Skip to main content

เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ


ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก


สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่ คนที่ถูกข่มขืนบางรายจึงคิดว่าตายเสียกว่าดีมีชีวิตอยู่


อย่างไรก็ตาม มีบางรายเหมือนกันที่สามารถปรับตัวปรับใจเข้ากับการทำรัฐประหารหรือการถูกข่มขืนได้โดยไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาแต่อย่างใด หรือไม่ก็ลืม ๆ มันไปเสียเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เหยื่อบางรายไปไกลกว่านั้นมาก คือติดใจชมชอบการทำรัฐประหารหรือการถูกข่มขืนไปเลย แต่ชีวิตของคนแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์


เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่า รัฐประหารนั้นเป็นการใช้กำลังอันป่าเถื่อนเพื่อบังคับอย่างตรงไปตรงมา และโดยอ้อมให้ยอมรับ ยอมจำนนต่อกติกาอันไร้เหตุผล จากนั้นก็ทำการยัดเยียดสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกาย จิตใจและสติปัญญา ในระบอบประชาธิปไตยรัฐประหารคือสิ่งสุดท้ายของพรมแดนแห่งจินตนาการทางการเมืองที่มนุษย์จะนึกคิดได้หรือที่จะอนุญาตให้เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครอยากให้ตนเองหรือลูกหลานของตนเองถูกข่มขืน


ดังนั้น เราจึงพยายามหลีกเลี่ยงรัฐประหารหรือการถูกข่มขืนโดยการออกแบบการปกครองที่ไม่ป้องกันการใช้กำลังกระทำต่อผู้อื่น หรือป้องกันการฆ่ากันในยามที่ทะเลาะกัน หรือใช้ความรุนแรงในการตัดสินแพ้ชนะ พูดง่าย ๆ ว่าระบอบประชาธิปไตยถูกออกแบบขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความป่าเถื่อนและการฆ่ากันตายโหงโดยไม่จำเป็น ตามความเชื่อที่ว่าชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่าไม่ควรจะตายกันง่าย ๆ เพราะความบ้าและหลงอำนาจของคนที่ไม่รู้จักคำว่า “พอเพียง”


แต่แล้ว รัฐประหารกลับทำลายสิ่งที่ว่านี้ไปพร้อมทั้งสร้างความเชื่อขึ้นมาว่ารถถังหรือปืนหรือการใช้กำลังทหารในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง) สามารถชี้แพ้ชนะ สามารถตัดสินถูกผิดดีชั่วได้


สามารถเอาตัวคน “ที่ถูกกล่าวหา” มาลงโทษหรือตั้งองค์กรเถื่อน (อย่างคตส.) ขึ้นมาเพื่อเอาผิด “ผู้ถูกกล่าวหา” แล้วเรียกหน้าด้าน ๆ ว่าเป็นการ “เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” โดยไม่คิดสักนิดเลยว่ากระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้นไม่ได้ภายใต้อำนาจเถื่อนของปากกระบอกปืน


จะว่าไปแล้ววิธีคิดตลอดจนความเชื่อ ที่รัฐประหารสร้างขึ้นมายาวนานหลายปี ไม่ได้ต่างอะไรกับพฤติกรรมของสัตว์ หรือให้ดีขึ้นมาหน่อยก็อาจเปรียบเทียบได้กับการที่กลุ่มโจรเข้ามาปล้นฆ่าผู้นำและลูกบ้านบางคนแล้วตั้งตนเป็นใหญ่ปกครองชุมชนนั้นต่อไป


ในทางการเมืองรัฐประหารจึงเป็นความเลวร้ายสูงสุดที่เราต้องต่อต้าน แต่ไฉนนักสิทธิสตรีหรือนักสิทธิมนุษยชนหรือนักวิชาการในเมืองไทยหลายรายกลับเฉย ๆ กระทั่งเห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหาร (ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนอย่างคุณจรัล ดิษฐาอภิชัย ที่เลือกข้างความถูกต้อง กลับได้รับก้อนอิฐตอบแทน)


เป็นไปได้หรือไม่ว่า รัฐประหารเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเมืองไทยที่หลายคนคุ้นเคยจนมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ? และเห็นว่าเป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหาทางการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับที่การข่มขืนก็เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถตกลงยอมความกันได้โดยอาจจะจ่ายค่าเสียหายเพื่อเป็นการชดเชย ?


การรัฐประหารครั้งล่าสุด 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของความเลวร้ายและเลวทรามในเรื่องของการละเมิดรวมหมู่ในหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์แล้วนำกติกาเก่าแก่ที่ป่าเถื่อนล้าหลังแบบเดียวกับสัตว์กลับมาใช้นั้นแยกไม่ออกจากบทบาทการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อาจหาญเรียกตัวเองว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”


การเรียกตัวเองเช่นนี้ให้คำว่า “ประชาธิปไตย” สามานย์และสาธารณ์ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคนกลุ่มนี้นี่เองที่เปิดประตูเชื้อเชิญให้คณะทหารเข้ามายึดอำนาจ ดังนั้นการเลือกใช้คำของกลุ่มคนกลุ่มนี้จึงเป็นเหมือนการเล่นตลกที่กลับตาลปัตรกันไปหมด ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม


หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่การนำมวลชนจัดตั้งมาปักหลักอยู่หน้าทำเนียบเป็นแรมเดือนของคนกลุ่มนี้จะถูกมองว่าจงใจทำให้เกิดการรัฐประหารหรือการข่มขืนรวมหมู่ขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เคยทำสำเร็จมาหนหนึ่งแล้ว


แม้ว่าแกนนำบางรายของกลุ่มผู้ชุมนุมจะประกาศอารยะขัดขืนแต่มันก็ไม่ช่วยม็อบกลุ่มนี้ดูดีขึ้นมาเลย เพราะอารยะขัดขืนนั้นต้องขับเคลื่อนด้วยความจริง ความถูกต้อง รวมไปถึงการไม่ใช้ความรุนแรงทางวาจา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ม็อบที่เรียกว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ไม่มีเลย ดังนั้นน่าจะเปลี่ยนจากคำว่า “อารยะขัดขืน” เป็น “อารยะข่มขืน” ที่แปลว่า “การข่มขืนแบบเนียน ๆ” น่าจะตรงกว่า.

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมใส่เครื่องหมายไปยาลน้อยหลังคำว่า “ม็อบพันธมิตร ฯ” ด้วยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าผู้อ่านแต่ละคนสามารถที่จะเลือกใส่คำต่อท้ายคำว่า “พันธมิตร” ลงไปได้ตามที่เห็นสมควร เพราะรู้สึกกระดากละอายเกินกว่าที่จะเรียกกลุ่มนี้ด้วยชื่อเต็ม ๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่คนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คือมีแต่ความใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง ขาดความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ความอดทนอดกลั้นทางการเมืองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอยู่ร่วมกัน (เพราะจะได้ไม่ต้องฆ่ากัน) นอกจากขาดความอดทนอดกลั้นแล้วกลุ่มพันธมิตร ฯ…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้ว ผมเสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรก็ตามแต่” ไม่สามารถเรียกว่าด้วยคำหรูๆ เกินจริงอย่าง “อารยะขัดขืน” ได้ หากแต่ควรเรียกว่า “อารยะข่มขืน” น่าจะเหมาะกว่า และผมได้แปลคำว่า “อารยะข่มขืน” ว่าหมายถึงการ “ข่มขืนที่เนียนๆ” อันหมายถึงการละเมิดขืนใจทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมที่ดูเหมือนจะถูกกฎหมายและดูเหมือนจะมีอารยะ แต่ที่แท้แล้ว เลวร้ายไม่น้อยกว่าการใช้กำลังบังคับตรงๆ เพราะเป็นการใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือกลวิธีที่แนบเนียนแยบคายในการเข้าไปมีสิทธิเหนือร่างกายและจิตใจของผู้อื่น ส่วนในระดับของสังคมการเมืองนั้น…
เมธัส บัวชุม
เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความชัดเจน เป็นความเหมาะสมที่เราจะเทียบเคียงการทำรัฐประหารซึ่งทุกครั้งจะถูกอ้างในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่าง (เขาพระวิหาร การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ปฏิญญาฟินแลนด์) เข้ากับการข่มขืน เพราะมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ใช้เพียงสามัญสำนึกเราก็รู้ว่าการทำรัฐประหารและการข่มขืนคือการละเมิดเพิกถอนในสิทธิทุกด้านและทุก ๆ หลักการของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในร่างกาย จิตใจและสติปัญญาตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก สิ่งที่คนถูกข่มขืนได้สูญเสียไปคือคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นแก่นสาระของการมีชีวิตอยู่…
เมธัส บัวชุม
กล้องถ่ายรูป นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บภาพแล้วยังสามารถเป็นอาวุธไปได้พร้อมกัน  หลายคนที่สันหลังหวะและกำลังจะหวะจึงมักกลัวกล้องเพราะมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟ้องด้วยภาพ” ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคำบรรยายเป็นไหน ๆ และในรายที่ความผิดปรากฏชัดแล้ว กล้องก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ประจานด้วยภาพ” ได้อีกด้วยนักการเมืองหรือดาราหรือกระทั่งคนธรรมดาเวลาทำผิดจึงมักจะหลบกล้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้นักศึกษาอมนกเขาแลกเกรดก็พยายามเลี่ยงหลบกล้องโดยเอาปี๊บคลุมหัว หรือนักการเมืองบางรายลงทุนพรางตัวเพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้ขณะที่เข้าพบป๋าเป็นการส่วนตัว…
เมธัส บัวชุม
"ขี้กะโหล่ย" เป็นศัพท์วัยรุ่นทั่วไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ มักจะมีความหมายเชิงลบ ทำนองว่าไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง นิสัยไม่ดี พฤติกรรมแย่ เป็นที่รังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ อย่าไปคบหา ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี"  หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
เมธัส บัวชุม
ปฏิวัติ 14 ตุลา 2516 ประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ดึงอำนาจจากมือของเหล่าขุนนางข้าราชการมาเป็นของประชาชน ซึ่งในขณะนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งระบอบอมาตยาธิปไตยครอบครองเป็นใหญ่ในเวทีการเมืองของสภาผู้แทนราษฎรอยู่  แต่ปัจจุบันกลับตาลปัตร เมื่อประชาชนร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาลประชาธิปไตยต่อสู้กับซากเดนแห่งระบอบอมาตยาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นกลุ่มพลังนอกเวทีรัฐสภา เป็นกลุ่มเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญที่ต้องการบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของระบอบรัฐสภาการขยับตัวเคลื่อนไหวของ “ระบอบเก่า” เพื่อหวนกลับมามีบทบาทในเวทีการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้าน…
เมธัส บัวชุม
อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ …
เมธัส บัวชุม
เครือผู้จัดการมีสื่ออยู่ในมือหลากหลายครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและเวบไซต์ อันทำให้การโฆษณาชวนเชื่อที่เหลวไหลของพวกเขาเป็นไปอย่างครอบคลุมกว้างขวาง เกิดประสิทธิภาพไม่น้อยพวกเขา (เครือผู้จัดการ) สถาปนาตัวเองตามแต่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเลือกตั้งหรือแต่งตั้งด้วยบทบาทหลากหลายเหลือเชื่อคือเป็นตั้งแต่ “ยาม” ไปจนถึง “ผู้จัดการ”“ยาม” และ “ผู้จัดการ” นั้นอยู่กันคนละชนชั้นหรือพูดด้วยภาษาแบบหมอประเวศ วะสี ก็คืออยู่กันคนละ “ภาคส่วน” แต่บทบาทหน้าที่ทั้งหมดนี้พุ่งไปที่จุดประสงค์เดียวกันสำหรับ “ยาม” ภาพลักษณ์ที่ตายตัวคือเป็นคนระดับล่างของสังคม เป็นผู้ใช้แรงงานหรือใช้กำลัง…
เมธัส บัวชุม
เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยกระทั่งถึงยุคเผด็จการคมช. ครองเมืองซึ่งได้สร้างเครื่องมือต่างๆ (รวมทั้งรัดทำมะนวยฉบับหัวคูน) เพื่อสืบทอดอำนาจและทำการถอนรากถอนโคนรากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น มีอะไรที่น่าสนใจมากมายจนผมคิดว่าน่าจะมีนักเขียนมือดีสักคนนำเอาเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ บวกกับจินตนาการบรรเจิดมาผูกร้อยเข้าเป็นนวนิยายชั้นเยี่ยมได้สักหลายเรื่อง การเมืองช่วงก่อนและหลังรัฐประหารนั้น “เป็นนิยายยิ่งกว่านิยาย” เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตาลปัตรกลายเป็น “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร ความพ่ายแพ้ยกแรกของเผด็จการทหาร…
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว…
เมธัส บัวชุม
-1-การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!) ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง…
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท…