Skip to main content

อันที่จริง ผมตั้งใจจะหยุดเขียนบทความการเมืองสักระยะด้วยรู้สึกระอากับความวิปริตทางปัญญาของสังคมไทย ผมยังรู้สึกหลอนไม่หายกับการยึดอำนาจของทหารท่ามกลางความดีอกดีใจของพวก “ทาสที่ปล่อยไม่ไป” และพวกที่กลุ้มรุมทึ้งแย่งผลประโยชน์ “แห่งชาติ” ที่ไม่ได้ “เหลือแต่กระดูก” หลังการจากไปของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

กลุ่มคนเหล่านี้ที่เข้ามายึดกุมอำนาจหลังรัฐประหาร ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการสร้างประชาธิปไตยหรือปฏิรูปการเมือง  รัฐบาลเถื่อนของนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ กับ คมช. คตส. กกต. ที่ผ่านมาได้ทำอะไรบ้างที่เป็นสร้างเสริมประชาธิปไตย หรือปฏิรูปการเมืองไปสู่ครรลองประชาธิปไตยนอกจากสมคบคิดกันกวาดล้างกลุ่ม “อำนาจเก่า”

ถึงตอนนี้ เราคงได้เห็นกันแล้วว่า กลุ่มที่ช่วยกันไล่อดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร นั้นได้หันมากัดกันเองเมื่อมีการจัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ไม่ลงตัว

ได้เห็นกันแล้วว่ารัฐบาลที่เอ่ยอ้างถึงคุณธรรม จริยธรรมโดยไม่คิดนั้น  มีระดับคุณธรรม จริยธรรมไม่ได้ดีไปกว่าสมัยนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตรเรืองอำนาจ หรือเผลอ ๆ รัฐบาลชุดนี้อาจมีระดับจริยธรรมแย่เสียยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการครอบครองหุ้นเกินห้าเปอร์เซ็นต์ของหลายรัฐมนตรี การใช้งบลับและการสืบทอดอำนาจด้วยท่าทีเหนียมอายของพลเอกสนธิ บุณยรัตนกลิน ซึ่งเข้าไปนั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ฯลฯ

ผลเสียที่การรัฐประหารทำไว้ เลวร้าย “อย่างที่ไม่เคยปรากฏ” มาก่อน

คนที่เห็นดีเห็นงามกับการยึดอำนาจหรือคนที่มีส่วนร่วมกับม็อบพันธมิตรนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะสำนึกถึงความเสียหาย และตระหนักถึงบทเรียนของการปล่อยให้ทหารมาเพ่นพ่านในวงการเมืองและสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อย่าว่าแต่คนรุ่นใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเสียหายของพัฒนาการทางการเมืองจากการที่กลุ่มทหารเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทยเป็นระยะ ๆ  แม้แต่คนรุ่น “เดือนตุลา” ที่เคยเข้าป่าก็ยังไม่ “ซึ้ง” ถึงความเลวร้ายอันเกิดมาจากการยึดอำนาจของเผด็จการทหาร ดังนั้น จึงให้คะแนนคมช. สอบ “ผ่าน” นี่ช่างน่าสงสัยว่าที่แท้แล้วบทเรียนของ “เดือนตุลา” นั้นเป็นอย่างไร

ถ้าให้ทหารที่ยึดอำนาจสอบผ่านแม้จะอย่างเฉียดฉิว จะสอนนักศึกษาให้เคารพการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะสอนให้คนรุ่นหลังเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร การหวังเกาะกระแสสังคมเพื่อสร้างชื่อโดยไม่คำนึงถึงหลักการอะไรเลยนั้น สมควรถูกประณาม

ข่าวที่ว่าคุณจรัล  ดิษฐาอภิชัย ถูกสมาชิกสภานิติบัญญัติที่มาจากการแต่งตั้งโดยทรราชย์ ลงคะแนนเสียงถอดถอนออกจากการเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนนั้น ทำให้ผมหันมาต้องเขียนระบายความอัดอั้นตันใจ

ข่าวนี้สร้างความปวดใจให้ผมไม่น้อย ตอน นวมทอง  ไพรวัลย์ อัตวินิบาตกรรม บอกตามตรงว่า ผมยังไม่รู้สึกแย่เท่านี้เลย นั่นคงจะเป็นเพราะว่า นวมทอง ไพรวัลย์เดินทางไปสู่อีกภพภูมิหนึ่งที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องการเมือง แต่ข่าวนี้ทำให้เหลืออดจริง ๆ

คุณจรัล ดิษฐาอภิชัย ถูกมองว่าไม่มีความเป็นกลางและละเมิดสิทธิมนุษยชน ผมไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดีกับข้อกล่าวหาที่ว่านี้

สมมุติว่าคุณจรัล ดิษฐาอภิชัย วางตัวไม่เป็นกลางและละเมิดสิทธิมนุษยชนจริงดังคำกล่าวหา การล้มล้างทำลายระบอบประชาธิปไตยของทหารและการวางตัวของประธานองคมนตรี ไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและขาดความเป็นกลางยิ่งกว่าหรอกหรือ ?

การกระทำของกลุ่ม ASTV ไม่เป็นกลางและละเมิดสิทธิมนุษยชนยิ่งกว่าหรือ ? การโจมตีและสร้างความเสียหายให้แก่นักข่าวสาวที่ไม่อาจปกป้องตัวเองจากการที่ไปสัมภาษณ์อดีต นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จนต้องออกจากราชการนั้นไม่เลวร้ายกว่าหรอกหรือ?

นี่คือความวิปริตทางปัญญาของสังคมไทยที่แยกไม่ออกระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกับการล้มล้างทำลาย แยกไม่ออกระหว่างความเลวกับความเลวกว่า เป็นความวิปริตทางปัญญาที่ปล่อยปละละเลยให้ความอยุติธรรมดำเนินไปโดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือแกล้งโง่

ผมอยากจะย้ำว่าการถอดถอนคุณจรัล ดิษฐาอภิชัย นั้นคือการ “ละเมิด” อย่างรุนแรง เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดหลักการประชาธิปไตย สภาเถื่อนอย่างสนช. นั้นไม่สามารถอ้างอำนาจอันชอบธรรมในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระซึ่งเป็นอำนาจที่สี่

สภาเถื่อนนี้ “มาโดยไม่ชอบ ยังใช้อำนาจโดยไม่ชอบอีก”

การออกมาต่อสู้ของ คุณจรัล ดิษฐาอภิชัย โดยประกาศจุดยืนอย่างตรงไปตรงมา ไม่แทงกั๊ก ไม่หลบ ๆ ซ่อน ๆ เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ในขณะที่หลาย ๆ คนพากันพูดว่าไม่เอารัฐประหาร แต่ไม่ทำอะไรสักอย่างเดียว

การเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญของคุณจรัล ดิษฐาอภิชัย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าชื่นชมและจดจำของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ขอชื่นชมคุณจรัล  ดิษฐาอภิชัยที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยโดยไม่กลัว “เปลืองตัว”

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมเฝ้ารอคอยดูผลสำเร็จ (หรือไม่สำเร็จ) ของนโยบาย "5 รั้ว" ซึ่งเป็นนโยบายทางด้านยาเสพติดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด ทำให้ยาเสพติดลดลงได้จริงหรือไม่ "5 รั้ว" ที่ว่าคือ รั้วชายแดน รั้วชุมชน รั้วสังคม รั้วโรงเรียน และรั้วครอบครัว ทั้ง "5 รั้ว" จะช่วยเป็นเกราะป้องกันต้านทานการทะลักเข้ามาของยาเสพติด พร้อมไปกับการปราบปรามอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม
เมธัส บัวชุม
ผมเคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีความสามารถในการทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ รายการเชื่อมั่นประเทศไทยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นมีแต่ถ้อยคำลวงโลกว่างเปล่า รัฐมนตรีทำงานแบบขอไปที เอาตัวรอดไปวัน ๆ ทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนกลายเป็นความเห็นอกเห็นใจง่าย ๆ และรับปากว่าจะดำเนินการ ทาสีให้พรรคพวกที่ทำผิดกฏหมายกลายเป็นบริสุทธิ์ นโยบายไม่มีอะไรใหญ่และไม่มีอะไรใหม่ ฯลฯ ขณะเดียวกันคนเสื้อแดงก็ฝ่อลง เหมือนหมดมุกจะเล่น เหมือนหมดทางจะไปต่อ เหมือนยอมรับสภาพ
เมธัส บัวชุม
บางครั้งผมถามตัวเองว่าทำไมรู้สึกแย่ถึงขั้นขยะแขยงทุกครั้งที่เห็นหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางจอโทรทัศน์ บางทีฝืนใจดูเพราะอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะพูดอะไรแต่ก็ต้องเปลี่ยนช่องทันทีที่ได้ฟังประโยคแรก เพราะเพียง "อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่" ผมได้คำตอบเบื้องต้นว่าเหตุที่ไม่ชอบนายกรัฐมนตรีคนนี้อย่างรุนแรงนั้นมีหลายสาเหตุ เป็นต้นว่าการไม่เป็นสุภาพบุรุษ (แพ้ก็ไม่ยอมรับว่าแพ้) ชอบเล่นนอกกติกา (บอยคอตเลือกตั้ง) ขาดความเป็นผู้นำ (ตัดสินใจอะไรไม่ได้) พูดจ้าอ้อมค้อมวกวน (ตอบไม่ได้เรื่องหนีทหาร) เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น (โทษคนอื่นตลอด) ทำหน้าซึ้งๆ เศร้าๆ (คิดว่าตนเองเป็นนางเอก) ท่าดีทีเหลว (…
เมธัส บัวชุม
หากให้ลองเอ่ยชื่อปัญญาชนที่เป็นเสาหลักของสังคมไทย แน่นอนต้องมี ส.ศิวรักษ์ รวมอยู่ด้วย จากผลงานมากมายและหลากหลายในอดีตคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธคุณูปการของ ส. ศิวรักษ์ ที่มีต่อสังคมไทยไปได้ ย้อนหลังไปก่อนการเมืองยุคทักษิณ ผมเฝ้าติดตามและชื่นชมผลงานของส.ศิวรักษ์อยู่ห่าง ๆ ชื่อของเขาในฐานะวิทยากรตามงานสัมมนาเป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ต้องเข้าไปนั่งฟังทัศนะอันกล้าหาญแหลมคม อาจกล่าวได้ว่าเขาคือแรงดลใจและเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในการต่อสู้กับความ อยุติธรรม
เมธัส บัวชุม
การเมืองไร้หลักการหลังรัฐประหาร ปี 49 นำมาซึ่งเรื่องชวนหัว ขำ ฮา ตลกร้าย ตลกแต่หัวเราะไม่ออก ตลกจนอยากจะร้องไห้ ฯลฯ หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ในที่นี้อยากจะหยิบยกมาพูดคุยสัก 4 เรื่อง เรื่องแรก ไม่เป็นเหลือง การปลดคุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการคู่บุญของเครือมติชนด้วยข้อหาไม่เป็นกลางนั้นฮาครับ แต่หัวเราะไม่ออก การไม่เป็นกลางนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงนี่สิเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ (แต่คนเสื้อแดงหลายคนก็บอกว่าไม่เห็นคุณเสถียรจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงเลย) ในทางกลับกัน รายของ "นงนุช สิงหเดชะ" ซึ่งเขียนด่า (ใช้คำว่าด่า) คนเสื้อแดงและทักษิณมายาวนาน ด่าเอา…
เมธัส บัวชุม
  Iภาพที่ผู้ชายจิกหัวผู้หญิงเสื้อแดง แล้วลากถูลู่ถูกังไปกับถนนด้วยความอาฆาตมาดร้ายท่ามกลางการยืนดูเฉย ๆ ของทหาร นักข่าวและสาธาณชนนั้นน่าสะเทือนใจ ไม่ต่างอะไรกับการมุงดูผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในที่สาธารณะ นอกจากไม่คิดจะช่วยแล้ว บางคนอาจจะลุ้นเอาใจช่วยฝ่ายชายอีกต่างหาก
เมธัส บัวชุม
คุณวีระ มุสิกะพงศ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์สู้รบ การประกาศมอบตัวอุปมาเหมือนแม่ทัพที่ทิ้งทัพกลางศึกด้วยเหตุที่ว่ากลัวไพร่พลและทหารแดงที่เข้าร่วมสงครามจะบาดเจ็บล้มตาย! -------------
เมธัส บัวชุม
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล  นักวิชาการขาประจำผู้ซึ่งเคยเสนอมาตรา 7 เช่น อธิการบดีธรรมศาสตร์ ให้ทัศนะในรายการหนึ่งทางโทรทัศน์ว่าการโฟนอินของทักษิณจะทำให้แนวร่วมเสื้อแดงบางส่วนหายไป จะเหลือก็แต่คนเสื้อแดงแท้ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านต่างจังหวัดเท่านั้นผมได้ฟังแล้วงง มันมี "เสื้อแดงแท้ ๆ" กับ "เสื้อแดงไม่แท้" ด้วยเหรอ ? แล้วคน "เสื้อแดงแท้ ๆ"  ในความหมายของนักวิชาการรายนี้หมายถึงใคร
เมธัส บัวชุม
ถือเป็นความคืบหน้าทางการเมืองอีกขั้น ที่ประชาชนแห่งกองทัพแดงสามารถ "ลาก" เอาประธานองคมนตรีออกมาชันสูตรกันในที่แจ้ง จับแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าสาธารณชน เปลื้องเปลือยรอยตำหนิและแผลเป็นน่าเกลียดไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้  แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง…
เมธัส บัวชุม
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลผ่านพ้นไปแล้วหลายวัน โพลล์บางสำนัก นักวิชาการบางราย สื่อบางเจ้า ทำการสำรวจประเมินความคิดเห็นของประชาชนต่อการอภิปรายครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากผลจะออกมาเป็นบวกต่อรัฐบาล ทั้งที่ข้อมูลของคุณเฉลิม อยู่บำรุง นั้นถือเป็นข้อมูลลึกและน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง ผมติดตามการอภิปรายอยู่ห่างๆ หมายถึงดูบ้าง ไม่ได้ดูบ้าง สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากคำอธิบาย คำชี้แจงของรัฐบาลคือแทบทุกคนไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเลย การให้เหตุผลเป็นแบบ "เอาสีข้างเข้าถู" "แก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ" หรือชี้แจงไม่ตรงกับสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปราย
เมธัส บัวชุม
เป้าหมายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรกับเป้าหมายของคนเสื้อแดงนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าเหมือนกันเสียทีเดียวหากแต่มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก หมายถึงว่ามีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน แต่ก่อนจะพูดถึงส่วนที่เหมือนและต่างนั้นต้องทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นกันก่อนว่า คนเสื้อแดงมีหลายประเภท หลายเฉด คนเสื้อแดงมีตั้งแต่กลุ่มฮาร์ดคอร์แบบอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์, จักรภพ เพ็ญแข และสีแดงอ่อนๆ ประเภท "แดงสมานฉันท์" สีแดงมีหลายดีกรีคือมีทั้งพวกอนุรักษ์นิยมอ่อนๆ ,เสรีนิยม ไปจนถึงกลุ่มถอนราก ถอนโคน (radical)
เมธัส บัวชุม
ผมเคยดูวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ชื่อ "แฮมเมอร์" แสดงสดหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ดูครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยอมรับว่าประทับใจมาก ครั้งต่อ ๆ มาก็ยังประทับใจ ทุกคนในวงตั้งใจเล่น ตั้งใจร้อง นักดนตรีหลายคนสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น เดี๋ยวขลุ่ย เดี๋ยวไวโอลิน ดูแล้วเพลิดเพลินนัก แตกต่างจากวงดนตรี "เพื่อชีวิต" ทั่ว  ๆ ไป แม้จะมีหนวดเครายาวรุงรัง แต่แฮมเมอร์ดูสะอาด ไม่มีลีลาหรือพิธีรีตองอะไรมาก ไม่ต้องเก๊กหน้าให้ดูเหมือนกับคนมีความคิดลึกซึ้งหรือดัดเสียงให้ฟังซึ้งเศร้าหรือด่านักการเมืองก่อนเข้าเพลง  วงดนตรีแฮมเมอร์เป็นอะไรที่น่าจดจำอย่างไรก็ตาม…