Skip to main content

 

น้องรัก ไปสู่ความสงบที่สุดนะ เวลาของเธอมาถึง  เธอผ่านพ้นความทรมานแล้ว  แม้เรายังไม่ได้พบกัน เสียงเพลงของเธอยังดังกังวานให้ฉันได้ยิน ถ้อยคำที่เธอพูดยังดังแว่วอยู่ในหู เสียงเธอที่สดใสหลังฟังเพลงด้วยกันยังดังอยู่ แม้มือของฉันเอื้อมไปไม่ถึงเธอ  เราจากกันเสียแล้ว    ทำไมหนอชีวิตได้โหดร้ายนัก เธออายุสี่สิบปีเท่านั้นเอง
...........................

                                           คร่ำครวญอยู่ในสายน้ำตา
                                    อยากทำทุกอย่างเพื่อให้เธอมายืนตรงหน้า
                                    คำหมื่นแสนถ้อยมารอ 
                                    เธอไม่ได้นั่งลงฟังอีกแล้ว
                                    บางท่อนของเพลง  ดังแว่วมา
                                    พระเจ้า เราหลงคิดว่าชีวิตคือความสุข
                                    เสียงเปียโน กระแทกทำนองดังก้องอยู่อย่างนั้น
                                    ถ้อยคำของเธอ
                                    หลับใหลอยู่ในความมืดมิด

..........................................

เธอกลายเป็นสายลม เสียงที่ฉันเคยได้ยิน กลับกลายเป็นความเงียบเมื่อ เวลาผ่านไป  เธอไปอยู่ตรงไหนแล้ว บนฟ้ากว้างนั่นใช่ไหม ฉันเงยหน้าขึ้นมอง

นึกถึงคำพูดของเธอเมื่อเรานอนมองก้อนเมฆตอนพลบค่ำ ในทุ่งหลังบ้านพัก พวกเราชอบนอนลงบนหญ้าเย็นๆ สูดกลิ่นหอมของทุ่ง หลายคนส่งใจไปถึงบ้าน ผ่านขอบฟ้ากว้าง เธอพูดว่า หลายคนอยู่บนนั้น  คนที่เราชอบ  บางคนที่รัก ทั้งคนร้องเพลง เล่นดนตรี คนเขียนหนังสือ   เฮ้ เดินกันขวักไขว่เชียว นั่นไง แวนโกะ ฮู้  เธอโบกมือให้ จำได้ว่า พวกเราหัวเราะกันเสียงดัง  พากันโบกมือตามกันใหญ่ แล้วเธอก็ร้องเพลงวินเซ้นท์ที่แสนเศร้า  แปลบางท่อนของเพลงให้ฟัง เสียงของเธอดังกังวาน  ท่ามกลางความมืดของท้องทุ่ง

เจอลุงเชทหรือยัง ใครหลายคนบนนั้นเดินอยู่ใกล้เธอ เป็นคนที่เราต่างรัก พูดถึงได้ไม่รู้เบื่อ เธอคงเป็นสุขมากเพราะได้อยู่ในที่ที่ชอบ  เป็นคนหนึ่งในที่นั้นแล้ว  ได้พบเจอคนที่เธอร้องเพลงของเขาทุกคน ได้คุยกับคนเขียนหนังสือเล่มที่เธออ่าน  ฉันโบกมือให้ เธอเห็นหรือเปล่า  มีบางเรื่องที่เราคุยกันค้างไว้ หนังสือบางเล่มยังอ่านไม่จบ  เพลงบางเพลงที่เรายังอยากพูดถึง

แม้ถ้อยคำของเพลงนั้นทำให้ฉันร้องไห้เสียงดังขึ้น   ฉันจะบอกเล่าผ่านท้องฟ้าไปถึงเธอเสมอ  เธอรู้ใช่ไหม  แล้วในสมุดบันทึกเล่มเล็ก ยังมีลายมือของเธออยู่
  ฉันมองเห็นหน้าเธออยู่ในนั้น

ตอนที่เธออยู่บนโลก เธอบ่นให้ฟังถึงความยากลำบากทั้งหลายของการมีชีวิตอยู่ กว่าจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เลือดตาแทบกระเด็น เธอบอกว่าศิลปินทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น ตายไปแล้วถึงจะมีคนยกย่องเชิดชู งานมีค่ามีราคา ตอนมีชีวิตอยู่ ลำบากสาหัสสากรรจ์  เธอรู้ซึ้งแล้ว ชีวิตมันเล่นตลกอย่างนั้นจริงๆ เธอบอก

ถึงกระนั้นเธอยังบอกว่าได้เจียดเงินที่เล่นดนตรีได้ไปช่วยคนที่เป็นเอดส์ ได้ค่าจ้างเล่นดนตรีคืนละเท่าไรเล่าน้องรัก จำได้ว่าฉันถามเธอเสียงดัง เธอหัวเราะเหมือนเคย สามร้อยครับพี่  สามร้อยบาทเองยังมีเหลือไปให้คนอื่นอีก  ฉันพูด  ทั้งที่รู้ว่า นั่นเป็นความงดงามในใจของเธอที่ฉันเคยเจอเสมอ ฉันถึงไม่แปลกใจที่เธอทำอย่างนั้น


ช่วงชีวิตหนึ่ง มันช่างแสนสั้น แม้มีเรื่องค้างคาที่ยังไม่ได้ทำอีกมาก หากเมื่อถึงเวลา เราคงไม่มีสิทธิ์ต่อรองโอดครวญ  ความตายช่างเยียบเย็น ปวดร้าวอย่างนี้เสมอ

ถึงอย่างไรเธอได้ทำสิ่งที่มีค่า เธอคงรู้ว่า เธออยู่ในใจของฉันและคนรอบข้างเสมอ เธอจะยังอยู่ตรงนั้น เพราะสิ่งเดียวเท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกทำลายของกาลเวลา  คือความทรงจำที่เรามีร่วมกัน  สิ่งดีๆที่เธอเคยทำให้ฉันและเพื่อน   ฉันอยากขอบคุณเธอ นี่คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดไว้ว่าจะทำตอนที่เราได้พบกัน

ยังมีเรื่องที่ฉันบอกกล่าวเธอไว้ว่า ช่วยปั่นจักรยานไปตามเส้นทางเก่าๆที่ฉันเคยไปฝึกงาน เหล่านั้นด้วย เธอยังหัวเราะฉันแล้วถามน้ำเสียงจริงจังว่าจะไปทำไม  ฉันบอกว่า ฉันบอกว่าไว้เขียนนิยาย  เธอบอกว่าโอ้ย อยากอ่าน ว่าแต่ว่าจะมีไอ้บ้าคนนี้ด้วยไหมเนี่ย ฉันบอก ให้เธอเป็นพระเอกก็แล้วกัน เธอหัวเราะจนสุดเสียง

เราไม่ได้พบกันแล้ว เดือนหน้าของเรา ผ่านไป เธอกลายเป็นสายลม เมฆหมอก  เธออยู่ตรงไหนของท้องฟ้าเล่า ฉันอยากให้เธอเห็นว่า ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ คิดถึงเธอเหลือเกิน
  เธอคงเป็นสุขมากแล้วในตอนนี้ ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องทรมานอีกแล้ว

                                  โบกมือจนสุดแขน ให้ฟ้ากว้าง
                            เห็นไหมเส้นทางใหม่ของเธอ
                            ดอกไม้ยังสวย แดดอุ่นยังส่อง
                            เป็นนิรันดร์
                            ฉันหันหลังกลับเส้นทางเก่า เปียกปอนกลางฝน
                            เสียงเพลงยังดังแว่วมา  
                            ลาก่อน ลาก่อน ลาก่อน

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอเป็นเพื่อนฉัน เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมนั่นแล้ว แม้ว่าฉันจะเป็นเด็กเรียนที่นั่งโต๊ะตัวแรกกลางห้องของ แถวที่สามจากโต๊ะทั้งหมดห้าแถว ครูจะมายืนที่หน้าโต๊ะของฉันทุกคน เวลาครูสอน น้ำลายจากปากครูจะกระเด็นลงบนหัวฉัน ฉันต้องคอยเอาสมุดปิดหัวไว้และสระผมทุกวัน ทุกครั้งที่สอบฉันจะได้ตำแหน่งที่หนึ่งหรือที่สองของห้องเสมอ เธอนั่งอยู่โต๊ะรองสุดท้ายของแถวที่ห้าของห้อง
มาลำ
พี่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งบนโลกใบนี้ แม้พี่จะเป็นนักเขียนที่ฉันหลงรักตั้งแต่หัดอ่านหนังสือ แต่ก็เพียงชื่นชอบอยู่ไกลๆ เราพบกันที่ร้านเล่าเสมอ เวลามีกิจกรรมต่างๆ พี่จะมากันทั้งครอบครัวพ่อ แม่ ลูกสาว ลูกชาย ฉันมักแอบมองพี่แล้วทึ่งในถ้อยคำที่พี่เขียน มันออกมาจากส่วนไหนของพี่หนอ ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันต้องเป็นที่หัวใจแน่ๆเลย เพราะพี่ดูเป็นคนดีเหลือเกิน
มาลำ
ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ ขี้โกรธ เอาแต่ใจตัวเอง สกปรก ชอบเกี่ยงงานให้พี่สาวทำงานหนักจนตัวแคระแกร็น ส่วนตัวชอบหนีเที่ยว ไปเก็บเห็ดบ้าง ไปตกปลาบ้าง ทั้งที่รู้ว่า กลับมาบ้านแม่จะตีฉันจนยับเยิน หากแต่ฉันไม่เคยนึกกลัว เจ็บแล้วหายวันรุ่งขึ้นไปใหม่
มาลำ
ฝนตกพรำๆ เจ้าหลานสาวอายุสิบหกของฉัน ที่แม่น้องสาวฝากให้ดูแล ส่งเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นมอสี่ยังไม่เข้าบ้าน  นาฬิกาข้างฝาบอกเวลายี่สิบสองนาฬิกา เกิดอะไรขึ้นกับเธอหนอ ในอกของฉันเหมือนถูกไฟโลกันต์แผดเผา โทรหาอย่างไรเธอก็ไม่รับสายเหมือนเธอล่องหน ไปไหนหนอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง เธอทำอะไร อยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่เข้าบ้าน ออกไปตามที่ไหนดี และถ้าอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอ ใครหนอจะช่วยเธอได้
มาลำ
ศรีตรังคลี่กลีบสีม่วงสวยออกมาแย้มยิ้ม  ทักทายสายลมร้อน เฉลา อินทนิล โบกกลีบ มาถึงแล้วสีม่วงสุดสวย ละมุนละไม แดดร้อนตอนเที่ยงวัน เนื้อตัวเหมือนแสบไหม้ ไอร้อนจากถนนโชยมา ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน หาต้นไม้ในหัวใจสักต้น โน่นไง ฉันก้าวเท้าเข้าไปหา ไฮเดรนเยียสีโปรดของฉัน สีม่วงครามกำลังบาน บ่ายแล้ว ผู้หญิงหน้าตาไหม้เกรียมกำลังหอบต้นไม้ออกดอกสีม่วงขึ้นรถมุ่งตรงไปวัด
มาลำ
บ้านของย่าอยู่ริมฝั่งคลอง เป็นบ้านไม้ยกสูง เวลาเดินแผ่นไม้ในบ้านส่งเสียงดังตามจังหวะการเดิน ย่าคอยบอก เดินค่อยๆนะลูก ย่องๆเดินนะทำเป็นไหม จะได้ไม่มีเสียงดัง ย่าชอบทำขนม ที่บ้านย่าจึงมีหลานๆเต็มบ้าน  ลูกๆของน้าชาย น้าสาวและพี่น้องของฉันอีกหกคน หนึ่งในเด็กหลายคนนั้น มีอยู่คนเดียวที่เป็นเหตุผลของการขอแม่ไปนอนบ้านย่าของฉัน เขาเป็นลูกของน้าสาว อายุเท่าฉัน ตัวโต ผิวคล้ำ ดวงตาเขาเศร้า ท่าทีเงียบขรึม   เขาว่ายน้ำเก่ง จับปลาได้คล่องแคล่ว   ไม่มีท่าทีรำคาญที่พี่สาวอย่างฉัน คอยเดินตามเขา คอยถามโน่นถามนี่ตลอดเวลา ฉันติดเขาแจจนย่าออกปาก ระวังนะ เหาบนหัวจะกระโดดมาหากัน…
มาลำ
น้ำในคลองวังหยีสีเขียวเข้ม ชื่อคลองวังหยีเพราะมีต้นหยีต้นใหญ่อยู่ริมฝั่ง เป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านทุ่งนากว้างใหญ่ของหมู่บ้าน น้ำจะไหลเชี่ยวและกัดเซาะทุกอย่างที่ขวางหน้า ก่อนจะไหลข้ามสะพาน น้ำจะไหลเอื่อยลงไปในแอ่งลึกที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกว่าวัง น้ำในวังจะสีเขียวเข้มกว่าส่วนอื่น เพราะความลึกของมัน แค่เพ่งมองฉันก็นึกกลัวขึ้นมา ยิ่งแว่วเสียงคนบอกเล่า มีผีพรายอยู่ในวังด้วยนะ ผีพรายเป็นผู้หญิงผมยาวที่เฝ้าอยู่ในวัง เวลาเล่นน้ำระวังเถิดมันจะมาดึงขาลากลงไปอยู่ในวังด้วยกัน ฉันกลัวจนตัวสั่น ทำให้ฉันต้องลืมตาทุกครั้งเวลาดำน้ำ หลังไปช่วยแม่เก็บน้ำยางที่สวน…
มาลำ
  หนังสือชื่อ ผมเป็นมะเร็งอายุ 5 ขวบ วางอยู่บนโต๊ะของฉันมานาน ฉันทำได้แค่มองผ่าน ทั้งที่อยากจะเปิดอ่านเหลือเกิน ฉันชอบอ่านหนังสือเพราะโลกของฉันมันแสนเศร้า เวลาที่ปวดร้าวฉันต้องนั่งลงเปิดหนังสือแล้วทุ่มตัวลงอ่าน อ่านเหมือนคนที่ไม่เคยได้อ่านมาตลอดชีวิต นึกถึงคำของแม่เวลาที่ฉันช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ฉันช่วยแม่ตำน้ำพริก แม่จะโวยวายใส่ฉันทุกครั้งที่ฉันวางหนังสือไว้ข้างตัว แม่บอกว่าเลิกอ่านก่อน ทำงานให้แม่เสร็จก่อน ฉันหัวเราะแล้วหยิบเอากระดาษห่อของยกขึ้นมาอ่าน ตำน้ำพริกไปด้วยสำหรับหนังสือเล่มนี้ของฉัน แค่มองเห็นหน้าเด็กชายคนนี้ที่นอนชูสองนิ้วยิ้มหวานปากแดงแล้วบอกว่า…
มาลำ
  น้องรัก ไปสู่ความสงบที่สุดนะ เวลาของเธอมาถึง  เธอผ่านพ้นความทรมานแล้ว  แม้เรายังไม่ได้พบกัน เสียงเพลงของเธอยังดังกังวานให้ฉันได้ยิน ถ้อยคำที่เธอพูดยังดังแว่วอยู่ในหู เสียงเธอที่สดใสหลังฟังเพลงด้วยกันยังดังอยู่ แม้มือของฉันเอื้อมไปไม่ถึงเธอ  เราจากกันเสียแล้ว    ทำไมหนอชีวิตได้โหดร้ายนัก เธออายุสี่สิบปีเท่านั้นเอง ...........................                                     …
มาลำ
เสียงเธอดังแว่วแผ่วมาตามสาย อยู่โรงพยาบาลครับพี่ ท้องบวมแล้วเหนื่อยมาก หมอให้นอนให้น้ำเกลือ เหนื่อยครับเหนื่อยจัง เธอพูดเหมือนเพ้อ ฟังไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน บางตอนเหมือนคนไข้ที่กำลังแย่แล้วเสียงหอบหายใจแรงดังเข้ามาในสาย ฉันตกใจ ละล้าละลัง ฟังเธอพูดแล้วนึกอยากไปให้ถึงตัวเธอในเดี๋ยวนั้น เธอยื่นหูโทรศัพท์ไปให้แม่ของเธอที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง หลังจากที่เธอพูดสลับหอบให้ฉันฟังอยู่นาน ฉันจึงได้รู้ว่าอาการของเธอไม่ค่อยดี แม่บอกว่าหมอจำหน่ายแล้ว ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ ถามกลับแม่ไปว่า แล้วเธอจะกลับบ้านได้อย่างไรหล่ะแม่ เธอเหนื่อยออกจะแย่อย่างนั้น แค่ลุกจากเตียง เธอยังลุกไม่ไหวใช่ไหม…
มาลำ
เสียงของเธอดังผ่านสายโทรศัพท์มาในค่ำวันหนึ่ง ผมจะบวชกลางเดือนนี้ครับ โทรมาให้พี่อโหสิกรรมให้ด้วย ฉันถามเธอว่า บวชนานแค่ไหนเล่า เธอตอบว่า หนึ่งเดือนครับ ฉันบอกเธอว่าดีมากเลยที่ได้มีเวลาอย่างนี้ อย่างน้อยเป็นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น หลังจากที่เราต้องเผชิญกับเรื่องราวหนักหน่วงของชีวิต ฉันอนุโมทนาด้วย ขอให้ใช้วันเวลาในผ้าเหลืองอย่างเป็นสุข หลังจากวันนั้นเสียงเธอหายไป ฉันนึกถึงวันผ่านที่เราเคยโบกรถไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด ฉันและเพื่อนห้าคนรวมทั้งเธอผู้อาสาเป็นคนนำทาง เราเล่นน้ำในน้ำตกมวกเหล็ก ก่อนจะนั่งรถต่อไปดูฟาร์มโคนม วังตะไคร้ สายลมผ่านเนื้อตัวเย็นชื่น…
มาลำ
ใครจะนึกว่าเธอต้องเดินเข้าไปในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ โรงพยาบาลนี้ เธอเคยเดินมาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเด็กในโรงพยาบาลที่คุ้นเคยกับทุกคน เป็นโรงพยาบาลที่ฉันเคยไปฝึกงาน ได้รู้จักกับเธอในครั้งแรกเธอเดินเข้าไปตรวจ เป็นอะไรไม่รู้ครับ มันแน่นๆท้อง กินอะไรไม่ค่อยลง หมอที่ตรวจก็เป็นหมอรู้จักกัน กดท้องของเธอแล้วบอกเบาๆว่าตับโตมาก เธอกินเหล้ามากเกินไปหรือเปล่า สูบบุหรี่ด้วยใช่ไหม ลดลงบ้างนะ หมอบอกเธอกี่ปีแล้วนะที่ใช้ชีวิตอย่างนี้ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เธอรำพึงหลังปั่นจักรยานกลับบ้าน คำพูดหมอดังแว่วมา สงสัยเป็นตับแข็งนะ ต้องทำอัลตราซาวด์ดูแล้ว วันคืนของเธอกำลังสั้นลงแล้ว…