Skip to main content

ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”


ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน)


นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ ยังทำร้ายคนที่คิดเห็นต่างออกไปจากพวกตน โดยไม่สนใจต่อสายตาของสาธารณชนผู้เป็นกลางที่เฝ้ามองอยู่ว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไรหรือไม่กลัวเลยว่าจะสูญเสียมวลชนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง พฤติกรรมและบุคลิกแบบนี้มีแต่เผด็จการเท่านั้นที่ทำได้


ใครที่มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากม็อบพันธมิตร ฯ จะถูกทำให้กลายเป็นศัตรู/ปิศาจ/คนไม่รู้จริง/รับใช้ทักษิณ/ขายชาติ ฯลฯ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออันเหลวไหล ปลุกระดมอารมณ์รวมหมู่อย่างบ้าคลั่งมึนเมา


ผมอยากจะพูดถึงกรณีของคุณศรราม เทพพิทักษ์ พระเอกยอดนิยมที่พูดถึงทัศนะของตนเองในเชิงไม่เห็นด้วยเมื่อมีคนถามเกี่ยวกับการชุมนุมของพันธมิตร ฯ


ผมไม่ไปยุ่งกับใครหรอกครับพันธมิตรฯ เดินขบวนอะไรผมไม่ยุ่งหรอก ผมไหว้พระทุกวันขอให้ในหลวงแข็งแรงนะ ใครที่มันทำให้ในหลวงไม่สบายใจ ก็ขอให้คุณพระคุณเจ้าดลจิตดลใจให้มันคิดได้เถอะนะครับ ถ้ามันยังเป็นคนไทย ขอให้มันทำให้ในหลวงอย่าเครียดเลย เราพูดภาษาแบบชาวบ้านนะครับ ผมใช้คำพูดแบบชาวบ้านไปคิดเอาเอง”


คำพูดไม่กี่คำของเขาทำให้กลุ่มพันธมิตร ฯ ไม่พอใจอย่างแรงและรุมโจมตีเขาในรูปแบบต่าง ๆ กระทั่งคุณศรราม เทพพิทักษ์ ต้องแสดงความใจกว้างด้วยการยอมออกมาขอโทษทั้งที่ตนเองไม่ได้ผิดอะไร


หากยอมขอโทษทั้งที่ตนเองไม่ผิดแล้วทำให้ปัญหาจบไป ในบางสถานการณ์ก็เป็นสิ่งที่ไม่เสียหาย มิพักต้องเอ่ยถึงว่าอาชีพของคุณศรราม เทพพิทักษ์ นั้นต้องอาศัยความนิยมชมชอบจากประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงหากจำเป็นต้องขอโทษเพื่อให้เรื่องเงียบหายไปและเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ส่วนสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์หรือด่าคนอื่นนั้นสงวนไว้สำหรับพวกพันธมิตร ฯ และเครือข่ายเพียงเท่านั้น


ท่ามกลางความขัดแย้งที่มองไม่เห็นจุดจบ คุณศรราม เทพพิทักษ์ เป็นเหยื่อชิ้นเล็ก ๆ ที่โดนคนพวกนี้เล่นงานได้โดยไม่ต้องลงแรงอะไรมาก แม้ว่าในฐานะของบุคคลสาธารณะ เสียงของคุณศรราม เทพพิทักษ์ อาจจะดัง แต่ที่สุดแล้วก็ถูกกลบให้เงียบหายไปโดยกระแสเสียงของกลุ่มพันธมิตร ฯ


เราสามารถยกตัวอย่างรูปแบบการกระทำของกลุ่มพันธมิตร ฯ ต่อกรณีนี้ได้อย่างเช่น ส่ง SMS ผ่านสื่อโทรทัศน์เพื่อชื่นชมพวกตัวเองและกล่าวหาว่าร้ายคุณศรรามต่าง ๆ นานา หรือการใช้ช่องทางของอินเตอร์เนตที่เครือผู้จัดการมีพร้อมอยู่แล้วรุมกระหน่ำด่าพ่อล่อแม่ หรือใช้วาจาป่าเถื่อนของซ้อเจ็ดแห่งเวบไซต์ผู้จัดการป้ายสีให้เสียหาย คอลัมน์ของซ้อเจ็ดนอกจากจะเขียนในเรื่องบนเตียงราวตาเห็นแล้ว พักหลังซ้อเจ็ดหันมาเขียนเรื่องการเมืองกะเขาด้วย (ช่างเป็นอะไรที่อเนกประสงค์เสียจริง ๆ ซ้อเจ็ดจึงอาจจะเป็นประเภทที่ “ได้หมด”) รวมไปถึงการโห่ร้องขับไล่เวลาที่คุณศรราม เทพพิทักษ์ ไปโชว์ตัว


เราอาจเรียกการกระทำเหล่านี้ได้ว่าเป็นการข่มขืนใจต่อผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่าง เป็นการข่มขืนตามระบอบประชาธิปไตย เป็นการข่มขืนที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญปี 50 ที่พวกพันธมิตร ฯ และเครือข่ายร่างมันออกมา


คุณศรราม เทพพิทักษ์ เงียบเสียงไป ในขณะที่ดาราอย่างคุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง ที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตร ฯ ตั้งหน้าตั้งตาด่าคนอื่นต่อไป เขาบอกว่า


ไม่รู้ ไม่เข้าใจอย่าพูด อย่าเสือกพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้” (น่าสงสัยว่าคงจะมีแต่ดาราอย่างคุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง เท่านั้นที่รู้และเข้าใจ การห้ามไม่ให้คนอื่นพูดเพราะหาว่าคนอื่นไม่รู้นั้นเป็นลักษณะของเผด็จการชนชั้นกลางอย่างไม่ต้องสงสัย)


คุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง ก็เช่นเดียวกับดารานักร้องหลายคนที่ใช้โอกาสทองของความขัดแย้ง อ้างอวดจิตสำนึกสาธารณะของตนเองด้วยการกระโจนขึ้นเวทีของพันธมิตร ฯ ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดนั่นคือ “แสดงละคร” แต่เป็น “ละครเวที” ที่เขียนบทและซักซ้อมมาแล้ว


คุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง ขึ้นเวทีพันธมิตร ฯ บ่อย เขาขึ้นไปแสดงภูมิรู้ทางการเมืองเท่าทีเขามี พูดจากับกล้องและประชาชนอย่างเป็นกันเองด้วยมาดของนักการเมือง และร้อง “เพลงแปลง” กระทบกระเทียบ ประชดประชัน เสียดสีนักการเมืองและประชาชนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เขาเปลี่ยนบทบาทจากนักแสดงที่เก่งกาจเป็นคนชั้นกลางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกสาธารณะ!


คุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง ยอมทิ้งหล่อ แล้วปล่อยตัวเซอร์ๆ ดูเป็นคนง่าย ๆ เข้ากับประชาชน เขาออกแอ็คชั่นเต็มที่ ทั้งเต้น ร้อง และปราศรัย เรียกได้ว่าเป็นแบบฉบับของนักแสดงคนชั้นกลางที่นอกจากจะประสบความสำเร็จในอาชีพของตนเองแล้ว ยังดูเหมือนว่าจะคิดหรือทำอะไรเพื่อ “ส่วนรวม” อีกด้วย


ผมเชื่อว่าหากจังหวะเวลาเหมาะ คุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง คงจะลงสมัครเป็นผู้แทนอย่างแน่นอน ไม่สนามระดับชาติก็สนามท้องถิ่น มันเป็นสูตรสำเร็จไปแล้วว่าหากใครต้องการหาเสียงและต้องการเรียกคะแนนจากชนชั้นกลางในกรุงเทพ ฯ ก็ต้องขึ้นเวทีโจมตีสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ก็ตาม


ใครที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับ “ระบอบทักษิณ” ไม่ว่าจะทางตรงหรืออ้อมหรือทำอะไรที่กลุ่มพันธมิตร ฯ ตีความแล้วว่า “อาจจะ” เป็นการขัดขวางกลุ่มพันธมิตร ฯ ในการจัดการกับ “ระบอบทักษิณ” จะได้รับปฏิกริยาตอบโต้จากกลุ่มพันธมิตร ฯ อย่างเช่นที่คุณศรราม เทพพิทักษ์ โดนข่มขืนใจให้ต้องออกมาขอโทษ.


บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…