Skip to main content

เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มีโอกาสมานอนที่บ้านของฉัน ตอนค่ำมีพิธีส่งตัวเข้าหอ แม่และพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉัน ลุงผู้ใหญ่ที่แม่เคารพมาเป็นคนส่งตัวเราทั้งสอง ลุงเริ่มต้นการส่งตัวด้วยคำกลอนที่บอกถึงการอยู่ร่วมกันของคนสองคน ลุงคุยกับเราทุกเรื่อง ถ้อยคำที่ลุงใช้เป็นคำที่กินใจ สนุก บางคำทำให้น้ำตารื้น

\\/--break--\>
สามวันที่ฉันอยู่บ้าน มีเธอเดินไปมาอยู่ในบ้านของฉัน ฉันบอกแม่ว่าจะไปเที่ยวเกาะสมุยกันต่อสักสองสามวัน แล้วเราทั้งสอง นั่งรถบัสโดยสารไปลงที่สุราษฎร์ธานี ลงเรือต่อไปเกาะสมุย เช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับตระเวนเที่ยวจนทั่วเกาะ


เธอนั่งรถบัส เดินทางต่อขึ้นเหนือ ส่วนฉันลงใต้เดินทางกลับหาดใหญ่ เหมือนรถที่วิ่งแยกทางออกจากกัน ฉันยังรู้สึกเหมือนเดิม กลับมาอยู่แฟลต ขึ้นเวร ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวัน เธอออกเดินทาง ทำงานเขียนอย่างเข้มข้น เราต่างเขียนจดหมายบอกเล่าทุกข์กันเหมือนเก่า


ฉันไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆเลย หากแต่ลึกๆในใจ เริ่มกลัว ฉันรู้ว่า วันเวลาแห่งการจากพรากมารออยู่ข้างหน้าแล้ว เหมือนมันอยู่รอตรงหน้าประตู รอเวลาที่ฉันเปิดมันออกมาแล้วความเปลี่ยนแปลงมันจะพรูกันเข้ามาหาฉัน มาพรากวันคืนเก่าๆของฉันไป ฉันรู้แล้ว เมื่อคิดถึงมัน ฉันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างจริงจัง


วันเวลานั้นมาถึงแล้ว ในเช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมอาการผะอืดผะอม อาการนั้นอยู่ต่อไปตลอดทั้งวัน ฉันอาเจียนตลอดวัน นอนซม จากคนที่ขยันขันแข็ง กลายเป็นคนขี้เกียจ นอนมองขอบเตียงเลื่อนลอย อาการนั้นคงอยู่กับฉันทุกวัน จนฉันทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปหาหมอผลการตรวจของฉันวันนั้นทำให้ฉันนอนร้องไห้แล้วหัวเราะ สลับกันไปเหมือนคนเพี้ยน


ฉันท้อง ฉันแพ้ท้อง อาการต่างๆมันพากันมาอย่างจะประท้วงฉัน ฉันนอนครางเพราะผะอืดผะอม หากแต่เมื่อคิดถึงว่ามีเด็กเล็กคนหนึ่งจะมาอยู่กับเราแล้ว หัวใจฉันก็เบิกบานขึ้นมาจากสังขารที่น่าเวทนาของฉัน ฉันจะมีลูกแล้ว ความรักของเราสองคนก่อตัวเป็นเด็กขึ้นมาอยู่ในร่างกายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ มันทำให้ฉันมีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมา โทรไปบอกเธอ บอกแม่ แล้วรอเวลาที่จะได้พบหน้าลูกอย่างใจจดจ่อ

 

 

ความที่ฉันแพ้ท้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ตัวผอมๆของฉันเหี่ยวลง น้ำเย็นก็กินไม่ได้ กินได้แต่น้ำอุ่นจิบๆเอาทีละนิด มีกล้วยน้ำว้าและก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเป็นอาหารหลัก กว่าท้องจะโตก็หกเดือนแล้ว พี่น้องๆของฉันที่ทำงานต่างพากันสงสารฉันที่เห็นฉันคนแข็งแรงกลายเป็นคนผอมโกรก เดินโซซัดโซอยู่ทั้งวัน ใกล้คลอด ฉันทนไม่ไหว ทำเรื่องขอติดต่อย้ายตัวเองจากหาดใหญ่ มาเชียงใหม่ เพราะฉันนึกถึงภาพที่ต้องนอนคลอดและเลี้ยงลูกตามลำพังไม่ได้ เราสามคน พ่อแม่ลูกควรจะอยู่ร่วมกัน ฉันควรจะมีวิถีชีวิตของตัวเองแล้ว เอาล่ะ ได้เวลาสู้แล้ว ฉันบอกตัวเองอย่างนั้น


พี่ๆน้องๆที่ทำงานจัดงานเลี้ยงส่งฉัน เมื่อรู้ว่าเราต้องจากกันแน่นอน น้องๆ เพื่อนๆและฉันพากันร้องไห้ ชีวิตคงเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งมันจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากแต่เราจะทำใจยอมรับมันได้หรือเปล่าเท่านั้น


หากแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งที่ต้องยอมรับและปวดร้าวที่สุดคือการจากแม่และพ่อไปต่างหากเล่า ฉันร้องไห้อย่างสุดกลั้นเมื่อกราบลาแม่และพ่อ ฉันรู้ว่านางฟ้าที่ตอนนั้นอยู่ในท้องฉันดิ้นอย่างแรงเหมือนจะปลอบใจฉัน เหมือนจะบอกว่า เธอยังอยู่ เธอเข้าใจและจะเป็นเพื่อนฉัน พี่สาวคนเดียวของฉัน ยอมย้ายมาจากที่ไกลๆมาเป็นครูสอนใกล้บ้าน เพื่อให้ฉันได้มาอยู่เชียงใหม่และมีชีวิตครอบครัวที่จะสร้างขึ้นในเส้นทางใหม่ของฉันและเธอ


พ่อและน้องชายของเธอ พี่สาวของฉัน ขับรถขนของมาส่งจากบ้าน มาส่งฉันที่เชียงใหม่ ฉันนั่งท้องโตเพราะใกล้คลอดแล้ว ของที่ย้ายมากองอยู่เต็มบ้านเช่าของเธอที่เชียงใหม่


เธอและฉันมองหน้ากัน เอาล่ะ เรามาสู้กันต่อ วันเวลาต่อไปนี้เป็นวันเวลาที่วัดความอดทน ความเหนื่อยหนัก เอาล่ะ เราสองคนจับมือกันไว้ มัดใจกันไว้นะ ฉันบอกเธอ เข้มแข็งกันเข้าไว้ เมื่อเรามีลูก หนทางข้างหน้ายิ่งลำบาก หากแต่เราจะไม่หวั่นไหว เราจะตั้งใจฝ่าหนทางที่ลำบากนั้นไปด้วยกัน เรายังเป็นเพื่อนกันเสมอ  เธอยิ้มให้ฉัน

 

 

 

บล็อกของ มาลำ

มาลำ
เธอหอบกระเป๋าใบใหญ่มาวางตรงหน้า นอนที่ไหนดี ฉันรำพึง เอาอย่างนี้ ไปนอนวัดกับน้องชายเพื่อนพี่ดีกว่า หลังส่งเธอเข้าวัดแล้วนัดแนะกันว่ารุ่งเช้า เราจะไปหาเพื่อนของฉันที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เราลงไปนั่งในเรือลำเล็ก เป็นเรือเครื่องมีคนนั่งในเรือเพียงสองสามคน ตอนนั้นการนั่งเรือเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปที่เกาะได้ เรือทะยานพุ่งในทะเลสาบสีครามเข้ม เธอและฉันตื่นเต้นมาก เป็นการลงเรือครั้งแรกของเรา แผ่นน้ำวิ่งผ่านหน้าเราไป ละอองน้ำเย็นเยือกกระเซ็นมาถูกเนื้อตัว หัวใจเราเต้นแรงแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
มาลำ
ฉันอายุสิบแปดปีในตอนที่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบห้าใส่ชุดนักเรียนเทคนิค แบกกีต้าร์เดินผ่านบ้านพักของฉันและเพื่อนที่ฝึกงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างผอมสูงของเธอปรากฎให้เห็นในตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเธอกลับมาพร้อมกีต้าร์ตัวเดิม มีคนบอกฉันว่า เธอเป็นลูกชายหนึ่งในสองคนของป้าผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งทำงานในห้องแลปของโรงพยาบาล เราได้แต่มองกันไปมาแล้วเงียบ วันคืนผ่านไป จนค่ำวันหนึ่งเธอส่งยิ้มมา ฉันทักเธอว่า ตกลงเป็นนักเรียนหรือนักร้อง เธอยิ้มหวานแล้วตอบเบาๆว่า ทั้งสองอย่างครับ
มาลำ
ฉันไม่นึกว่า พ่อจะมาเยี่ยมฉันจริงๆ หลังจากการป่วยยาวนาน แม้ฉันรับปากพ่อไว้ว่า ฉันจะกลับไปหาที่บ้านของเรา แต่ฉันใช้วันลาพักผ่อนทั้งปีหมดไปแล้ว ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่ออีกเลย ฉันกับพ่อส่งข่าวกันผ่านสายโทรศัพท์ เราคุยกันทุกวันแม้ไม่เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงพ่อฉันรู้สึกดีมากแล้ว พ่อดั้นด้นมาหาฉันถึงบ้าน พ่อเดินลงจากรถ ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของฉัน หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความดีใจ เราต่างโผเข้ามากอดกัน พ่อหอมหน้าผากฉันเหมือนเก่า ฉันถามพ่อว่า พ่อหายดีแล้วใช่ไหม ไม่น่าเชื่อเลย พ่อหายดีแล้วจริงๆ ตาขวาของพ่อปิดเองได้แล้ว เข่าขวาก็เป็นปกติ พ่อเดินได้เองไม่ต้องใช้อะไรช่วย ไม่ต้องพยุง…
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์…
มาลำ
ดึกแล้ว พ่อนอนหลับสนิทในม่านสีเขียว หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ฉันลืมตา เงยหน้าจากข้างเตียงที่ฟุบลงไป ห่มผ้าให้พ่อแล้วลุกไปล้างหน้า กลับมานั่งอยู่ในม่าน  นั่งมองพ่อหลับ นานมากแล้วที่เราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันยาวนานอย่างนี้ตาข้างขวาของพ่อยังไม่ปิดลง มันเปิดอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น เมื่อฉันก้มลงไปมองใกล้ๆ พบว่าในตาของพ่อมีฉันอยู่ในนั้น  ฉันนึกภาวนาให้มันปิดลงเป็นปกติ ฉันอยากให้พ่อเป็นเหมือนเดิม เป็นพ่อคนเดิมของฉัน
มาลำ
พ่อหลับอยู่อย่างนั้นทั้งคืน มีเพียงเสียงหายใจและเสียงพลิกตัวเท่านั้นบอกเราว่า พ่อยังหลับอยู่ พ่อไม่ได้พูดอะไรที่ฉันฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว พ่อหลับเงียบแน่นิ่ง ถึงกระนั้นฉันก็นั่งเฝ้าพ่อแบบตาไม่กระพริบ พ่อหลับโดยที่มีฉันนั่งจ้องพ่ออยู่อย่างนั้น นอกเหนือจากการเช็ดตัวให้พ่อ ดูยาที่หยดลงในสายน้ำเกลือ วัดความดันเลือดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก นอกจากจ้องมองพ่อ   บางเวลาที่ดึกมากๆ ฉันง่วงมาก เผลอหลับฟุบลงบนเตียงพ่อ ข้างๆ มือที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง  ฉันหลับอยู่ในท่านั้นจนสะดุ้งตื่น ทันที่ที่รู้สึกตัว ฉันลนลานจ้องมองพ่อ ดูที่หน้าอกพ่อว่าขยับเคลื่อนไหวหายใจอยู่หรือเปล่า…
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน…
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ …
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ…
มาลำ
ฉันตื่นนอนตอนเที่ยงวัน อากาศเมืองชายทะเลร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลท่วมตัว ลุกนั่งอย่างงงๆ อยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่านอนอยู่ที่บ้านพักน้องชาย  หลังอาบน้ำและกินข้าว ฉันนั่งรอให้น้องชายมารับไปหาพ่อระหว่างทางนั่งรถไปโรงพยาบาลผ่านสวนยางเป็นแถวยาวสีเขียวเข้มต้นยางเรียงรายผ่านหน้าฉัน  เป็นแถวตรงตลอดเป็นแนวทั้งสองข้างทาง  แม้ว่าฉันจะห่างบ้าน ห่างพ่อไปนานแสนนาน  แต่ป่าสีเขียวที่ยืนตรงเหมือนแถวของทหารที่ฉันเคยคุ้น ฉันได้กลิ่นยางโชยมาตามลมที่พัดผ่าน  ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันถางไร่ที่ดิบทึบด้วยต้นไม้ กว่าจะล้มต้นไม้ลงแต่ละต้นจนหมดไร่ แล้วขุดหลุมขนาดสองฟุตกว้างยาวและลึกเท่ากัน …