Skip to main content

พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...
สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...
นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆ
ฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛
                                                ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )


=========================================

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีส่วนอย่างสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อมในการก่อปัญหามากมายหลากหลายด้านขึ้นมารุมเร้าสังคมไทย  ว่าที่จริง ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาแล้วด้วยซ้ำที่พันธมิตรฯ จุดชนวนปัญหาขึ้นมาจนบานปลายโดยไม่มีที่ท่าว่าจะจบสิ้นลงง่าย ๆ ในอนาคตอันใกล้

ลัทธิพันธมิตร ฯ เรียนรู้และเก่งกาจในการสร้างปัญหาหรือทำให้เป็นปัญหาขึ้นแต่ไม่มีปัญญาแก้ได้สักเรื่องเดียว

- ต่อต้านนักการเมืองแต่ไม่มีปัญญาเฟ้นหาระบบใหม่ ๆ ในการคัดสรรกลั่นกรองหรือเลือกตั้งบุคคลเข้ามาสู่วงการเมือง แต่กลับแก้ตัวด้วยการพูดง่าย ๆ โดยการเสนอวาทกรรมเรื่อง "คุณธรรม" "จริยธรรม"  "คนดี" ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่เคยใช้ได้ผลเลย  รัฐบาลสุรยุทธ  จุลานนท์ เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องความล้มเหลวของการทำหน้าที่ฝ่ายบริหารของเหล่าบรรดา "คนดี" การด่านักการเมืองนั้นง่ายแต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

- แทนที่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 ซึ่งลัทธิพันธมิตรฯ เห็นว่าให้อำนาจฝ่ายบริหารมากเกินไป ด้วยกติกาพิกลพิการในนามของรัฐธรรมนวยปี  2550 ซึ่งเป็นการเพิ่มปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาอีกมาก

- สร้างอารมณ์คลั่งชาติรวมหมู่ขึ้นในเรื่องเขาพระวิหารจนบานปลายนำไปสู่การเกลียดชังกระทั่งปะทะกับเพื่อนบ้านเขมร จะว่าไปแล้ว เขาพระวิหารเป็นเรื่องไร้สาระอย่างมากที่จะมาถกเถียงกัน แต่ลัทธิพันธมิตร ฯ กลับใช้เป็นโอกาสในการโฆษณาชวนเชื่อลัทธิของตนเองโดยไม่ไยดีว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ตามชายแดนจะได้รับผลกระทบมากเพียงใด

- สนับสนุนและเรียกร้องสิ่งที่เรียกว่า "ตุลาการภิวัฒน์" เพื่อจัดการฝ่ายตรงข้ามซึ่งออกมาในรูปของการยุบพรรคไทยรักไทยและการเพิกถอนสิทธิของสส. พรรคไทยรักไทย ออกมาในรูปของการคำพิพากษาคดี "ชิมไป บ่นไป" อันน่าหัวร่อ  ออกมาในรูปของการใช้คำหลวมๆ และกำกวมว่า "อาจจะ" "สุ่มเสี่ยง"  ในคดีของอดีต รมว. กระทรวงต่างประเทศ นพดล ปัทมะ อันเป็นการตีความเชิงวรรณกรรมที่เกินเลยไปจากกรอบกฎหมาย ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า "ตุลาการภิวัฒน์" จะเป็นอาวุธเพื่อจัดการฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นเพราะลัทธิพันธมิตร ฯ ได้สร้างบรรทัดฐานอันสับสนให้แก่สังคมไทยเป็นอย่างมากเมื่อสามารถบุกรุกสถานที่ราชการได้เป็นแรมเดือนโดยไม่ถูกจับ เมื่อมอบตัวแล้วก็ยังสามารถประกันตัวออกไปบุกรุกสถานที่ราชการได้อีกเหมือนเดิม การกระทำเช่นนี้ ส่งผลกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมเพราะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อความยุติธรรมทั้งระบบ

การณ์กลับกลายเป็นว่า "ตุลาการภิวัฒน์" คือการทำลายระบอบตุลาการหรือนิติรัฐลงอย่างยากที่จะกู้คืน

- ยั่วยุให้เกิดการปะทะของประชาชนสองฝ่ายที่จังหวัดอุดรธานี เป็นการสร้างความแตกแยก แบ่งฝักฝ่ายอย่างไร้เหตุผล

- ปลุกปั่นสร้างเงื่อนไขให้เกิดการสลายม็อบเพราะตำรวจไม่มีทางเลือกอย่างอื่น โดยหวังจะใช้เป็นข้ออ้างเรื่องการใช้ความรุนแรง เพื่อทำลายความชอบธรรมกระทั่งกดดันให้รัฐบาลต้องลาออก กระนั้นก็ตามมีข้อน่ากังขามากมายที่อาจเป็นไปได้ว่า การบาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อ 7 ตุลาคม 51 นั้นมาจากฝีมือของลัทธิพันธมิตร ฯ เอง

ลัทธิพันธมิตรฯ เรียนผูกแต่ไม่เรียนแก้ ก่อปัญหาแล้วโยนความรับผิดชอบใส่คนอื่น ยัดเยียดเรื่องของตนเองให้กลายเป็นเรื่องสาธารณะ  และเคลื่อนไหวโจมตีคนอื่นบนฐานจินตนาการของการใส่ร้าย

เราอาจกล่าวได้ว่า ลัทธิพันธมิตรฯ เป็นทั้งต้นเหตุและอาการของโรคของสังคมไทย สังคมไทยที่กำลังจะถึงคราวเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ

มองให้กว้างขึ้น การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของลัทธิพันธมิตรฯ เป็นอาการดิ้นรนสุดชีวิตของระบอบเก่าที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพังทลายลงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ยิ่งดิ้นรนอาการก็ยิ่งกำเริบ

เพราะโลกเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ระบอบประชาธิปไตยคือปลายทางและวิธีการ ไม่มีระบอบอื่นหรือทางเลือกอีกแล้ว แต่แน่นอนว่าคนจำนวนน้อย และอภิชนที่เสวยสุขอยู่บนยอดของปิระมิดเพียงไม่กี่กลุ่มจะไม่เห็นด้วยและหาทางต่อต้านสุดกำลัง ผลปรากฏออกมาในรูปของกลุ่มมอมเมาทางการเมืองอย่างพันธมิตร ฯ

การต่อสู้ที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ไม่ว่าพลังประชาชนจะสูญเสียเพลี่ยงพล้ำหรือได้ชัยชนะนั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้ว่าเรากำลังสู้อยู่กับอะไร และเพื่ออะไร เมื่อลัทธิพันธมิตรฯ เป็นเหตุแห่งปัญหา เราก็ควรแก้ไขกำจัดปัญหานั้นเสีย.     

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…