อู วิน (นามสมมติ) เคยทำงานเป็นอาสาสมัครขององค์กรคณะกรรมการเพื่อประชาธิปไตยในพม่า (กรพ.) เพื่อช่วยเหลือแรงงานพม่าในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิที่จังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่และระนอง โทรมาหาผู้เขียนด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยในเช้าวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา เขาพูดถึงการเสียชีวิตหมู่ของแรงงานพม่าที่ลักลอบเข้ามาทำงานในเมืองไทย จำนวน 54 ศพ เป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อหลายเดือนก่อน ก่อนที่พื้นที่ของข่าวนี้จะหายไปกับสายลมประหนึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่เดือน.....
อูวิน เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกับผู้เขียนและนับถือกันเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง อายุอานามเข้าใกล้เลขห้าในไม่อีกกี่ปี จึงนับอาวุโสกันด้วยการเรียกขานเขาว่า "อู" ซึ่งในวัฒนธรรมไทยหมายถึงคำเรียก "ลุง น้า หรือ อา", อูวินรู้สึกเศร้า เสียใจ แต่ไม่ประหลาดใจกับข่าวการเสียชีวิตหมู่ 54 ศพของแรงงานพม่าเหมือนคนไทยทั่วไปที่ได้รับข่าวสารในช่วงแรกและเกิดความรู้สึกหดหู่ ระคนตระหนกตกใจกับเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้น เนื่องจาก 15 ปีมาแล้วที่อูวินเข้ามาพึ่งพาอาศัยผืนดินไทยทำมาหากิน เขาพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า ชีวิตแรงงานอพยพชาวพม่าในประเทศไทยดีขึ้นในแง่ของการไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ค่าแรงจากนายจ้าง และตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยความร่วมมือกับพ่อค้าและข้าราชการทุจริต
ชีวิตของแรงงานข้ามชาติชาวพม่าจึงหวานอมขมกลืน ด้านหนึ่งหนีความยากจน และการปกครองที่กดขี่ของรัฐบาลทหารพม่า รวมทั้งยังล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ การเก็บจัดเก็บภาษีแม้ว่าผลผลิตจะไม่ได้ตามฤดูกาล, กฎการบังคับใช้แรงงานในการสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของประเทศ ปัญหาการว่างงาน ค่าแรงต่ำแต่สินค้าราคาแพง ฯลฯ เป็นต้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่งต้องเผชิญกับการเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยที่ผจญกับปัญหาหลายด้าน อาทิ การกดขี่ค่าแรง ถูกโกงค่าแรง ไร้สวัสดิการในการทำงาน ถูกข่มขู่รีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่ทุจริต ตลอดจนตกเป็นเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์
กรณีของโศกนาฏกรรม 54 ศพที่เสียชีวิตบนรถบรรทุกห้องเย็นจากการขาดอากาศหายใจเพราะเครื่องปรับอากาศภายในรถไม่ทำงาน กระทั่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลก สะท้อนให้เห็นมุมมืดที่ซ่อนลึกอยู่ในสังคมไทย แต่กระแสสังคมส่วนใหญ่กลับยังเฉยชาต่อโศกนาฏกรรมดังกล่าว ซึ่งท้าทายกระบวนการต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประเทศที่เรียกตนเองว่าเป็นอารยประเทศอย่างไทยยิ่ง จะมีกระบวนการใดของรัฐที่หยิบยื่นความยุติธรรมแก่แรงงานเหยื่อผู้ประสบเหตุหรือไม่ ปัจจุบันแรงงานผู้ประสบภัยที่รอดชีวิตได้พยายามต่อสู้ในกระบวนการศาลเพื่อเรียกร้องค่าชดเชย จำนวนเงินแม้จะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่พวกเขาต้องการสื่อสารให้สังคมไทยทราบว่า พวกเขามีตัวตน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการปฏิบัติต่อพวกเขาเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่งจากสังคมไทย
แรงงานเสียชีวิต 54 ศพจากการลักลอบขนย้าย (photo:Aljazeera)
เวทีนางงามมิตรภาพไทย-พม่า เวทีเฉพาะหญิงสาวแรงงานพม่าที่ทำงานในจังหวัดระนอง
(ภาพจากเว็บไซต์ระนองดอทคอม)
ในขณะที่สังคมไทยเมินเฉยต่อกรณีโศกนาฏกรรม 54 ศพนั้น อีกด้านหนึ่งกลับเปิดพื้นที่ต้อนรับความสวยงามของหญิงสาวแรงงานพม่า ในเวทีประกวดนางงามมิตรภาพไทย-พม่า ซึ่งจัดขึ้นทุกปีติดต่อกันมาเป็นเวลาสามปีแล้วที่อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ในภาคใต้ของไทย เวทีนี้มีหญิงสาวสวยวัยรุ่นแรงงานพม่าเข้ามาประกวดประชันความงามกันล้นหลามไม่แตกต่างจากเวทีประกวดความงามของนางงามไทยนัก นอกจากนี้ยังเป็นวันที่บรรดาแรงงานพม่าทั่วจังหวัดระนองได้ชื่นชมลูกหลานบนเวที ทั้งยังสามารถหาความบันเทิงได้เต็มที่ เพราะเป็นวันที่แรงงานไม่ถูกตำรวจรบกวนหรือข่มขู่ เสมือนเป็นวันพิเศษที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับความสำราญอย่างเต็มที่ได้หนึ่งวันในปีนั้น
หากเวทีการประกวดนางงามมิตรภาพไทย-พม่า เป็นเวทีของการยอมรับการมีอยู่ของแรงงานพม่า สังคมไทยก็ไม่ควรปฏิเสธการมีอยู่ของกระบวนการค้ามนุษย์ กรณีเช่นโศกนาฏกรรม 54 ศพ ไม่ควรเกิดขึ้นอีกในสังคมไทย และติดตามผู้กระทำผิดมารับโทษ หากเวทีนางงามมิตรภาพไทย-พม่า เป็นพื้นที่มิตรภาพต่อกันจริง ก็ควรตระหนักว่าเรากระทำอะไรอย่างเป็นมิตรต่อพวกเขาบ้าง เราเปิดตาข้างหนึ่งเพื่อรับแต่สิ่งดี แต่กลับปิดตาอีกข้างเพื่อไม่รับรู้การมีอยู่ของความอยุติธรรมต่อแรงงาน หรือไม่