Skip to main content

เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก  ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี  ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน  เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน  เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร   เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์

\\/--break--\>
ชีวิตบางคราวร้อนรน  หมองหม่นเกาะคืนข้ามวัน
มีสุขมาเยือนเพียงสั้นๆ
โศกนั้นเกาะกุมแนบเนียน
ยิ้มหัวบางคราวหมองเศร้า ก้าวเดินโอดโอยไปวันๆ
มืดแล้วไร้นวลแสงจันทร์  ข้ามคืนลำบากทุกข์ทน
ก็เคยวาดความหวัง  ก็เคยพลาดความหวัง
ก็เคยกุมบาดแผล ก็เคยนั่งเย็บบาดแผล
เป็นหมาจรโซซัดโซเซ ร่อนเร่หาที่ซุกหัวนอน
เป็นหมาจรไร้หัวนอนปลายตีน เดินหยั่งรู้เม็ดดินหินทราย
ถามทางหาทางถึงวันนี้ ร้ายดีขาวดำยังทักทาย
ให้ผ่านเถอะเรื่องเลวร้าย
กล้าท้าทายกับวันที่เวียนมา

ฉันชอบเพลงนี้มาก เป็นเพลงแรกที่เธอเขียนแล้วร้องให้ฉันฟัง มันกระทบใจฉันตรงเวลา ในขณะที่ฉันกำลังเหนื่อยล้าจากการทำงาน ได้ยินเพลงนี้แล้วน้ำตารื้น ฟังแล้วรู้สึกมีความหวัง ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมันจะเลวร้ายอย่างไร หากแต่เรายังเชื่อมั่นและตั้งใจจริง  เราก็ยังก้าวไปข้างหน้าได้  ฉันบอกเธอว่า อย่าท้อถอยนะ เขียนเพลงแล้วเดินทางต่อ
ฉันบอกเธออย่างนั้น

เธอออกเดินทางต่อไป พักอยู่กับเพื่อนที่ทำงานชุมชนคนรักป่าที่สุรินทร์  เธอนอนอยู่ในห้องใต้บันได เป็นห้องทำงาน ต้องรอให้เขาเลิกงานก่อน  ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อให้คนอื่นเขามาทำงานกัน บางคนแสดงสีหน้าใส่เธอ เหมือนเธอเป็นผ้าขี้ริ้วที่น่ารังเกียจ เธอเล่าให้ฉันฟังด้วยน้ำเสียงที่เข้าใจ เธอบอกว่าเธอรู้แต่เธอเลือกแล้วและไม่เปลี่ยนใจ 

เธอโทรมาหาฉันบ่อยขึ้น น้ำเสียงเธออ่อนล้าปวดร้าว ฉันรู้วันคืนได้เคี่ยวกรำหัวใจเธออย่างหนักหน่วง  ฉันเฝ้าให้กำลังใจเธอ บอกเธอว่า เธอต้องพบหนทางที่งดงามของเธอสักวันหนึ่ง  เวลาที่รอคอยมันคงทุกข์ทรมาน แต่ให้เธอเชื่อมั่นเถิด เธอเป็นคนดีและตั้งใจจริง  ฉันรู้ว่าเธอจะพบหนทางของเธออีกไม่นาน อย่าท้อแท้นะ ฉันพร่ำบอกเธอ ให้เข้มแข็งเข้าไว้ ก้าวข้ามความทุกข์ของวันนี้ไปให้ได้เถอะนะ

แล้วเธอแต่งเพลงชื่อเพลง  คืนหนึ่ง  ที่นี่  แล้วร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์เหมือนเคย  เสียงเธอดังมาตามสายในตอนพลบค่ำวันนั้น                           

จันทร์แหว่งลอยคว้างบนฟ้ากว้าง                                                         
ฉันเดินอ้างว้างกลางซอยเปลี่ยว
ฉันเดินเหงาเหงาเพียงคนเดียว
คนเดียวดวงใจคนเดียว
บ่นพร่ำบทเพลงฮือ ฮือ ฮา  ฮา
ไม่มีเนื้อหาชัดถ้อยคำ
ลมเย็นพัดหนาวผ่านมาซ้ำ
ซ้ำกายซ้ำใจให้เจ็บชา
ดาวดวงไหนหนอคือดวงตาดวงใจ
ยิ้มให้คำปลอบคำอ่อนโยน
หูกวางทิ้งใบร่วงหล่น
ลมวนทุบตีโบยตี
ผ่านหนองน้ำ แมงค่ำคืนร่ำร้อง
เสียงเคาะเหล็กก้องบอกโมงยาม
เดินไปไหนหนอใจคิดตาม
เป็นคำถามเป็นคำย้ำบนทางเดิน
เป็นคำถามเป็นคำย้ำให้กล้าเดิน

ฉันบอกเธอว่าเพราะจัง ฉันชอบ  เพลงของเธอไหลออกมาเป็นสายน้ำที่ชุ่มเย็นในวันที่แสนอบอ้าว  เธอหัวเราะ ฟังตอนพลบค่ำ แม้จะดูเหงา แต่เรามีความหวังอยู่ในเพลงนั้น  ฉันดีใจที่ได้ยินเพลงของเธอ  รู้ว่าเธอยังก้าวเดินต่อ

เธอเดินทางต่อ  มาพักกับพี่นักเขียน เพื่อเขียนหนังสือ บ้านเช่าของเขาอยู่แถวบางกระสอ เมืองนนทบุรี วันคืนของเธอผ่านไปอย่างหนักหน่วง  ยิ่งชีวิตบีบคั้นเคี่ยวกรำเธอเท่าไหร่ แรงบีบจะส่งออกมาเป็นเรี่ยวแรงในการทำงาน เธอเฝ้าเขียนงาน เขียนและเขียนเพื่อปลดปล่อยทุกข์

ที่นี่เธอเขียนเพลง ชื่อ คือเพื่อน  เป็นเพลงที่งดงามมากเพลงหนึ่งของเธอ

เธอคือเพื่อนฉัน  
เธอฝันไปไกลแสนไกล
เธอมีความหวังมากมาย
เป็นพันธุ์ไม้งามของแผ่นดิน
โอบใจเธอไว้ให้ไออุ่น  เพิ่มพูนพลังใจ
สิ่งสูญเสียจะรู้ด้วยเข้าใจ
สิ่งเลวร้ายให้ผ่านเป็นบทเรียน
เขียนชีวิตด้วยสองมือที่กล้า
ผ่านเหนื่อยล้าด้วยสายตาที่แกร่ง
แม้ลมฝนโถมมาแรงๆ
น้ำใสๆยังชื่นฉ่ำเย็น
เธอคือเพื่อนฉัน
คืนวันเธออยู่เป็นอย่างไร
เจ็บปวดกับความหวังมากเท่าไหร่
ใครปะชุนต่อเติมยามฝันร้าย
ฉันหวังให้เธอเป็นดั่งพืชน้ำ
แตกดอกบานเหนือน้ำใส
ผลิยอดทอดก้านล้อลมไกว
เติบโตใต้ฟ้าตะวันจันทร์

ฉันบอกเธอว่าเพลงเพราะมากๆ เป็นเพลงที่ดีของเธอ  ฉันชอบทุกประโยคของเพลงนี้ มันกลั่นออกมาจากหัวใจที่ดีงามของเธอ  เธอเป็นอย่างนั้นเสมอมา เป็นพันธุ์ไม้งามของแผ่นดินที่เติบโตใต้ฟ้าตะวันจันทร์ เป็นเพลงให้กำลังใจทุกคน ฉันบอกเธอว่า เธอเก็บไว้ร้องให้ฉันฟังด้วยนะยามที่เราพบกัน  เธอบอกว่าร้องให้ฟังแน่นอน

แล้วโชคชะตาก็เปลี่ยนชีวิตที่ตั้งมั่นจริงๆจนได้ หรือฟ้ามองเห็นแล้วว่าคนหนุ่มที่มุ่งมั่นเดินทางคนนี้  ถึงเวลาแล้วที่หนทางของเธอจะแจ่มชัดขึ้นมาจากภาพฝันเสียที เธอขึ้นมาช่วยทำหนังสือที่ชื่อ เสียงภูเขา ที่เชียงใหม่ เธอทุ่มเทให้กับหนังสือเล่มนี้มาก เป็นหนังสือที่ทำให้เธอค้นพบทางเดินของชีวิต เธอพบเส้นทางที่รอคอยแล้ว  

เธอรู้แล้วว่าชีวิตเธอนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เธอกลายเป็นนักเขียนไปแล้ว เธอทุ่มเทให้งานเขียนอย่างจริงจังและจริงใจที่สุด เพราะทั้งชีวิตเธอเป็นอะไรไม่ได้อีกแล้ว  เธอบอกฉันอย่างนั้น  ฉันบอกเธอว่า  นั่นไงหนทางของเธอมันชัดเจนขึ้นเองแล้ว วันที่รอคอยของเธอมาถึงแล้ว

เธอนั่งลงเขียนหนังสือด้วยพิมพ์ดีด วันคืนผ่านไปวันแล้ววันเล่า เธออดทนใช้ชีวิต นั่งอยู่อย่างนั้นเหมือนคนที่ไม่หวาดหวั่นต่ออะไรทั้งสิ้น ฟ้าคงเห็นแล้วว่าเธอมุ่งมั่นเพียงไหน ฟ้ากลัวคนจริงที่มีความเพียร ความทุกข์ล่าถอยอย่างอ่อนล้าที่เห็นเธอไม่ย่อท้อต่อความลำบาก  แม้วันคืนจะเคี่ยวกรำ ทุกข์ยาก เธอไม่ได้หวาดหวั่นมันเลย

เธอออกเดินทางสู่ภูเขาทุกลูกที่เธอฝ่าข้าม  เส้นทางทุกเส้นที่อยากไป แม่น้ำทุกสาย ที่เธอเดินข้ามผ่าน เป็นเหมือนต้นทุนชีวิตที่เธอทุ่มเท เธอแผ้วถางทางของตัวเอง ทุ่มทั้งกายและใจทั้งชีวิต เพื่องาน  ดิ้นรนและค้นหา เพื่อฝ่าข้ามหนทางทุกข์ ไปให้ถึงสิ่งที่เธอฝัน 

เธออดทนวันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป   เดินทาง  เขียนหนังสือ เขียนเพลงทำอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน  ผมยาวรกรุงรัง เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ  ร่างกายซูบผอมเกรียม  ความลำบากรุมล้อมอยู่รอบๆตัวเธอ  มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่อ่อนโยน งดงาม  อบอุ่นเสมอ  มันมีความเชื่อมั่น มีพลัง  และบอกโลกว่า เธอจะไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …