Skip to main content

1

ตี 5 ครึ่งของวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2549 ท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว ชาวจิตอาสา (เกือบ) 20 ชีวิต นัดรวมพลกันหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บทเริ่มต้นของการเดินทางรวมใจสร้างห้องสมุดดิน (25-27 ส.ค.49) กับกลุ่มรักษ์เขาชะเมา จ.ระยอง คนกวาดถนน รถเก็บขยะและแม่ค้าขายผัก นักเรียน พนักงานห้างและพนักงานออฟฟิศ ผู้บริหาร ครู-อาจารย์และนักการเมือง คือ ลมหายใจของกรุงเทพฯ (มหานครของเรา) กับการเริ่มต้นของชีวิตอีกครั้ง ผมไปถึงที่นัดหมาย 06.00 น. (ฮา)

2

สีสันของโลกเข้มข้นขึ้นตามเวลา ระยองปลายฤดูฝนท้องฟ้าสีเทาออกหม่น ขาวข้นเหมือนวีปครีมในถ้วยกาแฟร้านสตาร์บั๊ค ผมนั่งหลับๆ ตื่นๆ อยู่ทางตอนหน้าข้างคนขับทำให้โลกระหว่างทางเป็นสีดำสลับสีขาวสีขาวสลับสีดำอยู่ตลอดเวลา ห้องสมุดดินของกลุ่มรักษ์เขาชะเมา ขนาด 1X3 เมตร เป็นจุดมุ่งหมายของภารกิจจิตอาสาในครั้งนี้ รถตู้สองคันเลี้ยวชะลอความเร็ว ลงไปตามถนนดินแฉะๆ มองเห็นทุ่งนาตัดกับเส้นขอบฟ้าและสวนผลไม้ของชาวบ้าน ผมมองผ่านกระจกหน้ารถเห็นป้ายไม้ซีดจางเขียนเอาไว้ว่า “กลุ่มรักษ์เขาชะเมา”

หลังป้ายเป็นอาคารดินใช้เป็นโรงเรียนโรงเล่นของกลุ่มรักษ์เขาชะเมาและห้องนอนอันอบอุ่นของชาวจิตอาสา ซูโม่และหมึกดำหมาสองตัวของแก้ววิ่งออกมาอย่างคุ้นเคยเหมือนกับมันจะรู้ว่าหน้าที่ของมัน คือ การต้อนรับแขก ก่อนที่แก้วจะคุยให้ผมฟังลับหลังมันว่า “มันต้อนรับไปหมดทุกคนนั่นแหละ แม้แต่ขโมยมันก็ไม่มีข้อยกเว้น”

การลงมือ-ลงเท้าย่ำดินปั้นบ้านเป็นงานหนักที่สนุกสนานและทำให้ผมลดความคลางแคลงใจจากที่เคยสงสัยว่าทำไมควายทุกเพศวัยถึงชอบนอนอ้อยอิ่งกลางปลักโคลนเลน ตอนนี้ จิตของชาวอาสาดูเหมือนจะว่างเพราะต่างไม่พะวงกับความเลอะเทอะ แต่ละคนกระโดดลงไปอยู่ในบ่อโคลนสีน้ำตาลเข้มโดยมี แก้ว ชายรูปร่างบอบบาง คอยบอกวิธีการ

ขั้นตอนนี้เป็นการย่ำเพื่อปั้นก้อนอิฐดินสำหรับมาก่ออาคาร โคลนเหนอะๆ ข้างคันนาถูกขุดจนเป็นหลุมก่อนจะเทน้ำลงไปผสมเพื่อให้การย่ำง่ายขึ้น ชาวจิตอาสาเกาะกันเป็นวงกลม ประสานมือไว้บนไหล่เพื่อนข้างๆ ทำให้การขยับเท้าเป็นไปอย่างมั่นคง ย่ำจนดินโคลนเหลวไหลผ่านง่ามนิ้วเท้า หลังจากนั้น แกลบหรือทรายจะถูกขนมาผสมจนโคลนเหลวจับตัวกันเหมือนวุ้นรสกาแฟ-ไม่ใส่ครีม เหนียวหนึบหากยืดหยุ่น ทดสอบจากการเอาฝ่าเท้ากดลงไปในเนื้อดิน หากดินจมลงไปแล้วไม่คืนรูปแสดงว่าใช้ได้

แก้ว เป็นบุคคลหนึ่งที่หลายคนทึ่งในความสามารถและความคิด บ้านดินเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของยุคสมัย เทคโนโลยีมุ่งให้เราเป็นผู้เอาชนะมากกว่าการพึ่งพาธรรมชาติ การมองผืนดินเป็นมากกว่าผืนดินทำให้เรารู้จักตัวเองและอ่อนโยนให้กับธรรมชาติ เหมือนกับคำว่าเกิดจากผืนดินกลับสู่ผืนดิน แก้วออกตัวว่ากลุ่มรักษ์เขาชะเมาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสร้างบ้านดินนะครับ สิ่งที่ทางกลุ่มของเราเน้น คือ การสร้างคุณค่าภายใน การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับดินน้ำลมไฟอย่างกลมกลืน สังคมมนุษย์กำลังถอยร่นออกจากจุดกำเนิดของชีวิต โลก-ธรรมชาติ จึงเป็นได้เพียงที่อยู่ชั่วคราวของเรากับการหาประโยชน์สร้างความร่ำรวยของคนบางกลุ่มเท่านั้น

แก้วลุกขึ้นพร้อมกับไม้เท้าแทนขาข้างขวา โขยกเขยกนำเราไปย่ำดินปั้นบ้านข้างคันนา

3

มือขาวๆ ของชาวอาสาถูกพอกเอาไว้ด้วยโคลนหนาเตอะและไหลเข้าไปอุดอยู่ในเล็บมือเล็บเท้าอย่างไม่ปรานีปราศรัย อิฐดินแข็งถูกลำเรียงก่อเป็นผนังอาคารห้องสมุด ฉาบผสานด้วยโคลนเหนียวผสมแกลบแทนปูนซีเมนต์ แต่ละก้อนถูกกะเทาะโป๊กๆ เป๊กๆ ให้เรียบทุกด้านด้วยคมมีดพร้าก่อนจะจัดเรียงสลับฟันปลา การก่ออิฐดินมีเทคนิคเฉพาะ ผู้ก่อต้องทุ่มอิฐลงไปแรงๆ บนโคลนเหนียวผสมแกลบให้ได้ยินเสียงดังแผละและเม็ดโคลนกระเด็นกระดอนให้ได้หลบกันพอหอมปากหอมคอ บางคนหลบไม่ทันเลอะหน้าเลอะตา แต่ไม่เป็นไร คิดซะว่าเป็นการบำรุงผิวด้วยการพอกโคลนเหนียวผสมแกลบ ผลจากการย่ำดิน ก่ออิฐกับรอยยิ้มเลอะเทอะท้าทายสบู่เหลวขจัดคราบไคลทำให้ผนังอาคารเริ่มเป็นรูปเป็นร่างกลายเป็นห้องสมุดแก่เด็กๆ รักษ์เขาชะเมา

4

ยามค่ำมาถึง ...

อาคารดินโรงเรียนโรงเล่นถูกแบ่งออกเป็นสองฟากโดยขึงเชือกฟางผ่าโถงจากด้านหน้าไปจรดด้านหลังตามแนวยาว มุ้งด้านซ้ายผูกปลายเชือกเข้ากับผนังด้านซ้ายส่วนอีกด้านผูกกับเชือกฟางกลางห้อง มุ้งด้านขวาผูกปลายเชือกกับผนังด้านขวาส่วนอีกด้านผูกกับเชือกฟางกลางห้อง หันหัวเข้าผนัง หันเท้าเข้าหากัน เพียงเท่านี้ อาคารโรงเรียนโรงเล่นก็แปรสภาพเป็นห้องนอนอันอบอุ่น

 

20080501 สภาพเท้า หลังย่ำดิน
สภาพเท้า หลังย่ำดิน เป็นแบบนี้แหละครับ

20080501 ก่ออิฐต้องให้ได้ยินเสียงดังแผละ
ก่ออิฐต้องให้ได้ยินเสียงดังแผละ

20080501 ย่ำ
ย่ำ ย่ำ ย่ำ

20080501 สัมผัสแผ่วเบาของนักสร้างบ้านดิน
สัมผัสแผ่วเบาของนักสร้างบ้านดิน

20080501 จับมือลงบ่อดิน
จับมือลงบ่อดิน

20080501 หลังจากย่ำดิน (1)

20080501 หลังจากย่ำดิน (2)
หลังจากย่ำดิน ชาวอาสาได้ทดลองหว่านข้าว

20080501 ดูกันก่อน
เฮ! ดูกันก่อน ครายเป็นคราย เอิ๊ก เอิ๊ก

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ทิศทางการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวที่สะเปะสะปะทำให้ชาวบ้านหลายคนทิ้งชีวิตเรือกสวนไร่นา หันมาเป็นผู้ประกอบการอย่างไร้ทิศทาง ไร้การจัดการ ไร้ความคิด ในสังคมมือใครยาวสาวได้สาวเอาที่ต้องการแต่ประโยชน์ส่วนตน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
แดดยามบ่ายกระทบสายน้ำเป็นริ้วเต้นระริกรินไหลไปตามแก่งหินน้อยใหญ่ ทิวไม้สองฝั่งแน่นขนัดทอดกายยึดผืนดินไม่ให้น้ำกัดเซาะ ราวกับมืออันอบอุ่นของแม่ที่โอบอุ้มทารกแนบอก
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย    
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
คนงานบนเรือขนสินค้าขนาดใหญ่ริมฝั่งโขง กำลังทำงานของพวกเขา เรือขุดทรายตักทรายจากกลางลำน้ำ ชายชราหาปลาอยู่บนเรือท้องแบน ธุรกิจการค้าคึกคัก ...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เชียงคานเมืองริมฝั่งโขง ถูกพูดถึงมากมายในหมู่นักท่องเที่ยว นักเดินทางหลายคนหยุดเวลาเอาไว้ที่นั่นด้วยการนอนอ่านหนังสือเป็นอาทิตย์ ...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ทุกเช้าๆ คุณแม่ชาวปกาเกอญอจะออกมาสะพายลูก ... ระหว่างเดินไปตามถนนกลางหมู่บ้าน ระหว่างอาบน้ำริมห้วยแม่แงะ ระหว่าง รอ ...
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ในลมหนาวมีใบหน้าใสซื่อ ดูเหมือนว่า จะกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วอย่างยิ่ง ที่จะต้องถ่ายภาพใบหน้าคน ... ทุกปีที่ไปงานวันเด็กไร้สัญชาติ รอยยิ้มของคนหลังภูเขา อ่อนโยนแบบเด็กๆ ..
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ห้องทะเบียนราษฏรเคลื่อนที่ถูกจำลองขึ้นบนลานโล่งบริเวณบ้านผู้ใหญ่บ้าน ,คนไร้รัฐบ้านแม่แพะมารวมตัวกันเพื่อทำประชาคม ,ยกมือรับรองสถานะบุคคลเป็นพยานรู้เห็นว่าครอบครัวที่ได้รับการสำรวจทั้งหมดอยู่บนผืนดินแห่งนี้มานาน ก า เ ล
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ดินแดนอันไกลโพ้นเหนือความคิดฝัน ,เทือกเขาและดวงตะวันนิ่งงัน ราวกับภาพวาด
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มุมหนึ่งของเชียงคาน จ.เลย ,หากใครเคยไปเชียงคานจะเห็นแม่น้ำโขงยาวสุดลูกหูลูกตา ก่อนจะลับหายเข้าไปยังฝั่งลาวตรงแก่งคุดคู้ ,ในภาพมองเห็นเรือดูดทรายเอกชน ,แนวโน้มการพัฒนาเพื่อให้เป็นเมืองท่องเที่ยว ,คนที่นั่นออกปากปฏิเสธเป็นพัลวันถึงความไม่ต้องการให้เจริญขีดสุดแบบปาย ,แต่ขณะเดียวกันก็อ้าแขนต้อนรับนักท่องเที่ยว ,รวมถึงนักเก็งกำไรเข้ามาหาซื้อที่ดิน ,หลับตาก็พอมองออกว่าภายในระยะ 5-10 ปี เชียงคานจะอยู่ในสภาพของเมืองท่องเที่ยวที่ถึงพร้อมไปด้วยสาธารณูปโภคที่เสนอสนองความต้องการของคนในทุกระดับชั้น ,แต่ความเห็นส่วนตัว ผมชอบปายคับ (คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยายภาพ)