Skip to main content

ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม


เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง


1.
ที่น่ายินดีก็คือการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นักข่าวต่างประเทศ ของสมเด็จพระเทพ ฯ เมื่อถูกถามว่า “พระองค์เห็นด้วยหรือไม่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงกล่าวว่า พวกเขากระทำการในนามของสถาบันกษัตริย์”


"
ข้าพเจ้าไม่คิดเช่นนั้น" พระองค์ตรัสตอบคำถาม "พวกเขาดำเนินการสิ่งต่างๆ เพื่อตัวพวกเขาเอง" (ข่าวสด,12 ตุลาคม พ.. 2551, ปีที่ 18 ฉบับที่ 6527)

http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakV5TVRBMU1RPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09DMHhNQzB4TWc9PQ==


2.
อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดชื่อดัง แม้จะอัดอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ตามระเบียบปฏิบัติของผู้ไม่นิยมทุน แต่ไม่วายที่จะวิพากษ์พันธมิตรฯ ตรงๆ สะใจพวกฮาร์ดคอร์ว่า


การแสดงออกของพันธมิตรก็เป็นเหมือนกับละครน้ำเน่าอย่างหนึ่ง ต้องตีให้แตก เขาไม่มีทางอื่นที่จะเล่นนอกจากจะต้องเล่นบทนี้ เขาไม่มีทางจะอยู่ได้หรอกครับ นอกจากต้องเล่นบทนี้ไม่งั้นแม่ยกต่างๆ ไม่มีทางเข้าไปหรอก บางคนเอาเงินไปให้เขาเป็นหมื่นเป็นแสน คนเหล่านี้รัก...กันทั้งนั้น แต่พันธมิตรจะรักจริงหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่เขาต้องเล่นบทนี้ ถ้าคุณไม่เล่นบทนี้คุณไม่สามารถจะเอาคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ออกมาได้ เพราะคนชั้นกลางตอนนี้มันเบื่อสื่อกระแสหลัก ชนชั้นกลางมันเบื่อ อยู่บ้านมันเหงา ผัวอยู่ห้อง เมียอยู่ห้อง ลูกอยู่ห้อง เล่นแต่คอมพิวเตอร์ ทีวีต่างๆ นี่เล่น เลอะเทอะ มันต้องไปดูของจริง มันก็น้ำเน่าอีกอย่างแต่มันของจริงมากกว่า แล้วที่พันธมิตรทำมา 100 กว่าวัน หรือก่อนหน้านั้น ก่อนที่ที่ทักษิณจะไปคราวที่แล้ว มันก็ไปหาวัฒนธรรมไทยที่ชนชั้นกลางขาด มันเป็นงานวัดครับ ไอ้นี่มันสารพัด มันสนุกครับ มีทั้งอ้อยควั่น โรตี มีทุกอย่างเลยครับ มันสนุก แล้วถ้าเผื่อว่ามี World Cup ฉายหนังฟุตบอลให้เราดูอีก”

http://www.prachatai.com/05web/th/home/14201



3.
ส่วน ม..ณัฐกรณ์ เทวกุล หรือ “คุณปลื้ม” กล่าวในงานเสวนา “วิกฤต และโอกาสประชาธิปไตยไทย” ความตอนหนึ่งว่า


การใช้พระราชอำนาจในราชอาณาจักรไทยนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่แกนนำพันธมิตรจะตัดสินใจออกมาเพื่อจะผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อที่จะเพิ่มหรือลดพระราชอำนาจ


ในส่วนของหัวข้อเดิมที่ตั้งไว้ในเรื่อง “การเมืองใหม่” ของพันธมิตร มีปัญหาคือ คำว่า “การเมืองใหม่” เป็นเพียงวาทะกรรมของกลุ่มคนที่ต้องการจะช่วงชิงจังหวะในปัจจุบันเพื่อร่างรัฐธรรมนูญที่จริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรที่ใหม่เลย"

http://www.prachatai.com/05web/th/home/14162


4.
ส่วนพลตำรวจเอกสล้าง บุนนาค นายตำรวจเก่าซึ่งสร้างผลงานไว้มากมายตอน 6 ตุลา 19 ที่หลายคนคงไม่มีวันลืม มาครั้งนี้ ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนแปลงไป ผลพวงของการแบ่งฝ่ายทำให้เขาต้องเลือกและเขาก็เลือกถูกเสียด้วย มาดูกันอีกครั้งว่าเขาให้สัมภาษณ์ดีขนาดไหน


ถาม : ในกรณีที่ไปแจ้งความระบุชื่อ พล อ.เปรม กับ พล อ.สุรยุทธ์ ด้วยใช่หรือไม่?  
พล...สล้าง : จะไม่ระบุได้ไงล่ะครับ คือผมมันเป็นโรคอยู่อย่าง ใครทำคุณงามความดีเนี่ผมจะสรรเสริญ แล้วถ้าใครทำร้ายประเทศผมไม่เคยให้เครดิต ผมถูกหนังสือพิมพืบิดเบือน เมื่อ 2 วันนี้ ผมบอกเมื่อก่อนตำรวจไม่เคยกล้าทำอะไรเลยเพราะเกรงใจ พล อ.เปรม แต่ตอนนี้เมื่อตำรวจหมดความเกรงใจอะไรก็ง่าย แต่ถ้าสื่อมวลชนไปบิดเบือนว่าผมเกรงใจ พล อ.เปรมนั้นไม่ใช่ทำร้ายประเทศ ขนาดนี้ผมจะเกรงใจได้ไง คุณเป็นใครจะมาทำร้าย แล้วถ้าเปรียบประวัติกันระหว่างท่านกับตำรวจแย่ๆ ท่านแย่กว่า


ถาม : ที่บอกว่ามีกำลังทหารที่มาจากอากาศโยธิน พลร่ม มีแค่ 2 หน่วยนี้หรือว่ามีอีก?

พล...สล้าง : ต้องการจะบอกว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสียสละพระวรกายให้บ้านเมือง แต่คนที่อยู่รอบล้อมพระองค์เป็นคนที่ไม่จงรักภักดี การไปแจ้งความครั้งนี้ได้ระบุชื่อบุคคลทั้งสองไว้แล้ว โดยส่วนตัวเห็นว่า ใครก็ตามที่ทำความดีต้องสรรเสริญ แต่ถ้าใครทำร้ายบ้านเมือง จะไม่ให้เครดิตกับคนนั้น เมื่อก่อนตำรวจขยับหรือทำอะไรไม่ได้ เพราะตำรวจเกรงใจ พล..เปรม แต่ขณะนี้ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นไม่มีความเกรงใจแล้ว

http://www.prachatouch.com/content.php?id=11439


5.ทางด้าน เสธแดง ขาบู๊ก็ไม่น้อยหน้า แม้ว่าเขาจะดูแผลง ๆ พิลึกพิลั่น แต่ก็พอมีอะไรเข้าเค้าอยู่บ้างในเรื่องทัศนะเกี่ยวพันธมิตรและการรัฐประหาร เขาบอกว่า


จะเห็นได้ว่า การปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ..ที่ผ่านมา มีกลุ่มเสื้อแดงนปก.บุกกองทัพบก ซึ่งเป็นกำลังมหึมาที่ใหญ่กว่ากลุ่มพันธมิตร นี่คือกลุ่มหนึ่งที่เขาไม่ชอบทหารและหากทหารออกมาปฏิวัติก็มีข่าวว่า เขาเตรียมจะเผารถถัง โดยเอาน้ำมันเบนซินผสมโซล่าใส่ขวดแล้วปาเข้าไป ซึ่งต่างประเทศเขาทำกัน แต่ประเทศไทยยังไม่เคยทำกัน" เสธ.แดงกล่าว เมื่อถามว่าแสดงว่าหากมีปฏิวัติจะถูกต่อต้านโดยกลุ่มนปช. เสธแดงก็กล่าวว่า


ประชาชนไม่พอใจที่ผบ.เหล่าทัพรวม 4 คนแต่งเครื่องแบบเต็มยศมาข่มขู่รัฐบาล จึงมีกระแสข่าวว่าหากทหารออกมาครั้งนี้ จะเผารถถังให้ดู ซึ่งทหารคิดว่าการปฏิวัติโดยใช้กำลังจะไม่ชอบธรรม จึงลองแต่งเครื่องแบบข่มขู่นายกฯ หวังว่านายกฯ จะลาออก แต่ปรากฏว่านายกฯ ไม่ลาออก ขณะนี้ประชาชนมองว่าทหารคิดจะปฏิวัติ ไม่ว่าจะรับใบสั่งใครมาก็ตาม เพื่อไล่รัฐบาล ครั้งที่แล้วที่ทหารปฏิวัติมีคนมอบดอกไม้ให้ แต่ครั้งนี้ถ้าทหารปฏิวัติอีกครั้ง ประชาชนอาจวิ่งมาพร้อมขวดเบียร์ใส่ไฟและปารถถังเข้าไป ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้อันตรายถึงประเทศ ครั้งนี้เป็นครั้งเดียวที่ประชาชนท้าทายว่า หากปฏิวัติจะใช้ระเบิดขวดปาใส่”

http://www.prachatai.com/05web/th/home/14168


6.
ที่น่าสนใจและสร้างกระแสได้มากคือการที่ข้าราชการบำนาญท่านหนึ่งคือ ...สาโรจน์ นนทเศรษฐ อายุ 80 ปี สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศถอนตัวจากการอุทิศร่างกายให้สภากาชาดไทยโทษฐานไร้จรรยาบรรณ


กระผมได้รับทราบข่าวจากสื่อทั้งหลายว่า คณะแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะไม่รับตรวจรักษาผู้ที่เป็นตำรวจ ทำให้กระผมรู้สึกตกใจมาก และเกรงว่าการอุทิศร่างกายเพื่อให้นักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ได้ทำการศึกษา ตามที่สภากาชาดไทยกล่าวว่าเปรียบเสมือนเป็น "อาจารย์ใหญ่" นั้น อาจถูกปฏิเสธหรือรังเกียจจากคณะนักศึกษาและแพทย์ไม่ยอมรับร่างกายของกระผม ซึ่งเป็นตำรวจไว้ทำการศึกษาก็เป็นได้ ดังนั้น กระผมจึงขอถอนตัวออกจากการอุทิศร่างกายและดวงตาให้กับสภากาชาดไทย เพื่อมิให้เป็นที่รังเกียจของคณะนักศึกษาและแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ต่อไป พร้อมนี้ได้ส่งบัตรอุทิศร่างกายและดวงตา คืนมาด้วยแล้ว"


http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=167181


7. กลุ่มประชาชนผู้ห่วงใยประเทศไทยซึ่งเป็นการรวมตัวกันหลวม ๆ ของนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวและนักวิชาการออกแถลงการณ์ไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรียกร้องให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของกลุ่มพันธมิตร ฯ สำหรับผมแล้ว นี่น่าจะเป็นแถลงการณ์ที่ดีมากที่สุดฉบับหนึ่งท่ามกลางแถลงการณ์มากมายก่ายกอง ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า


คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ความรุนแรงจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่หน้ารัฐสภา โดยมีนายสุรสีห์ โกศลนาวิน เป็นประธานต้องตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มพันธมิตรที่กระทำต่อตำรวจ รวมไปถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 กันยายน 51 ที่ทำให้นายณรงค์ศักดิ์ กอบไธสง เสียชีวิต และการที่กลุ่มพันธมิตร ฯ บิดเบือนข้อมูล คุกคามทำลายชื่อเสียงคนที่คิดต่าง

http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=14136&Key=HilightNews


8.
เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรีหรือ “อันเฟรล” (ANFREL) ซึ่งทำงานเกี่ยวกับประชาธิปไตยและการเลือกตั้งในภูมิภาคเอเชียออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประเทศไทย และคนไทยเดินหน้าแก้ปัญหาทางการเมืองโดยใช้วิถีทางประชาธิปไตย แถลงการณ์ระบุถึงหมอประเวศ วะสี และพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เชื้อเชิญให้ทหารทำการยึดอำนาจว่าควรจะล้มเลิกความคิดแบบนี้เสีย

http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=14094&Key=HilightNews


9.
การ์ตูนประชาไท เราคงต้องให้เครดิตเจ้าของคอลัมน์การ์ตูนประชาไทด้วยเช่นกัน ที่นอกจากจะต้านกระแสได้ดีแล้ว ยังมีฝีมืออีกด้วย


http://www.prachatai.com/05web/th/home/#


นอกจากที่เอ่ยมาแล้ว ยังมีอีกหลายเสียง หลายความคิดอ่านที่สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นทัศนะของนักข่าวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ 7 ตุลา 51 ตลอดจนชาวเว็บบอร์ดประชาไทที่เอาจริงเอาจังในการต่อต้านพันธมิตรฯ หวังว่าเสียงที่ผมอยากได้ยินเหล่านี้จะดังขึ้นๆ กระทั่งเอาชนะเสียงของพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นเสียงของเผด็จการศักดินาที่ไม่ยอมตาย.


บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…