เธอออกเดินทางเร่ร่อนในกรุงเทพ ไปนอนที่บ้านของน้องชายคนที่เธอรักและสนิทด้วยมากๆ เป็นน้องชายที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทำหนังสือเลโคลนจุลสาร ทำให้รักและผูกพันกันมาก ไปนอนตามผับของเพื่อนนักดนตรี ห้องแคบและร้อนอบอ้าว ใช้เวลาแต่ละวันอย่างอดทน เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง เหมือนชีวิตต้องขับเคี่ยวให้ผ่านไปในแต่ละวัน เธอปวดร้าวกับสิ่งแสวงหาและความฝัน แต่เธอไม่ท้อถอย เธอสู้ต่อ แล้วเธอก็แต่งเพลงชื่อเพลง หมาจร เธอร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์
\\/--break--\>
ชีวิตบางคราวร้อนรน หมองหม่นเกาะคืนข้ามวัน
มีสุขมาเยือนเพียงสั้นๆ
โศกนั้นเกาะกุมแนบเนียน
ยิ้มหัวบางคราวหมองเศร้า ก้าวเดินโอดโอยไปวันๆ
มืดแล้วไร้นวลแสงจันทร์ ข้ามคืนลำบากทุกข์ทน
ก็เคยวาดความหวัง ก็เคยพลาดความหวัง
ก็เคยกุมบาดแผล ก็เคยนั่งเย็บบาดแผล
เป็นหมาจรโซซัดโซเซ ร่อนเร่หาที่ซุกหัวนอน
เป็นหมาจรไร้หัวนอนปลายตีน เดินหยั่งรู้เม็ดดินหินทราย
ถามทางหาทางถึงวันนี้ ร้ายดีขาวดำยังทักทาย
ให้ผ่านเถอะเรื่องเลวร้าย
กล้าท้าทายกับวันที่เวียนมา
ฉันชอบเพลงนี้มาก เป็นเพลงแรกที่เธอเขียนแล้วร้องให้ฉันฟัง มันกระทบใจฉันตรงเวลา ในขณะที่ฉันกำลังเหนื่อยล้าจากการทำงาน ได้ยินเพลงนี้แล้วน้ำตารื้น ฟังแล้วรู้สึกมีความหวัง ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมันจะเลวร้ายอย่างไร หากแต่เรายังเชื่อมั่นและตั้งใจจริง เราก็ยังก้าวไปข้างหน้าได้ ฉันบอกเธอว่า อย่าท้อถอยนะ เขียนเพลงแล้วเดินทางต่อ ฉันบอกเธออย่างนั้น
เธอออกเดินทางต่อไป พักอยู่กับเพื่อนที่ทำงานชุมชนคนรักป่าที่สุรินทร์ เธอนอนอยู่ในห้องใต้บันได เป็นห้องทำงาน ต้องรอให้เขาเลิกงานก่อน ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อให้คนอื่นเขามาทำงานกัน บางคนแสดงสีหน้าใส่เธอ เหมือนเธอเป็นผ้าขี้ริ้วที่น่ารังเกียจ เธอเล่าให้ฉันฟังด้วยน้ำเสียงที่เข้าใจ เธอบอกว่าเธอรู้แต่เธอเลือกแล้วและไม่เปลี่ยนใจ
เธอโทรมาหาฉันบ่อยขึ้น น้ำเสียงเธออ่อนล้าปวดร้าว ฉันรู้วันคืนได้เคี่ยวกรำหัวใจเธออย่างหนักหน่วง ฉันเฝ้าให้กำลังใจเธอ บอกเธอว่า เธอต้องพบหนทางที่งดงามของเธอสักวันหนึ่ง เวลาที่รอคอยมันคงทุกข์ทรมาน แต่ให้เธอเชื่อมั่นเถิด เธอเป็นคนดีและตั้งใจจริง ฉันรู้ว่าเธอจะพบหนทางของเธออีกไม่นาน อย่าท้อแท้นะ ฉันพร่ำบอกเธอ ให้เข้มแข็งเข้าไว้ ก้าวข้ามความทุกข์ของวันนี้ไปให้ได้เถอะนะ
แล้วเธอแต่งเพลงชื่อเพลง คืนหนึ่ง ที่นี่ แล้วร้องให้ฉันฟังทางโทรศัพท์เหมือนเคย เสียงเธอดังมาตามสายในตอนพลบค่ำวันนั้น
จันทร์แหว่งลอยคว้างบนฟ้ากว้าง
ฉันเดินอ้างว้างกลางซอยเปลี่ยว
ฉันเดินเหงาเหงาเพียงคนเดียว
คนเดียวดวงใจคนเดียว
บ่นพร่ำบทเพลงฮือ ฮือ ฮา ฮา
ไม่มีเนื้อหาชัดถ้อยคำ
ลมเย็นพัดหนาวผ่านมาซ้ำ
ซ้ำกายซ้ำใจให้เจ็บชา
ดาวดวงไหนหนอคือดวงตาดวงใจ
ยิ้มให้คำปลอบคำอ่อนโยน
หูกวางทิ้งใบร่วงหล่น
ลมวนทุบตีโบยตี
ผ่านหนองน้ำ แมงค่ำคืนร่ำร้อง
เสียงเคาะเหล็กก้องบอกโมงยาม
เดินไปไหนหนอใจคิดตาม
เป็นคำถามเป็นคำย้ำบนทางเดิน
เป็นคำถามเป็นคำย้ำให้กล้าเดิน
ฉันบอกเธอว่าเพราะจัง ฉันชอบ เพลงของเธอไหลออกมาเป็นสายน้ำที่ชุ่มเย็นในวันที่แสนอบอ้าว เธอหัวเราะ ฟังตอนพลบค่ำ แม้จะดูเหงา แต่เรามีความหวังอยู่ในเพลงนั้น ฉันดีใจที่ได้ยินเพลงของเธอ รู้ว่าเธอยังก้าวเดินต่อ
เธอเดินทางต่อ มาพักกับพี่นักเขียน เพื่อเขียนหนังสือ บ้านเช่าของเขาอยู่แถวบางกระสอ เมืองนนทบุรี วันคืนของเธอผ่านไปอย่างหนักหน่วง ยิ่งชีวิตบีบคั้นเคี่ยวกรำเธอเท่าไหร่ แรงบีบจะส่งออกมาเป็นเรี่ยวแรงในการทำงาน เธอเฝ้าเขียนงาน เขียนและเขียนเพื่อปลดปล่อยทุกข์
ที่นี่เธอเขียนเพลง ชื่อ คือเพื่อน เป็นเพลงที่งดงามมากเพลงหนึ่งของเธอ
เธอคือเพื่อนฉัน
เธอฝันไปไกลแสนไกล
เธอมีความหวังมากมาย
เป็นพันธุ์ไม้งามของแผ่นดิน
โอบใจเธอไว้ให้ไออุ่น เพิ่มพูนพลังใจ
สิ่งสูญเสียจะรู้ด้วยเข้าใจ
สิ่งเลวร้ายให้ผ่านเป็นบทเรียน
เขียนชีวิตด้วยสองมือที่กล้า
ผ่านเหนื่อยล้าด้วยสายตาที่แกร่ง
แม้ลมฝนโถมมาแรงๆ
น้ำใสๆยังชื่นฉ่ำเย็น
เธอคือเพื่อนฉัน
คืนวันเธออยู่เป็นอย่างไร
เจ็บปวดกับความหวังมากเท่าไหร่
ใครปะชุนต่อเติมยามฝันร้าย
ฉันหวังให้เธอเป็นดั่งพืชน้ำ
แตกดอกบานเหนือน้ำใส
ผลิยอดทอดก้านล้อลมไกว
เติบโตใต้ฟ้าตะวันจันทร์
ฉันบอกเธอว่าเพลงเพราะมากๆ เป็นเพลงที่ดีของเธอ ฉันชอบทุกประโยคของเพลงนี้ มันกลั่นออกมาจากหัวใจที่ดีงามของเธอ เธอเป็นอย่างนั้นเสมอมา เป็นพันธุ์ไม้งามของแผ่นดินที่เติบโตใต้ฟ้าตะวันจันทร์ เป็นเพลงให้กำลังใจทุกคน ฉันบอกเธอว่า เธอเก็บไว้ร้องให้ฉันฟังด้วยนะยามที่เราพบกัน เธอบอกว่าร้องให้ฟังแน่นอน
แล้วโชคชะตาก็เปลี่ยนชีวิตที่ตั้งมั่นจริงๆจนได้ หรือฟ้ามองเห็นแล้วว่าคนหนุ่มที่มุ่งมั่นเดินทางคนนี้ ถึงเวลาแล้วที่หนทางของเธอจะแจ่มชัดขึ้นมาจากภาพฝันเสียที เธอขึ้นมาช่วยทำหนังสือที่ชื่อ เสียงภูเขา ที่เชียงใหม่ เธอทุ่มเทให้กับหนังสือเล่มนี้มาก เป็นหนังสือที่ทำให้เธอค้นพบทางเดินของชีวิต เธอพบเส้นทางที่รอคอยแล้ว
เธอรู้แล้วว่าชีวิตเธอนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เธอกลายเป็นนักเขียนไปแล้ว เธอทุ่มเทให้งานเขียนอย่างจริงจังและจริงใจที่สุด เพราะทั้งชีวิตเธอเป็นอะไรไม่ได้อีกแล้ว เธอบอกฉันอย่างนั้น ฉันบอกเธอว่า นั่นไงหนทางของเธอมันชัดเจนขึ้นเองแล้ว วันที่รอคอยของเธอมาถึงแล้ว
เธอนั่งลงเขียนหนังสือด้วยพิมพ์ดีด วันคืนผ่านไปวันแล้ววันเล่า เธออดทนใช้ชีวิต นั่งอยู่อย่างนั้นเหมือนคนที่ไม่หวาดหวั่นต่ออะไรทั้งสิ้น ฟ้าคงเห็นแล้วว่าเธอมุ่งมั่นเพียงไหน ฟ้ากลัวคนจริงที่มีความเพียร ความทุกข์ล่าถอยอย่างอ่อนล้าที่เห็นเธอไม่ย่อท้อต่อความลำบาก แม้วันคืนจะเคี่ยวกรำ ทุกข์ยาก เธอไม่ได้หวาดหวั่นมันเลย
เธอออกเดินทางสู่ภูเขาทุกลูกที่เธอฝ่าข้าม เส้นทางทุกเส้นที่อยากไป แม่น้ำทุกสาย ที่เธอเดินข้ามผ่าน เป็นเหมือนต้นทุนชีวิตที่เธอทุ่มเท เธอแผ้วถางทางของตัวเอง ทุ่มทั้งกายและใจทั้งชีวิต เพื่องาน ดิ้นรนและค้นหา เพื่อฝ่าข้ามหนทางทุกข์ ไปให้ถึงสิ่งที่เธอฝัน
เธออดทนวันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป เดินทาง เขียนหนังสือ เขียนเพลงทำอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน ผมยาวรกรุงรัง เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ ร่างกายซูบผอมเกรียม ความลำบากรุมล้อมอยู่รอบๆตัวเธอ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่อ่อนโยน งดงาม อบอุ่นเสมอ มันมีความเชื่อมั่น มีพลัง และบอกโลกว่า เธอจะไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว