ลูกลืมตาดูโลกในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2550 ในตอนค่ำเวลา 19.21 น. ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำเดือน 4 ปีกุน แม่ให้ชื่อลูกไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดว่า "สาละวิน" ชึ่งหมายถึงชื่อของแม่น้ำพรมแดนกั้นระหว่างไทยกับพม่า
สาละวินของแม่ถือกำเนิดมาจากแม่ซึ่งเป็นคนไทยและพ่อที่อพยพมาจากพม่า ชื่อของลูกที่เปรียบเทียบได้กับแม่น้ำพรมแดนเชื่อมสายสัมพันธ์ให้เราสองคนอยู่เคียงข้างกันตลอดไปดังเช่นไทยและพม่า
แต่ความจริงแล้วเรื่องการแบ่งแยกว่าใครเป็นไทย ใครเป็นพม่านั้น แม่ไม่ได้ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่นัก แม่เองก็ไม่ใช่ไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์มาจากไหน มีแม่(ยาย)เป็นคนภาคอีสาน และพ่อซึ่งยังเป็นปริศนาชีวิตสำหรับแม่
ส่วนพ่อของลูกนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงชนเผ่าเล็กๆ ที่อาศัยในแผ่นดินพม่า พ่อจึงไม่ได้ยอมรับตัวเองว่าเป็นคนพม่าเต็มร้อย เพราะ "พม่า" ที่หมายถึงรัฐที่ปกครองด้วยระบบเผด็จการทหาร ก็ยังรุกรานรังแกชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ ซึ่งก็ไม่เว้นแม้แต่เผ่าเล็กๆ อย่างชาวกระยัน หรือที่รู้จักกันดีในต่างแดนนี้ว่าเผ่ากระเหรี่ยงคอยาวนั่นแหละ
เมื่อก่อนก็ไม่มีใครรู้ว่า แม่น้ำสายไหน ภูเขาลูกใด เป็นพรมแดนประเทศอะไรหรอกลูก มนุษย์เกิดมาและรับรู้เพียงว่า เขาดำรงชีวิตอยู่ในสังคมวัฒนธรรมเช่นใด และเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตไปตามสังคมและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ อาจจะมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วยการไปมาหาสู่กันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับรบราฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงดินแดน เมื่อทรัพยากรในการดำรงชีวิตยังคงมีเหลือเฟือไม่ถึงขั้นกับฝืดเคือง
"แผนที่" ซึ่งถูกขีดขึ้นภายหลังเมื่อไม่นานนี้จนกำหนดเป็นพรมแดนประเทศต่างๆ ขึ้นมา ก็เพียงเพื่อรับใช้ระบอบการปกครองของคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น การล่าอาณานิคมเพื่อยึดครองพื้นที่ในยุคต่อมา เป็นสิ่งชี้ชัดว่ามนุษย์ยึดติดกับแผนที่เพื่อหาผลประโยชน์จากการยึดครองเท่านั้นเอง
ลูกที่เกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดินที่เรียกว่า "ไทย" วันหนึ่งอาจอยากเดินทางย้อนกลับไปยังเส้นทางที่พ่อของลูกได้เดินเท้าจากมาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ซึ่งต้องใช้เวลารอนแรมอยู่หลายคืนวัน
สาเหตุที่พ่อต้องเดินทางรอนแรมกลางป่าเขาข้ามตะเข็บชายแดนที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด มายังฝั่งไทยนั้น แม่ได้สอบถามจากย่าผู้ซึ่งนำพาให้พ่อแม่มาพบกันยังฝั่งไทยนี้ ได้ความว่า
ครอบครัวของพ่อของลูกนั้นเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในประเทศพม่า แม้จะยืนยันตัวเองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่เดิมเคยมีแผ่นดินเป็นอาณาเขตปกครองตนเองดังเช่นชนกลุ่มน้อยอื่นๆ เมื่อถูกฉีกสัญญาปางโหลง จึงหันมาจับปืนรบกับพม่าเพื่อทวงสัญญาแผ่นดินคืน
คนหนุ่มในเผ่าของพ่อไม่น้อยทิ้งจอบเสียมหันมาจับปืน ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกหลายเผ่า บางคนก็ทิ้งชีวิตไว้ในสมรภูมิและอีกมากมายที่หนีตายอพยพข้ามพรมแดนมายังไทย
เมื่อครั้งที่ย่ายังอาศัยที่พม่าก็ทำมาหากินตามประสาครอบครัวที่ยากจน คือรับจ้างทำนา เพราะไม่มีที่นาเป็นของตนเอง ส่วนลูกๆ ก็ต้องเฝ้าวัวให้กับเจ้าของนา วัวสองสามร้อยตัวใช้ลูกๆ 3-4 คนช่วยกันต้อนเลี้ยงในทุ่งหญ้า เมื่อครบปีก็จะได้ข้าวสารจากเจ้าของวัวเป็นค่าเหนื่อย
เมื่อทำงานมาอย่างเหนื่อยยาก กินไม่เคยอิ่ม บางมื้อต้องอาศัยน้ำข้าวลูบท้องประทังความหิว เคราะห์หามยามร้ายทหารพม่าเข้าปล้นชิงหมู่บ้านขูดรีดเอาข้าวสารที่เก็บกักตุน ซ้ำเติมความยากลำบากเข้าไปอีก
เมื่อวันหนึ่งย่าได้รับข่าวจากเพื่อนบ้านหลายครอบครัว ที่ได้อพยพเข้าประเทศไทย ถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้กินอิ่มนอนอุ่นกว่าเคย เพราะไม่ต้องคอยหวาดกลัวกับทุ่นระเบิดและทหารพม่าเช่นแต่ก่อน
นอกจากนี้ย่ายังทราบว่า หากต้องการเดินทางข้ามมายังฝั่งไทย ก็จะมีคนมานำทางให้ เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเผ่ากระยันที่สวมห่วงมทองเหลืองไว้ที่คอเท่านั้น
เมื่อเกวียนเล่มแรกเริ่มหมุน เกวียนเล่มต่อไปก็เริ่มหมุนตาม ย่าจึงตัดสินใจหอบหิ้วลูกสามคนที่ยังเล็กอยู่เดินเท้าติดตามขบวนผู้คนเข้าฝั่งไทย ทิ้งลูกที่โตบ้างแล้วไว้เป็นแรงงานอยู่กับปู่ เพราะย่าคิดว่าหากมาเมืองไทยแล้วไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ก็ยังสามารถกลับไปกินข้าวที่ลูกๆ ทำไว้ที่หมู่บ้านเดิมได้
เมื่อมาถึงศูนย์อพยพชั่วคราวบ้านในสอยจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีกะเรนนีอาศัยอยู่หลายชนเผ่า แต่เนื่องจากเผ่ากะยัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือสวมห่วงทองเหลืองไว้ที่คอและมีคอที่ยาวขึ้น ทำให้เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น แล้ววันหนึ่งย่าก็ถูกขายลักษณะพิเศษของตนเอง แทนการจับจอบจับเสียม ทำไร่ไถนาที่เคยทำมาค่อนชีวิต
ย่าได้กลายมาเป็นดาราหน้ากล้อง เมื่อยามนักท่องเที่ยวเดินพ้นประตูเข้ามาในหมู่บ้าน เพื่อชมความแปลกประหลาดของชนเผ่าเล็กๆนี้ แลกกันเงินที่จ่ายให้ย่าเป็นรายเดือน เงินจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยบาทเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ หากเปรียบเทียบชีวิตที่เคยอาศัยอยู่หมู่บ้านเดิม ก็นับว่าทำให้เศรษฐกิจในครอบครัวชาวกระยัน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
แต่หากจะให้เปรียบระหว่างรายได้ที่นายทุนเรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวกับค่าตอบแทนสำหรับหญิงกะยันที่สวมห่วงทองเหลืองก็อาจจะเรียกว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
สิบสี่ปีแล้วที่หมู่บ้านห้วยเสือเฒ่าถูกจัดตั้งขึ้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวกระยัน (กะเหรี่ยงคอยาว) และกระยอ (กะเหรี่ยงหูกว้าง) หมู่ที่ไม่มีบ้านเลขที่ในทะเบียนราษฎร์ แต่อยู่ห่างจากเมืองเพียงไม่กี่กิโลเมตร เพียงเพื่อให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ในการเดินทางมาชมวิถีชีวิตของเผ่ากระยัน