Skip to main content

มิจฉาทิฐิว่าด้วย“24 มิถุนาคือการรัฐประหารไม่แตกต่างจากครั้งอื่นๆ คือใช้อำนาจทหารล้มล้างการปกครองเช่นเดียวกัน” "ถ้าเอาวันประกาศเอกราช ก็เอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพจากพม่าสิ" และ "วันชาติคือวันรวมใจคนทั้งชาติ ในยุคสมัยผมใจพวกเราทุกดวงอยู่ที่ในหลวงก็ควรเอาวันที่ ๕ ธันวานี่ล่ะเหมาะที่สุด"

 

 

สถานะของ “Viengrat Nethipo” ในเฟซบุ๊ก โพสต์เมื่อ 25 มิ.ย.56

มิจฉาทิฐิแห่งชาติ ๑ :

“24 มิถุนาคือการรัฐประหารไม่แตกต่างจากครั้งอื่นๆ คือใช้อำนาจทหารล้มล้างการปกครองเช่นเดียวกัน”
 

ข้อความข้างต้นสะท้อนการมองแต่ปรากฏการณ์ผิวเผิน ไม่ดูบริบทที่กว้างออกไป ไม่ดูผลกระทบสืบเนื่องจากนั้น คือดึงตัวเหตุการณ์โล้น ๆ ออกมาจากประวัติศาสตร์ แล้วก็สรุปเลย

การปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ใช้วิธีการรัฐประหารในการยึดอำนาจ เพราะในเงื่อนไขภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่สามารถตั้งพรรคการเมืองลงแข่งขันเลือกตั้งได้, ไม่สามารถก่อม็อบหน้ากากขาวประท้วงได้ ขืนทำก็หัวขาดเท่านั้นเองครับ

ในเงื่อนไขรัฐมีอำนาจสิทธิ์ขาดเหนือร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของราษฎร (ABSOLUTE MONARCHY) ราษฎรไร้สิทธิทางการเมืองที่จะชุมนุม ตั้งพรรค ออกเสียงเลือกตั้ง วิธีการเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ในฐานะข้าราชการและสามัญชนนอกวัง ก็คือรัฐประหารเท่านั้นเอง (ถ้าอยู่ในวังอาจก่อ palace coup)

แต่สิ่งที่ทำให้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ไม่ใช่แค่การรัฐประหารก็คือ คณะราษฎร ยึดอำนาจรัฐมา แล้วใช้อำนาจรัฐนั้น เปลี่ยนระบอบปกครอง (เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจในประเทศ) ยกเลิกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เปลี่ยนฐานะราษฎรไทยทุกคน จากผู้ไร้สิทธิ ชีวิตร่างกายทรัพย์สินอยู่ใต้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ของกษัตริย์ เมื่อวันที่ ๒๓ มิ.ย. ๒๔๗๕ --> มาเป็นพลเมือง (citizens) ผู้ทรงสิทธิ์เหนือร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของตนเอง จำกัดอำนาจรัฐลง รัฐเปลี่ยนรูปจากรัฐที่มีอำนาจไม่จำกัดหรือมีอำนาจสมบูรณ์แบบ (unlimited or absolute government) มาเป็นรัฐที่มีอำนาจจำกัด (limited government) โดยอำนาจรัฐถูกจำกัดด้วยสิทธิเสรีภาพของพลเมือง (ของดีที่ได้มาในวันที่ ๒๔ มิ.ย. คือสิทธิเสรีภาพประจำตัวทุกคน รัฐจะมาทำอะไรกับร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของเราไม่ได้ ต้องขออนุญาตเราก่อน, จะมาปกครองเราตามใจชอบไม่ได้ ต้องให้เราเห็นชอบก่อน โดยเลือกตั้งส่งผู้แทนของเราไปอนุมัติในสภา)

๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ไม่ใช่แค่การรัฐประหาร เพราะมันเปลี่ยนรัฐไทย คนไทย จากสมบูรณาญาสิทธิ์/ไพร่ราบ ไปเป็น รัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ/พลเมือง มันเป็นการปฏิวัติแห่งลัทธิรัฐธรรมนูญ (constitutionalist revolution) ด้วยเหตุนี้

ขณะที่รัฐประหารครั้งอื่น ๆ ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีนัย “ปฏิวัติ” แบบนั้นเลย


นักวิชาการคนที่มอง ๒๔๗๕ แล้วเห็นแค่ “รัฐประหาร” ก็แคบ ตื้น และไร้ประวัติศาสตร์ ไม่ต่างจากข้อความข้างต้นนั่นแหละ

 

มิจฉาทิฐิแห่งชาติ ๒ :

"ถ้าเอาวันประกาศเอกราช ก็เอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพจากพม่าสิ"

หลายประเทศเลือกวันกู้อิสรภาพ ประกาศเอกราช จากระบอบอาณานิคมต่างชาติ เป็น "วันชาติ" ของประเทศตน เช่น มาเลเซีย, อินโดนีเซีย เป็นต้น

แต่วันที่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพของกรุงศรีอยุธยาจากกษัตริย์พม่านั้น เป็นประวัติศาสตร์ยุคก่อนมีชาติและก่อนมีสำนึกชาติด้วยซ้ำไป

ความสัมพันธ์สำนึกเป็นกลุ่มก้อนหน่วยเดียวกันในยุคนั้น ถือกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง แล้วลดหลั่นเป็นลำดับชั้นตามเส้นสายราชูปถัมภ์ จากกษัตริย์ ไปสู่ขุนนางศักดินา และไพร่ทาส, จากราชธานี (เมืองที่ประทับของกษัตริย์) ไปสู่หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและประเทศราช

ความสัมพันธ์แนวดิ่ง ที่เหลื่อมล้ำและยึดกษัตริย์เป็นศูนย์กลางดังกล่าว ต่างจาก ความสัมพันธ์แบบชาติ ที่เป็นแนวราบ เสมอภาค และยึดความเป็นสมาชิกร่วมชุมชนจินตนากรรมเดียวกันเป็นหลัก

ชาติไทย/ชาติสยาม ไม่ได้มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้มีมาตั้งแต่เทือกเขาอัลไต อ้ายลาว น่านเจ้า สุโขทัย อยุธยา ต้นรัตนโกสินทร์... เอาเข้าจริงสำนึกความเป็นชาติไทย/ชาติสยามเพิ่งก่อกำเนิดเริ่มต้นในช่วงรัชกาลที่ ๔ ต่อที่ ๕ เท่านั้นเอง ก่อนหน้านั้นเป็นสำนึกก่อนชาติที่ถือกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ลดหลั่นลงมาสู่ขุนนางและไพร่ทาส

ชาติมีไม่ได้ ถ้าไม่มีพลเมืองที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน และพลเมืองไทยที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งชั้นโดยชาติกำเนิดเป็นเจ้า/ขุนนาง/ไพร่/ทาส นั้น สมัยพระนเรศวรและกรุงศรีอยุธยา ไม่มี

ชาติไทยที่ประกอบไปด้วยพลเมืองที่มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกันเพิ่งเกิดเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เท่านั้นเอง นี่คือแนวคิดเบื้องหลังการเลือกวันนั้นเป็นวันชาติ หรือนัยหนึ่งวัน Happy Birthday to ชาติไทยที่คนไทยเสมอภาคเท่าเทียมกันไม่แบ่งแยกชั้นเจ้า/ขุนนาง/สามัญชน

ถ้าหลงคิดว่ามีพลเมืองที่เสมอภาคกันสมัยนั้น หลงคิดว่ามีชาติในยุคนั้น คุณก็กำลังเพ้อฝันทั้งเพ แล้วเอาความเข้าใจปัจจุบันไปตีความอดีตใหม่ ให้ความหมายอดีตใหม่อย่างตรงจริตของปัจจุบัน อย่างบิดเบือนอดีต แค่นั้นเอง

 

มิจฉาทิฐิแห่งชาติ ๓ :

"วันชาติคือวันรวมใจคนทั้งชาติ ในยุคสมัยผมใจพวกเราทุกดวงอยู่ที่ในหลวงก็ควรเอาวันที่ ๕ ธันวานี่ล่ะเหมาะที่สุด"

๕ ธันวาฯ ได้รับการเฉลิมฉลองในฐานะวันเฉลิมพระชนมพรรษา และโดยที่พสกนิกรมากหลายรักเทิดทูนพระองค์ จะยกย่องวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นวันรวมใจคนทั้งชาติก็เป็นได้

แต่ถ้าเรายึดถือแนวคิดเรื่องชาติ ว่าหมายถึงชุมชนที่รวมของพลเมืองผู้มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน, วันที่สะท้อนความเป็นชาติไทยที่สุด ก็ควรเป็นวันที่พลเมืองไทยได้สิทธิเสมอภาคนั้นมาเป็นของตน ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจเด็ดขาดสมบูรณ์ของรัฐเหนือร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของตนอีกต่อไป

วันนั้นในประวัติศาสตร์คือวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕

ชาติไทยควรเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา เพื่อพสกนิกรแสดงออกซึ่งความรักเทิดทูนองค์พระประมุขในดวงใจ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลอันใดที่จะไม่ให้ชาติไทยมีวันชาติ เฉลิมฉลองวันชาติ หรือนัยหนึ่งมีและเฉลิมฉลองวันที่ประเทศไทยกลายเป็นประเทศของพลเมืองที่มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน

ชาติไทยน่าจะได้เฉลิมฉลองทั้งวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ ๕ ธันวาคม และวันชาติที่ ๒๔ มิถุนายนของทุกปี และเราก็ได้ทำอย่างนั้นกันมาในอดีตจาก พ.ศ. ๒๔๘๒ (เริ่มประกาศให้ ๒๔ มิถุนาฯ เป็นวันชาติ ปี ๒๔๘๑ และเริ่มฉลองหนแรก ปี ๒๔๘๒) จนรัฐบาลเผด็จการทหารสฤษดิ์ยกเลิกวันชาติไป โดยไม่ถามคนไทยทั้งประเทศสักคำ เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๓

จะเอาอย่างและสืบทอดมรดกเผด็จการสฤษดิ์หรือ? ได้เวลาล้างมรดกทำลาย "วันชาติ" ของสฤษดิ์ - เผด็จการทหารเสือผู้หญิงจอมปล้นชาติ คนนั้นหรือยัง?

 

(หมายเหตุถบทความนี้ เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุ๊ก "Kasian Tejapira" มิจฉาทิฐิแห่งชาติ๑, มิจฉาทิฐิแห่งชาติ๒ และ มิจฉาทิฐิแห่งชาติ๓ วันที่ 25 มิ.ย.56)

บล็อกของ เกษียร เตชะพีระ

เกษียร เตชะพีระ
 ผมได้รับเชิญไปร่วมสนทนาในงานเปิดตัวหนังสือ ความคิดทางสังคมการเมืองของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งปรับปรุงมาจากวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตของอาจารย์ พัชราภา ตันตราจิน แห่งมหาวิทยาลัยบูรพา ที่ปัจจุบันศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อต้นเดือนนี้ เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา ผมอยากนำเอาเนื้อหาที่เตรียมไปส่วนหนึ่งมาเล่าต่อ ณ ที่นี้เพราะไม่มีโอกาสพูดถึงในวันงาน
เกษียร เตชะพีระ
ปรากฏการณ์หมกมุ่นกับรูปโฉมภายนอกเหล่านี้บันดาลใจให้ศิลปินอุนจงเปิดนิทรรศการงานศิลปะของเธอชื่อ “โรงงานร่างกาย” สะท้อนการที่ผู้คนสูญเสียเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำกับร่างกายตัวเองเหมือนมันเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง และสูญเสียความหมายว่าตัวเองเป็นใครไป
เกษียร เตชะพีระ
อีกด้านของจอห์น สจ๊วต มิลล์ นักปรัชญาเสรีนิยม-ประโยชน์นิยม "เผด็จการยังจำเป็นสำหรับสังคมด้อยพัฒนาที่ประชาชนยังไม่พร้อม” และ ความแย้งย้อนของเสรีนิยมบนฐานประโยชน์นิยม: ทำไมเสรีภาพจึงไปได้กับเผด็จการในความคิดของจอห์น สจ๊วต มิลล์?
เกษียร เตชะพีระ
การไต่ระดับของเศรษฐศาสตร์รัดเข็มขัด (austerity economics) สู่ขั้นยึดเงินฝากชาวบ้านมาใช้หนี้เน่าธนาคาร
เกษียร เตชะพีระ
...ข้อเรียกร้องที่ชอบด้วยเหตุผลให้มี “การเมืองที่กำกับด้วยศีลธรรม” บ่อยครั้งเมื่อเอาไปวางในโลกปฏิบัติที่เป็นจริงของสังคมการเมืองไทย รังแต่จะนำไปสู่ “ผู้อวดอ้างสวมสิทธิอำนาจวินิจฉัยตัดสินศีลธรรมทางการเมืองเอาเองโดยพลการและปราศจากการตรวจสอบควบคุม”
เกษียร เตชะพีระ
Kasian Tejapira(1/4/56)สืบเนื่องจากสเตตัสของ บก.ลายจุด เรื่องล้างสมองที่ว่า:
เกษียร เตชะพีระ
จงใจและมีจังหวะบอกกล่าวผู้ชมถึงการเปลี่ยนยุคภาษา, ตลกของเรื่องนี้ไม่ใช่ตลกไทยแบบเก่า, หนังเปลี่ยนขนบการเล่าเรื่อง “แม่นาค พระโขนง”, ไม่ได้รับการเล่าบรรยายแบบเคร่งครัดตามขนบการเล่าเรื่องของความเป็นไทยทางการเลย, ผีแม่นาคแม้น่ากลัว แต่ก็สวยชิบเป๋ง แม้จะทำหน้าดุดัน เหี้ยมเกรียม หลอกเอาบ้าง ขู่บ้าง แต่พูดให้ถึงที่สุด เป็นผี non-violence นะครับ แม่นาคเวอร์ชั่นนี้จึงคล้ายไอ้ฟักในคำพิพากษาที่ตกเป็นจำเลยของชาวบ้านอย่างไม่มีทางแก้ตัว
เกษียร เตชะพีระ
ในภาวะที่แรงส่งด้านบวกจากการลงทุนอุตสาหกรรมเหมืองแร่กำลังจะงวดตัวหมดพลังลงกลางปีนี้ (2013) อีกทั้งผู้บริโภคชาวออสเตรเลียก็ติดหนี้สูงไม่แพ้ผู้บริโภคอเมริกันและพยายามรัดเข็มขัดลดค่าใช้จ่ายลงมาอยู่ เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจออสเตรเลียตัวต่าง ๆ จึงทำท่าจะหมดน้ำมันลง หากรัฐบาลออสเตรเลียดันไปตัดลดงบประมาณรัดเข็มขัดเข้า เศรษฐกิจออสเตรเลียก็จะสะดุดแน่นอน
เกษียร เตชะพีระ
...ภาพรวมของ the growth effects + the expansion effects + the transport effects เหล่านี้ จะไม่ถูกบันทึกนับรวมไว้ใน EIA ฉบับของโครงการย่อยใด ๆ เพราะเอาเข้าจริงมันเป็นผลที่คาดหวังให้เกิดขึ้นของโครงการเมกะโปรเจคต์ลอจิสติกส์ทั้งหมด ด้วยซ้ำ ทว่ามันจะทำให้ไทยและเพื่อนบ้านและ ASEAN ใช้พลังงานและทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล น่าเชื่อว่า Carbon Footprint หรือรอยเท้าคาร์บอนของคนไทยและคน ASEAN จะขยายใหญ่ออกไปอีกบานเบอะ ...
เกษียร เตชะพีระ
โรซ่าชี้ว่ามีระบอบเวลาที่เร่งเร็วขึ้น ๓ ชนิดทำงานผสมผสานกันอยู่ในระยะอันใกล้นี้ ได้แก่: -การเร่งเร็วทางเทคนิค (อินเทอร์เน็ต, รถไฟความเร็วสูง, เตาไมโครเวฟ) -การเร่งเร็วทางสังคม (ผู้คนเปลี่ยนการงานอาชีพและคู่ครองบ่อยขึ้น, ใช้ข้าวของแล้วทิ้งเปลี่ยนใหม่ถี่ขึ้น) -จังหวะดำเนินชีวิตกระชั้นขึ้น (เรานอนน้อยลง, พูดเร็วขึ้น, สื่อสารกับคนรอบข้างน้อยลง, ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันไป)
เกษียร เตชะพีระ
I am an ud-ad man.Living in ud-ad Thailand.I wonder why it is so.Maybe because the general tells me to go....
เกษียร เตชะพีระ
๑๓ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ประมุของค์ใหม่แห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก