใครจะเป็น ‘modern’ (ทันสมัย) เขาคนนั้นก็จะต้องคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และพร้อมทุกเมื่อที่จะละทิ้งและตัดขาดจากของเก่าที่ดำรงอยู่ (tradition) และที่สำคัญ คือ พร้อมทุกเมื่อที่จะละทิ้งและตัดขาดจากตัวตนของตัวเองที่ดำรงอยู่ ถ้าตัวตนเป็น modern ก็ต้องพร้อมที่จะละทิ้งความเป็น modern ด้วยเหตุผลของความเป็น modern เอง”  “ในการจะเป็น modern มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเป็น postmodern หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าใครจะเป็น modern เขา หรือเธอคนนั้นก็จะต้องเป็น postmodern มิฉะนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถเป็น modern ได้” (Jean-Francois…
Cinemania
นพพร ชูเกียรติศิริชัย   ผมชอบคำว่า ‘เพื่อนบ้าน' (Neighbor) เนื่องจากผมเล็งเห็นว่า คำว่า ‘เพื่อนบ้าน' นั้นดูจะมีความหมายในการมอง ‘มนุษย์' ที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้พูด ผู้เขียน ผู้ใช้ คำๆ นี้ในแง่ดี (Positive Thinking) ส่วนคำว่า ‘จ๊ะเอ๋' นั้น ผมจำได้ว่าเป็นคำที่ผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน (รวมทั้งตัวผม) มักจะใช้เล่นกับเด็กๆ ด้วยการเอามือ ผ้า หรือสิ่งของอื่นๆ ที่หาได้สะดวก ปิดหน้าปิดตาของตัวผู้ใหญ่เอง (หรือใช้ปิดตาเด็ก) หลังจากนั้นจึงเปิดหน้าออกพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าวคำว่า ‘จ๊ะเอ๋' ซึ่งเด็กๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะชอบและมักจะมอบรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะเป็นการแสดงความพึงพอใจต่อการละเล่นชนิดนี้…
Cinemania
  นพพร ชูเกียรติศิริชัย    บางครั้งผมก็รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะต้องหอบสัมภาระมากมายเข้าไปในโรงภาพยนตร์ปัจจุบันผมแอบสงสัยว่าเหตุใดความสุขในการชมภาพยนตร์แบบเมื่อครั้งยังเป็นเด็กจึงสูญหายไป จนเมื่อมีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่อง ‘สะบายดีหลวงพระบาง'จึงทำให้ผมรับรู้ว่าแท้จริงแล้วความสุขในวัยเด็กของผมไม่ได้หายไปไหน แต่หนังสือ ตำรา คำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ผมแบกเอาไว้ในสมองต่างหากที่บดบังความสุขแบบที่เราคุ้นเคย 
Cinemania
นพพร ชูเกียรติศิริชัย ถ้าหาก E เท่ากับ EMOTION (อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง และ อื่นๆ), M เท่ากับ MAN (มนุษย์ไม่ว่าหญิง ชาย และอื่นๆ) และ C เท่ากับ CLOCK (ซึ่งหมายถึงระยะเวลา) จากสมการ E=mc2คุณคิดว่า ‘จำนวนของบุคคล' ที่เหมาะสมกับ ‘ความรัก' จะเท่ากับเท่าไหร่? รัก/สาม/เศร้า ตามสมการ รัก/สอง/สุข และเวลาแค่ไหนถึงจะพอสำหรับ ‘รัก' ‘รัก/สาม/เศร้า' เป็นเรื่องราวของเพื่อนรักสามคน ที่ ‘แอบรัก' กัน ในฐานะที่มากกว่าเพื่อน ‘น้ำ' แอบรัก ‘พายุ' ‘พายุ' แอบรัก ‘ฟ้า' โดยที่ตัวฟ้าเองก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าพายุแอบรักตนเอง (และก็ไม่เคยรับรู้เช่นกันว่าเพื่อนรักของตนอย่าง ‘น้ำ' ก็แอบรักเพื่อนรักอย่าง ‘พายุ'…
Cinemania
  < นพพร ชูเกียรติศิริชัย >     หากพูดถึงประเทศจีน คุณนึกถึงอะไร? กังฟู, ก๋วยเตี๋ยว, หมีแพนด้า,มังกร, ลูกท้อ,ซาลาเปา, ปรัชญาลัทธิเต๋า และภูเขาสูงหน้าตาแปลกๆ   หากสิ่งเหล่านี้คือคำตอบของคุณ นั่นก็หมายความว่า คุณพร้อมแล้วที่จะไปสัมผัสกับภาพยนตร์ ‘KUNG FU PANDA’ หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘กังฟูแพนด้า จอมยุทธพลิกล็อค ช็อคยุทธภพ’   ผมไม่แน่ใจว่าหมีแพนด้าถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของ ‘มิตรภาพ’ ระหว่างประเทศจีน กับประเทศอื่นๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ บทบาทความเป็น ‘ทูตสันติภาพ’ ของหมีแพนด้า ในบัดนี้ได้ถูกนำเสนอผ่านจอภาพยนตร์ฮอลีวู้ดไปเป็นที่เรียบร้อย 
Cinemania
   ปิติ-ชูใจท่ามกลาง ‘หนังซัมเมอร์' ที่ดาหน้ากันมาถมจนเต็มพื้นที่ในโรงภาพยนตร์ช่วงฤดูร้อน ทางเลือกของคนดูหนังใน ‘โรงหนังชั้นนำใกล้บ้านคุณ' ก็ยังไม่ได้หลากหลายอะไรนัก เพราะแนวทางหลักๆ ของหนังซัมเมอร์ที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็มีแค่ แอ๊กชั่น, ตลก, สยองขวัญ และอนิเมชั่น กรณีที่อยากดูหนังนอกกระแส ก็ต้อง ‘เข้าเมือง' กันอย่างเดียว เพราะที่ทางของหนังเหล่านี้ยังกระจุกตัวอยู่ที่สยามหรือไม่ก็สุขุมวิทแค่นั้น (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ในยุคที่หนังถูกจำกัดความหมายให้เป็นแค่เครื่องมือผ่อนคลายและสร้างความบันเทิง) แต่อย่างน้อยที่สุด หน้าร้อนปีนี้ยังมีหนังไทยน่าสนใจอยู่ 2 เรื่อง ที่พอจะแหวกกระแสเดิมๆ…
Cinemania
   ::: ข้อความหลังเส้นประของข้อเขียนชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ::: โดย...ณภัค เสรีรักษ์ภาพยนตร์พูดภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับชื่อดัง ‘หว่องการ์ไว' (Wong Kar Wai) ที่เพิ่งเข้าฉายให้ผู้ชมในดินแดนประเทศไทยได้ชมกันตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่เพิ่งจะผ่านมา (2008) ที่มีชื่อว่า My Blueberry Nights นั้น อาจมีประเด็นต่างๆ นานาให้สามารถสร้างบทสนทนากันได้มากมายและยาวนาน แต่สำหรับในที่นี้นั้น ผมอยากจะ ‘หยิบเลือก' เพียงบางประเด็นมา ‘อ่าน' หรืออีกนัยหนึ่ง ‘สนทนา' เกี่ยวกับ ‘ตัวละคร' ในภาพยนตร์ดังกล่าว ภายใต้ความคิดเกี่ยวกับเรื่อง ‘ความทรงจำ' ซึ่งสะท้อนร่วมกับความคิดเกี่ยวกับ ‘…
Cinemania
Between the FramesE-mail: betweentheframes@gmail.com:::Spoil::: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญของภาพยนตร์ :::Spoil::: "All those gathered here will know that it is not by sword or spear that the LORD saves; for the battle is the LORD's, and He will give all of you into our hands."                                                   …
Cinemania
 :::Spoil::: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญของภาพยนตร์ :::Spoil::: เวลา 2 ชั่วโมงกว่า (158 นาที) ในหนัง There will be blood - ผลงานเรื่องที่ 5 ของผู้กำกับ Paul Thomas Anderson คือเรื่องราวในด้านที่มืดดำของมนุษย์ เต็มไปด้วยความโลภ ความอ่อนแอ สันดานดิบ และแน่นอน...มันรวมไปถึง ‘การสร้างศรัทธา' ด้วยวิธีการอันน่าขนลุกด้วย...เราได้รู้จัก ‘เดเนียล เพลนวิว' (Daniel Day-Lewis) นักเสี่ยงโชคที่ตั้งใจทำเหมืองเงิน แต่บังเอิญได้ที่ดินซึ่งมีน้ำมันดิบนอนสงบนิ่งอยู่ใต้พื้นมาแทน โลกของเดเนียลไม่มีคำว่า ‘สุดแท้แต่โชคชะตา' หรือ ‘ศรัทธา' ไม่มีแม้กระทั่งคำว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า'…
Cinemania
ซาเสียวเอี้ยการไล่ตีแมลงสาบบนฝาบ้าน อาจเป็นเกมสนุกสนานอย่างหนึ่ง และเพียงสายลมเย็นจากพัดลมมือสองที่เป่าไล่ความร้อนในค่ำคืนอบอ้าวอาจเป็นถึง ‘รางวัลชีวิต' ของสองพ่อลูกผู้ยากจน...ผู้อาศัยอยู่ในโลกแห่งความแร้นแค้นทั้งหมดที่่ว่ามา-อาจฟังไม่ต่างจากสงครามชีวิตสุดรันทด (บัดซบ!) แต่เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของ ‘โจวซิงฉือ' ไอ้สิ่งที่ควรจะเศร้า...กลับทำให้เราหัวเราะออกมาได้000ถึงแม้ว่าหน้าหนังของ CJ7 จะถูกโฆษณาว่าเป็นแนว Sci-fi แต่ ‘ใจความสำคัญ' ที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่ ‘ความลี้ลับ' ของจักรวาลอันกว้างใหญ่ หรือถ้าจะพูดให้ชัดๆ ก็ต้องบอกว่า นี่คือหนังครอบครัวแนว Comedy-Drama ที่ให้ ‘…