Skip to main content

พักหลัง ผมเข้าไปเยื่ยมชมเว็บไซต์ "ASTVผู้จัดการ" บ่อยครั้ง เพื่ออยากรู้ว่าชาวสีเหลืองหรือกลุ่มพันธมิตรคิดอ่านกันอย่างไร มีนวัตกรรมอะไรบ้างในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ศึกษากลวิธีในการเต้าข่าว การใส่ไคล้ การใช้ภาษาของบรรดาคอลัมนิสต์ กระทั่งแวะเข้าไปอ่าน "เรื่องนินทาราวตาเห็น" ของ "ซ้อเจ็ด" ผู้โด่งดัง


อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นคงต้องยอมรับว่าเว็บไซต์ผู้จัดการมีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน บทความบางชิ้นมีสาระพออ่านได้ เช่น การวิจารณ์ภาพยนตร์ "วงศ์คำเหลา" ที่กำกับโดย "หม่ำ จ๊กมก" ซึ่งทำรายได้นับร้อยล้านบาทอันสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมในการดูหนังของคนในปัจจุบันได้ว่าเป็นอย่างไร หรือการวิจารณ์เพลงของวง "อินโนเซนท์"


รวมทั้งความตั้งอกตั้งใจอย่างเห็นได้ชัดของทีมงานเว็บไซต์ "ASTVผู้จัดการ" ที่มีความเป็นมืออาชีพในแง่ของการทำงาน ทันอกทันใจ ทันเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลานั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องชมเชย


แต่นอกจากนั้นแล้ว ที่เหลือล้วนแต่น่าอนาถ บิดเบือน ชี้นำ เร้าความเกลียดชัง ใส่ร้ายป้ายสี ดูหมิ่นถิ่นแคลน โกหก และจิก ด่า เผยแพร่สำนึกผิดๆ เหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นสาระหลักของเว็บแห่งนี้เลยทีเดียวโดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวหรือบทความการเมือง เช่น


พันธมิตรฯ เริ่มแล้ว แจ้งจับแดงยื่นฎีกาเถื่อน

"ประสพสุข" เตือนหางแดง อย่าทะเล่อทะล่า ยื่นฎีกาตรงสำนักพระราชวัง


โดยภาพรวม ผมขอแบ่งเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์ผู้จัดการออกเป็น 3 ส่วน


ส่วนแรกคือข่าวทั่ว ๆ ไป ที่มีการใส่สีตีไข่ค่อนข้างน้อย เช่น ข่าวกีฬา อาชญากรรม ข่าวต่างประเทศ ข่าวในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งอยู่ในระดับที่พออ่านได้ บทความบางชิ้นถึงขั้นมีประโยชน์ ข่าวหรือสกู๊ปในลักษณะนี้มักไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือผลประโยชน์ของเครือผู้จัดการ


ส่วนที่สอง เป็นลักษณะที่พบเห็นได้โดยง่ายของเว็บไซต์นี้คือ เขียนข่าวโดยใช้ภาษาฉูดฉาด เร้าอารมณ์จนเหมือนอ่านนิยาย หนักไปทางโฆษณาชวนเชื่อจนมีลักษณะคล้ายใบปลิว เสียดสีเย้ยหยัน ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นข่าวและส่วนที่เป็นบทความที่เขียนโดยนักวิชาการ คอลัมนิสต์


"วัชระ" เย้ยฎีกาหางแดงฎีกาผ้าป่า เวทนา "ไอ้ตู่" คนไร้ราคา

ปชป.ยันข้อมูลผู้นำท้องถิ่นทำตัวเป็นทาส ล่าชื่อไถ่บาป "แม้ว"


นี่เป็นบุคลิกของเว็บไซต์แห่งนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็น "เอกลักษณ์" คือเป็นชนชั้นกลางผู้ก้าวร้าว สุดโต่ง คล้ายกับมีอุดมการณ์ เชื่อในพลังของการ "ด่า" ยิ่ง"หยาบ" ยิ่ง "ดี" (ขอให้นึกถึงบุคลิกของสนธิ ลิ้มทองกุล ก็แล้วกัน)


เราจะไม่พบลักษณะความเป็นเหตุเป็นผลปรากฏอยู่หน้าเว็บผู้จัดการหรือถ้าพอมีอยู่บ้างก็ถูกกลบเกลื่อนไปหมด การวิพากษ์วิจารณ์โดยยึดหลักการก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากเพราะได้สรุปตัดสินโดยอคติไปแล้วว่าอะไรถูก อะไรผิด


ส่วนที่สาม เราไม่อาจเข้าใจลักษณะของเว็บไซต์ผู้จัดการอย่างครบถ้วนได้เลย ถ้าไม่มองไปที่การแสวงหาผลประโยชน์ การค้ากำไร การ(หลอก)ขายของ ที่สอดแทรกอย่างไม่รู้จักเคอะเขินกับประดาข่าวต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์เอเอสทีวีตราขวัญดิน ที่มีโลโก้รับประกันคุณภาพโดยมหาจำลอง ศรีเมือง, บริการเพลงเก็บไว้ในความทรงจำ 193 วัน, มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินพ่วงไปกับให้สั่งจองจตุคาม, เสื้อยามเฝ้าแผ่นดินและโฆษณาอีกร้อยแปด


สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ประกาศกู้ชาติในยามที่ชาติรุ่งเรือง พูดถึงเรื่องการทำมาหากินโดยผูกพ่วงกับเรื่องการเมืองว่า

"เราจะเดินเส้นทางนี้ เราจะเก็บเล็กผสมน้อย จากเงินบริจาคของพี่น้องบ้าง จากการขายสินค้า ผงซักฟอก ข้าวสาร น้ำปลาบ้าง จากค่าสมัครสมาชิกข่าวเอสเอ็มเอส จากกำไรการขายปุ๋ยอินทรีย์ที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แบ่งให้บ้าง เราเดินแนวทางนี้ เพื่อเป็นสื่อหลักในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่พี่น้อง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ใช่สื่อทางเลือก แต่เป็นสื่อหลักที่ต้องดู ส่วนสื่อทางเลือกคือฟรีทีวีทั่วไปที่มีแต่ละครน้ำเน่า จะดูหรือไม่ดูก็ได้"

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000089970


เราจะเข้าใจเว็บไซต์ผู้จัดการไม่ได้โดยเด็ดขาด ถ้ามองแต่เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองเพราะที่แท้แล้วการมอมเมาทางการเมืองนั้นแยกไม่ออกเลยกับการ (หลอก) ขายของหรือการแสวงหากำไรหรือผลประโยชน์ อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ดูเหมือนเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองนั้นเป็นยุทธวิธีทางการตลาดหรือการส่งเสริมธุรกิจนั่นเอง เราลองมาดูหัวข้อข่าวนี้สิ จะเห็นได้ว่า การเมือง-การขายสินค้า สัมพันธ์กันมากทีเดียว


พธม.อุบลฯต้านฎีกาหางแดงช่วย"นช.แม้ว" - ประกาศตั้งชอปขายสินค้าหนุน ASTV


เข้ามาดูเว็บไซต์ผู้จัดการแล้ว คงต้องชายตาไปที่ "ซ้อเจ็ด" เสียหน่อย นี่เป็นนวัตกรรมในการทำลายทำร้ายผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นตัวอย่างที่ดีของความเลวในแง่ของความไม่รับผิดชอบ นี่เป็นตัวตนแท้จริงของเว็บไซต์ผู้จัดการ ขอคัดเนื้อหาบางประโยคมาเป็นตัวอย่าง "ซ้อเจ็ด" เขียนว่า


"ทะลวงตูดตุ๊ด เกย์ เก้ง กวาง มาหลายอาทิตย์ละ วันนี้ขอล้างมือจากขี้ไปบี้เรื่องของชายจริงหญิงแท้ มั่งดีกว่า... ปริศนานมยานช้ำในยังเป็นที่ถกเถียงของบรรดาผัวฮิปฮอปของน้องย้วยยูเทิร์น ว่า ใครกันหว่าที่ฟัดนมส่วนกลางจนเละเทะแบบนี้ เดี๋ยวปั๊ดโหวตออกไม่ให้ดูดมันซะเลย โทษฐานที่ทำนมหลวงพัง"

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000090880


หลังจากบรรยายเรื่องบนเตียงราวกับตาเห็น ด้วยภาษาที่เหมาะสมฐานานุรูปของตัวเองแล้วก็มีบรรดาแฟนคลับพากันแสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลาม น่าตลกที่ดันมีกติกาปากว่าตาขยิบข้อหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นว่า


"โปรดงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ"


นี่ละครับ เว็บไซต์ผู้จัดการ ไม่แปลกละครับที่ผู้ชมจะเยอะ เพราะขนาดหนังสิ้นคิดเรื่อง "วงศ์คำเหลา" ของ "หม่ำ จ๊กมก" ยังได้ร้อยล้านเลย.

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…