Skip to main content

การเมืองหลังการเข้ามาของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร คือการแข่งขันกันนำเสนอด้านนโยบายที่ตอบสนองความต้องการสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งถูกละเลยมาตลอด


ผลงานของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งยงและพรรคไทยรักไทยที่ได้ทำไว้ในเรื่องการกำหนดนโยบายสำหรับคนยากคนจน และผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงกระทั่งใครต่อใครพรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบลอกมาหน้าตาเฉย แม้แต่พรรคภูมิใจของเนวิน ชิดชอบที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ชูเรื่องประชานิยมเป็นม็อตโตของพรรค


เป็นเพราะวิสัยทัศน์แบบนักธุรกิจของอดีตนายก ฯ สามารถมองเห็นและเข้าใจความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ มองเห็นความต้องการของประชาชนที่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง มองเห็นความขาดหายที่จะเติมให้เต็มได้ แต่มากไปกว่าการมองเห็นก็คือความกล้าหาญที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหา กล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่นักการเมืองคนอื่นไม่ทำ ทำในสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำ


ท่ามกลางขาลงของนอมินีชุด 3 อย่างพรรคเพื่อไทยที่มีหางแต่ไร้หัว พรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรจะลืมกันว่าอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตรและพรรคไทยรักไทยได้สร้างนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตของประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างเอาจริงเอาจัง นโยบายที่เต็มไปด้วยคำถามและถูกประชาธิปัตย์ปรามาสว่าทำไม่ได้ กาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำได้


คนป่วยหลายคนรอดตายเพราะโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ที่บางคนยอมรับว่ารักษาพยาบาลด้วยบัตร 30 บาท นั้นดีกว่าใช้ประกันสังคมเสียอีกเพราะค่าใช้จ่ายในโครงการ 30 บาทนั้นสามารถเบิกจ่ายจากรัฐบาลได้ในขณะที่ประกันสังคมทำไม่ได้ ส่วนโครงการหนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบลหรือ OTOP นั้นก็ช่วยสร้างเงินสร้างงานในชุมชนเช่นเดียวกับนโยบายหวยบนดินที่รับเงินกันถ้วนหน้า


ต้องยอมรับว่าอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร นั้นเก่งในเรื่องการหาเงิน ทั้งหาเงินเพื่อนำไปใช้ในการผลักดันนโยบายสาธารณะให้กลายเป็นจริง และแม้กระทั่งหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด (นายกรัฐมนตรีที่สร้างภาพว่าไม่ต้องการเงินทอง สร้างภาพว่าซื่อสัตย์สุจริตต่างหากที่เป็นเรื่องน่าแปลกและน่าสงสัย)


ความสำเร็จอันท่วมท้นชนิดสร้างสถิติทางการเมืองใหม่ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เปลี่ยนแปลงปฏิรูปหลากหลายด้าน การทำให้การเมืองกับการตลาดกลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เหล่านี้ ส่งให้อดีตนายก ฯ กลายเป็นนวัตกรแห่งกาลเวลาสำหรับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นโยบายประชานิยมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากพรรคประชาธิปตย์ว่าจะทำให้คนเป็นหนี้ สร้างนิสัยและค่านิยมที่ไม่ถูกต้องให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ๆ ก็ต้องรอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เป็นการสร้างคะแนนนิยม เป็นการหาเสียงเชิงนโยบาย มีผลประโยชน์ทับซ้อน ฯลฯ แต่ถึงวันนี้นักการเมืองจากประชาธิปัตย์กลับกลืนน้ำลายตนเอง


เวลาผ่านไปไม่นานและเราก็ค้นหาได้ไม่ยากว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วิจารณ์ นโยบายประชานิยมไว้อย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้เป็นการตอกย้ำความเป็นทายาทของ พ...ทักษิณ ชินวัตร โดยสังเกตจากหลายนโยบาย เช่น กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน เป็นต้น พร้อมตั้งข้อสังเกตอีกว่า หลายนโยบายทำเพื่อตัวเอง พวกพ้อง หรือเพื่อประชาชน (คมชัดลึก. วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์, .. 2551)

http://www.komchadluek.net/2008/02/19/x_main_a001_190594.php?news_id=190594


นโยบายที่ตรงกับสิ่งที่ประชาชนต้องการ เราตอบไม่ได้หรอกว่าเป็นเรื่องดีทั้งหมดหรือเลวทั้งหมด เรื่องใดที่สนองตอบความต้องการของประชาชนและเป็นเรื่องดีสำหรับส่วนรวม ถ้าสามารถวางระบบให้มีคุณภาพยั่งยืนได้ อันนี้ดีแน่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนนั้นดี แต่ข้อควรระวังคืออย่ามุ่งหวังผลทางการเมืองอย่างเดียว เราต้องกำกับด้วยว่าจะเอาทุนไปทำอะไร ถ้านำไปสู่การใช้จ่ายเพิ่มหนี้สินไม่ยั่งยืน อันนี้ไม่ดี ดังนั้นต้องแยกเป็นเรื่องๆ ไป”

www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q4/article2004dec01p5.htm


การกลืนน้ำลายหรือลืมคำพูดตัวเองเป็นสิ่งที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ถนัดนักหนา สันดานแบบ “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” นั้นหาได้ไม่ยากจากนักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์


นโยบายถูกเรียกขานว่า “ประชานิยม” เคยหนุนนำให้ชื่อของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นไปอยู่บนหิ้งในฐานะพระเอกตลอดกาลแบบเดียวกับรัฐบุรุษหนึ่งเดียวอย่างปรีดี พนมยงค์ (ส่วนรัฐบุรุษที่ตั้งให้กันเองอีกคนเป็นของปลอม)

ผลงานและมันสมองตลอดจนการยอมรับจากประชาชนของของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้พรรคประชาธิปัตย์พวกศักดินาฉงนฉงาย


มาบัดนี้พรรคประชาธิปัตย์อยากเดินตามรอยในสิ่งที่อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตรเคยทำไว้ แต่ “นางกุลา” ก็คือนางกุลา จะเป็น “โสนน้อย” ไปไม่ได้ เช่นเดียวกับนางอิจฉาอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่มีวันจะเป็นพระเอกหรือนางเอกได้ แม้ว่าจะพยายามทำให้ดูเหมือนก็ตาม.

 

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…