Skip to main content
สาละวิน,ลูกรัก


ในเช้าที่แม่ต้องเดินทางไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลในเมือง เป็นเช้าสุดท้ายที่แม่ได้นอนตื่นสายเช่นที่แม่เคยเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากมีสาละวินแล้ว แม่ก็ไม่ได้ตื่นสายอีกเลย


มันเป็นเช้าปกติที่แม่ตื่นขึ้นมาพบว่าอุ้มท้องลูกได้เก้าเดือนแล้ว และวันนี้หมอนัดให้แม่ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล


แม่ยังแปลกใจว่าแม่ยังไม่ได้มีอาการเจ็บท้องคลอดหรือเจ็บท้องเตือน เหมือนที่เคยจิตนาการไว้ว่าเวลาคนท้องแก่เจ็บท้องใกล้คลอด คงจะฉุกละหุก กลัวว่าลูกจะคลอดก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล


แต่เช้าวันที่ยี่สิบแปด กลับไม่มีวี่แววที่ว่า ทั้งที่คุณหมอสั่งไว้ว่าให้เก็บข้าวของที่จำเป็นเช่น ผ้าอ้อมเด็ก กาต้มน้ำร้อน มาเตรียมไว้ให้พร้อม รวมถึงเสื่อกับผ้าห่มสำหรับพ่อที่ต้องมาเฝ้าข้างเตียง


เมื่อเตรียมข้าวของทุกอย่างพร้อมแล้ว เราทั้งสามคน (รวมถึงลูกในท้องด้วย) ก็โดดขึ้นมอเตอร์ไซด์คันเก่าคู่ชีพ


เจ้าเขียวสะอื้นพาเราลัดเลาะผ่านลำห้วย ซึ่งพาดผ่านถนนที่โค้งไปมาหลายสิบห้วย บางครั้งพ่อต้องเร่งเครื่องตะกายเนินเขาสูงชันคดเคี้ยว กว่าเจ็ดกิโลเมตรจึงจะถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน


เมื่อแม่เข้าไปตรวจภายในตามปกติ คุณหมอบอกว่าปากมดลูกเปิดประมาณหนึ่งถึงสองเซ็นแล้วตามกำหนดที่หมอคลาดการณ์ไว้อย่างแม่นยำ


ซึ่งนับว่าหมอคนนี้เป็นหมอสูตินารีแพทย์ที่เก่งคนหนึ่งของโรงพยาบาลแม่ฮ่องสอน เธอชื่อหมอฉัตรดาว แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย คนเก่งมักอยู่ในเมืองกันดารได้ไม่นาน เพราะแม่ทราบว่าหลังจากทำคลอดแม่ได้ไม่นาน เธอก็ขอย้ายเข้าเมืองหลวงเสียแล้ว จากนั้นแม่ก็นั่งรถเข็นมานอนบนเตียงที่ห้องรอคลอด ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงพยาบาล

ที่ห้องรอคลอดมีหญิงท้องแก่นอนรอคลอดอยู่แล้วสามราย แต่คนที่ใกล้คลอดที่สุดเธอนอนอยู่ที่เตียงฝั่งตรงกันข้าม เธอส่งเสียงร้องโอดโอยอยู่เป็นระยะ และขยับตัวไปมาจนเตียงเขย่า ทำให้สายอ็อกซิเจนที่ระโยงยางแกว่งไปมาตามไปด้วย แม่นึกในใจว่าเธอคงจะทรมานน่าดู


ไม่นานนักพยาบาลก็นำเธอนั่งรถเข็นเข้าไปในห้องคลอด พอประมาณไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เธอก็ออกจากห้องคลอดพร้อมห่อของขวัญในมือ เป็นลูกชายอ้วนท้วนแข็งแรง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไม่เหลือร่องรอยของความเจ็บปวดอีกเลย


สำหรับเตียงข้างๆ ด้านขวามือของแม่ เป็นหญิงชาวไตใหญ่ซึ่งเธอทักทายแม่ด้วยภาษาท้องถิ่นที่แม่จับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง


เธอบอกว่ามานอนรอคลอดอยู่สองคืนแล้ว จนสามีต้องขอกลับบ้านไปดูความเป็นอยู่ของลูกอีกสองคนที่ฝากยายเลี้ยงไว้ ทำให้แม่อดเป็นกังวลไม่ได้ว่าแม่อาจต้องใช้เวลาที่ห้องรอคลอดอีกสักกี่วันหนอ


ส่วนเตียงด้านซ้ายมือ เธอเป็นหญิงชาวกระเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) แม่คิดว่าเธอคงเป็นกระเหรี่ยงคริสต์ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าภาษาไทย แต่ก็ทำให้พยาบาลบ่นกันอุบอิบว่า คุยกับเธอไม่ค่อยจะรู้เรื่อง


แม่สังเกตเห็นว่า เวลาพยาบาลมาตรวจอาการ ก็มักจะใช้ภาษาใบ้กับเธอ ซึ่งดูๆไม่ค่อยสุภาพนัก เช่นเวลาจะให้เธออ้าขา พยาบาลก็จะตบที่ขาสองข้างของเธอให้แยกออกจากกัน ซึ่งทำให้หญิงกระเหรี่ยงคนนั้นเข้าใจพยาบาลบ้างไม่เข้าใจบ้าง จนทำให้พยาบาลเกิดความหงุดหงิดและตะคอกใส่เธอด้วยเสียงอันดัง


ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เธอเป็นครรภ์แฝดที่ใกล้คลอดเต็มแก่ แม่ไม่แน่ใจว่า ทำไมพยาบาลต่างก็พูดกันว่าต้องส่งเธอกลับไปคลอดที่โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งโดยสรุปแล้ว หากนำตัวเธอส่งกลับก็คงไม่พ้นคลอดบนรถโรงพยาบาลเป็นแน่


แต่แม่ก็ไม่ทันรู้หรอกว่าสุดท้ายแล้ว เธอจะคลอดลูกแฝดออกมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ เพราะไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราวบ่ายสามโมง พยาบาลก็ให้แม่ทานยาเร่งคลอดหนึ่งเม็ด ซึ่งก็ได้ผลทันทีแม่มีอาการเจ็บท้องขึ้นเรื่อย ๆ


อาการที่ว่า มันจะเจ็บเป็นระยะ และเจ็บถี่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ จนแม่รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเจ็บจนถึงขีดสุดแม่จะรู้สึกเกร็งไปหมดทั้งตัว จนบิดตัวและยืดหน้าอกขึ้นสูดเอาอากาศและเผลอครวญครางออกมา


พยาบาลเอาสายอ็อกซิเจนให้แม่เมื่อได้ยินเสียงครวญคราง ที่ถี่ขึ้น และค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ


แม่รู้ตัวทันทีที่อาการเจ็บท้องถึงขีดสุด ซึ่งเป็นเวลาพลบค่ำ แม่เรียกพยาบาลให้มาดูอาการ และบอกกับเธอว่าจะคลอดแล้ว


พยาบาลทำท่าไม่เชื่อ เธอบ่นปอดแปดว่าเพิ่งจะวัดปากมดลูกไปหยกๆ แต่แม่ก็ยืนยันว่าจะคลอดแล้วจริงๆ


เมื่อพยาบาลวัดปากมดลูกซ้ำครั้งที่สอง เธอก็ต้องเชื่อเมื่อปากมดลูกเปิดถึงเก้าเซนติเมตร ซึ่งก็หมายความว่าหากแม่ใช้แรงเบ่ง ลูกก็พร้อมจะออกมาสูดอากาศโลกภายนอกได้ทันที


แม่ถูกเข็นเข้าไปในห้องคลอดเป็นรายที่สอง พยาบาลสี่คนช่วยกันทำคลอด พวกเธอบอกให้แม่หายใจลึกๆ แล้วออกแรงเบ่ง


แม่พยายามเบ่งสุดกำลัง แต่พยาบาลบอกว่าแม่เบ่งไม่เป็น เบ่งแต่ที่หน้าจนหน้าแดงกล่ำแต่ไม่เบ่งที่ท้อง


พอแม่เบ่งอีกครั้งก็กลายเป็นเบ่งอุจจาระ ซึ่งก่อนที่แม่จะมานอนรอคลอดสองวันแม่มีอาการท้องเสียรุนแรงติดต่อกัน ซึ่งอาการท้องเสียที่ว่าก็ยังไม่หายขาด ทำให้แม่เกิดอาการที่ทั้งเจ็บทั้งอายพยาบาลเลยทีเดียว


เมื่อความพยายามไม่เป็นผล พยาบาลสาวซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เปิดปากมดลูก ก็ฉีดยาชาไปที่ปากมดลูกแล้วใช้กรรไกรตัดปากมดลูกให้เปิดกว้างขึ้น ในตอนนี้แม่และลูกเหลือเวลาไม่มากนัก พยาบาลบอกว่าลูกดิ้นน้อยลงแล้ว ซึ่งอาจจะขาดออกซิเจนได้ตลอดเวลา เนื่องจากหัวของลูกมาคาอยู่ทีปากมดลูกจนเห็นเส้นผมสีดำ


หากยังไม่สามารถโผล่พ้นจมูกออกมาโดยเร็ว ลูกอาจจะขาดอากาศหายใจได้ ส่วนแม่เนื่องจากต้องขยายปากมดลูกจึงทำให้เลือดออกมากขึ้น


พยาบาลร่างใหญ่คนหนึ่งบอกกับแม่ว่า พยายามอีกครั้งเธอจะขึ้นกดบนท้องช่วยอีกแรง แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันเบ่งช่วยแม่ด้วยเสียงเชียร์จากพยาบาล แรงกดทับที่ท้อง และแรงใจที่แม่จะได้เห็นหน้าลูกในอีกไม่กี่วินาทีเท่านั้น


จนกระทั่งนาทีระทึกผ่านไป ลูกเงยศีรษะขึ้นและผลุดหายออกจากท้องแม่โดยพลันด้วยมือพยาบาลผู้รับหน้าที่ตัดสายสะดือ


ครั้งแรกที่แม่เห็นลูก สาละวินตัวเขียวปรื๋อ พยาบาลต้องเอาสายยางเส้นเล็กๆ หย่อนเข้าไปในปากและคงลึกถึงท้อง เพื่อดึงเอาน้ำบางอย่างออกมา จนลูกสำลักและตัวเริ่มแดงขึ้น


แม่แปลกใจที่ลูกไม่ร้องในตอนแรกแต่พอตัวเริ่มแดงขึ้นลูกก็ร้องออกมานิดหน่อยไม่ร้องจ้าเหมือนเด็กทั่วไป


แม่อยากจะอุ้มลูกในวินาทีนั้น แต่พยาบาลบอกว่าลูกมีอาการติ๊กแม็กนีเซียม ต้องได้รับการดูแลที่เนสเซอรีซึ่งมีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างน้อย1-2 วัน


แม่จึงได้เห็นหน้าลูกใกล้ๆ เพียงเสี้ยววินาที ที่พยาบาลอุ้มลูกมาให้แม่ได้มีโอกาสสัมผัสลูกด้วยมือเพียงข้างเดียว


แม่จับไปที่แก้มเล็กๆ ของลูก พร้อมกับหยดน้ำตาของแม่ที่ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นเสี้ยววินาที แต่แม่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เลยว่า ความรู้สึกที่แม่มีในเวลานั้นมันช่างแตกต่างจากที่แม่เคยได้รับมาทั้งชีวิต และก็คงจะมีแต่เพียงคนที่เป็นแม่เท่านั้นจึงจะเคยรับรู้ถึงความรู้สึกอิ่มเอมแบบเดียวกันได้.

 

รักลูก

แม่

 

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…