Skip to main content
มะโนตัดสินใจอยู่นานกว่าสองวันหลังจากที่หญิงกระยันร่างกายผอมบางอายุ 52 ปี สะดุดล้มในห้องน้ำจนทำให้ให้เกิดอาการบวมที่ท้องด้านขวา


เมื่อทนการรบเร้าจากคนรอบข้างไม่ไหวให้ไปหาหมอ เธอจึงเปิดหีบใบใหญ่ที่ใส่ข้าวของเงินทองที่มีอยู่รวมไปถึงเอกสารประจำตัวต่างๆ เพื่อค้นใบเล็กๆ สีเขียว มันเป็นบัตรเข้ารับการบริการที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่พบ


นับเป็นเวลาเกือบสิบปีที่แม่เฒ่ามะโนไปโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย แม่เฒ่าเยียวยาโรคร้ายเล็กน้อยด้วยยาสมุนไพรที่นำติดตัวมาจากประเทศพม่า และเหล้าขาวดีกรีแรง โดยหารู้ไม่ว่า "ยาดี" ที่แม่เฒ่าชอบพูดถึงเวลาใครถามไถ่เรื่องสุขภาพ จะกลายมาเป็นปีศาจร้ายทำลายร่างกายจนต้องเข้ารับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน


"โรคตับโต เกิดจากการกินเผ็ดเกินไป เค็มเกินไป ที่สำคัญคนส่วนใหญ่เป็นโรคตับเพราะดื่มเหล้าเป็นประจำ ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นโรคตับแข็งในอนาคตได้ " คุณหมอชี้แจงและเตือนให้แม่เฒ่าเลิกกินอาหารที่เผ็ดและเค็มเกินไป


แต่แม่เฒ่ารู้ดีว่าสาเหตุของการเจ็บป่วยมิใช่เกิดจากการลื่นล้ม หรือกินอาหารรสจัดแต่เป็นเพราะการจิบเหล้าขาวมาเป็นเวลานานนั่นเอง


เมื่อหมออนุญาตให้มะโนกลับบ้าน แม่เฒ่าก็ต้องตกใจกับบิลค่ารักษาเป็นเงินจำนวนกว่าครึ่งหมื่น เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง รู้ดีว่าหญิงกระยันเป็นคนต่างด้าว ไม่มีบัตรทอง ซึ่งต้องรับภาระจ่ายค่ารักษาเองทั้งหมด แต่โดยทั่วไปจะแจ้งไปยังนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อที่ทางสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาลจะมาช่วยจ่ายให้บางส่วน โดยทางผู้ป่วยต้องทยอยจ่ายค่ารักษาส่วนที่เหลือให้กับทางสังคมสงเคราะห์ภายหลัง


วันนั้นแม่เฒ่ามีเงินติดตัวไปโรงพยาบาลเพียงสามพันบาท จึงขอจ่ายก่อนสองพันห้าร้อยบาท แม่เฒ่าบ่นอุบอิบว่าไม่อยากมาโรงพยาบาลเลย เพราะต้องเสียเงินเยอะ แต่ก็ดีใจที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีเพราะนอนมาหลายคืนแล้ว


หมอนัดให้มารับยาอีกครั้งในเดือนถัดไป ซึ่งยาโรคตับคงจะต้องทานติดต่อนานเป็นปี แม่เฒ่ารับปากกับหมอว่าจะเลิกเหล้า และรีบไปทำบัตรทองคนต่างด้าว ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณหนึ่งพันห้าร้อยบาทต่อปี เพื่อการมาโรงพยาบาลครั้งต่อๆไปจะได้ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาแพงๆ อีก


บัตรทองคนต่างด้าว ส่วนใหญ่แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยจะต้องทำกันแทบทุกคน เพราะสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก ทั้งนี้กฎหมายมิได้ระบุลงไปชัดเจนว่าแรงงานต่างด้าวต้องทำบัตรประกันสุขภาพทั่วหน้ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของนายจ้าง และความต้องการตนเอง


ที่หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า มีหญิงกระยันเพียงไม่กี่คนที่มีบัตรดังกล่าว มะนาง ที่ป่วยบ่อยครั้งและต้องไปนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลืออยู่เสมอ จะต่อบัตรประกันสุขภาพทุกๆ ปี


มีทารกกระยันหลายรายที่เกิดในโรงพยาบาลประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน เคยได้บัตรทองจากโรงพยาบาลเมื่อประมาณปี 2548 แต่พอผ่านไปสอง-สามปี โรงพยาบาลก็แจ้งทางผู้ปกครองเด็กว่า บัตรไม่สามารถใช้ได้ ต้องยึดบัตรดังกล่าวคืนโรงพยาบาล และให้ไปแจ้งทำบัตรใหม่โดยเสียค่าธรรมเนียมปีละหนึ่งพันห้าร้อยบาท

 

ในขณะที่กฎหมายการให้สัญชาติไทยแก่เด็กที่เกิดในราชอาณาจักรไทย สามารถขอลงรายการสัญชาติไทยได้ ตามมาตรา 23 ตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.2551 แม้ว่าบุคคลดังกล่าวจะมีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าว ซึ่งถ้าบุคคลนั้นอาศัยอยู่จริงในราชอาณาจักรไทยติดต่อกัน โดยมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร และเป็นผู้ที่มีความประพฤติดี หรือทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมหรือประเทศไทย ให้ได้สัญชาติไทยตั้งแต่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ


ในอนาคตเด็กกระยันที่เกิดในประเทศไทยก็จะได้รับสัญชาติไทย ดูเหมือนเป็นช่องทางเดียวที่จะทำให้กระยันรุ่นลูกรุ่นหลายคน ได้มีสิทธิใช้บริการการรักษาพยาบาลฟรีจากภาครัฐได้ แต่จะอีกนานแค่ไหน ไม่มีใครรู้เพราะเมื่อผู้ปกครองของเด็กไปดำเนินการขอลงรายการสัญชาติกับทางอำเภอ กลับได้รับกระดาษแผ่นเล็กๆ เขียนข้อความระบุวันเวลานัดหมายสืบหลักฐานพยาน ซึ่งวันเวลาที่ระบุไว้ในกระดาษเพื่อนัดสืบหลักฐานพยาน ต้องรอนานกว่า 2 ปี.

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…