"ท่านเชื่อในอนุภาพของความรักไหม ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถขวางกัันได้"
แล้วท่านเชื่อไหมว่าความรัก ว่าสามารถข้ามเส้นแบ่งทุกๆเส้นบนโลกใบนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเส้นแบ่งทางภาษา เชื้อชาติ สัญชาติ ก็ไม่อาจขวางกั้นความรักระหว่างกันได้ ถ้าหัวใจของคนสองคน ประเทศสองประเทศ เปิดหัวใจเชื่อมหากันได้ ไปมาหาสู่กันดุจญาติพี่น้อง แม้บางยุค บางสมัย อาจจะมีปัญหาอุปสรรคจากความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้นำทางการเมืองทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค อาจจะรวมไปถึงระดับโลกด้วยก็ได้ ที่ทำให้ความรัก ความสมัครสมานสามัคคีต้องหยุดชะงักลง จนเกือบกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง อันนำมาซึ่งความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ใช่แล้ว ผู้เขียนกำลังพูดถึงปัญหาระหว่างกัมพูชา และไทยที่กำลังจะประทุขึ้นอีกครั้ง จากความพยายามของคนบางกลุ่มที่นำเอา ปราสาทพระวิหารมาเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความร้าวฉานขึ้น ซึ่งอาจจะนำความสูญเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ร่วมไปถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนตามแนวชายแดนอีกครั้งถ้าไม่ยุติปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
ถึงสถานการณ์ความไม่เข้าใจกันจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนทั้งสองประเทศในระดับประชาชน ก็ยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ ในหลายๆมิติ ทั้งการค้าตามแนวชายแดน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมไปถึงวงการบันเทิงด้วย ที่มีความร่วมมือกันหลายๆโอกาส หลายวาระที่น่าสนใจ ดังเช่น ภาพยนตร์เรื่อง รักข้ามขอบฟ้า ในปี 1971
ภาพยนตร์เรื่อง รักข้ามขอบฟ้า ซึ่งเป็นภาพยนต์ความร่วมมือระหว่างพระราชอาณาจักรไทย และพระราชอาณาจักรกัมพูชา ที่สร้างในปี 1971 นำแสดงโดย นักแสดงจากประเทศไทย สมบัติ เมทะนี และอรัญญา นามวงศ์ พร้อมทั้งนักแสดงจากกัมพูชา เจีย ยุทโธ และ ดี สาเวต กำกับการแสดงโดย ส.อาสนจินดา อำนวยการผลิตโดยบริษัท เอเชียฟิลม์ เป็นเรื่องราวของ “แมนสรวง” ชายหนุ่มชาวไทย ที่ได้พบรักกับ หทัย นางละครสาวชาวกัมพูชา ที่เขาได้พบรักกับเธอ และได้มีลุกกับเธอชื่อ ฤดี(สาเวต) ในช่วงที่เขาได้ไปท่องเที่ยวในพนมเปญ แต่โชคไม่ดีเมื่อเขากลับเมืองไทย เขาถูกบังคับให้แต่งงานกับจิตรา ผู้หญิงที่พ่อของเขาเลือกให้ จนเกิดลูกหนึ่งคนชื่อ จูบใจ(อรัญญา)
ส่วนหทัยก็ ได้เลี้ยงดู ฤดี(สาเวต)ให้เป็นนางรำละครเลี้ยงชีพ และรับเชน (ยุทโธ) มาเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งได้ประกอบอาชีพชกมวยตามเวทีต่างๆโดยทั้งหทัย และฤดี(สาเวต) เชนนับถือเหมือนเป็นคนร่วมสายโลหิต และปกป้องคุ้มครองสองแม่ลูกเสมอๆ และด้วยความรักและความคิดถึงแมนสรวง หทัยจึงเดินทางจากกัมพูชาออกตามหาคนรักเก่าพร้อมกับลูกสาว ฤดี(สาเวต) จึงทำให้ ฤดีได้พบรักกับ ร.ต.อ.ยิ่งศักดิ์(สมบัติ) นายตำรวจหนุ่มที่ประจำอยู่อ.อรัญประเทศ (สมัยนั้นขึ้นกับ จ.ปราจีนบุรี) และเชนจึงจำเป็นต้องเดินทางตามหาสองแม่ลูก หทัย และฤดี(สาเวต) จนได้มาพบรักกับ จูบใจ(อรัญญา) ในเมืองไทย จนเกิดเป็นเรื่องราวความรักระหว่างคนสองรุ่น สองประเทศ ที่ผูกพันกันอย่างหวานซึ่งและกินใจ
แม้ว่าเรื่องราวความรักของคนทั้งสองคู่จะดูยุ่งเยิงและวุ่นวาย (หรืออาจจะเป็นผู้เขียนที่เล่าเรื่องย่อแบบงงๆ???) แต่ก็เป็นหนึ่งใน เรื่องราวในอดีตที่สะท้อนถึงตัวแบบความสัมพันธ์ของผู้คนสองประเทศ ทั้งไทย และกัมพูชา โดยเฉพาะตามแนวชายแดน ที่ทำมาหากิน ใช้ชีวิตร่วมกัน และแต่งงานกันข้ามเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศ ที่แม้จะมีสถานการณ์ใดๆ ระหว่างประเทศ ความผูกพันระหว่างผู้คนทั้งสองประเทศ ก็ยังคงพึ่งพาอาศัยกัน และดำเนินต่อไป
เป็นที่น่าเสียดายว่าทางผู้เขียนไม่สามารถหาต้นฉบับภาพยต์มาให้ชมได้ มีแต่เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ขับร้องโดยนักร้องชาวกัมพูชา ทั้งภาคภาษาเขมร และภาษาไทย โดยสิน สีสามุต ดี สาเวต และรส เสรีสุทธา นำมาให้ท่านผู้อ่านได้ชมได้ฟังกัน และผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะใช้ความรัก สันติภาพ และภราดรภาพ เป็นเครื่องมือในการยุติปัญหาระหว่างไทย และกัมพูชา แทนที่ความคลั่งชาติ กระหายสงครามแบบขาดสติของคนบางกลุ่ม และไม่ว่าสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า ปราสาทพระวิหาร จะเป็นของประเทศใดตามข้อตกลงในอดีต แต่สิ่งก่อสร้างนี้ ก็ยังคงเป็นสมบัติร่วมกันของคนสองประเทศ เพราะ “เราไม่สามารถยกประเทศหนีจากกันได้”
Snaeh chlong veha : Sin Sisamouth & Dy Saveth (Khmer Version)
รักข้ามขอบฟ้า : สิน สีสามุต & ดี สาเวต (Thai Version)
Promden jet : Sin Sisamouth & Ros Sereysuthea (Khmer Version)
พรมแดนใจ : สิน สีสามุต & ดี สาเวต (Thai Version)
หมายเหตุ
- เนื่องจากเนื้อเพลงทั้งเพลงรักข้ามขอบฟ้า และเพลงพรมแดนใจ ทั้งสองภาษามีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกัน จึงไม่ได้ลงรายละเอีกเปรียบเทียบเนื้อเพลงเอาไว้ในบทความนี้
ที่มา