๑.
ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน
คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา
ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า
ทุกค่ำคืนจึงมีเสียงปืนดังปังเป็นระยะ สะท้อนสะท้านมาถึงบ้านไร่ ส่วนใหญ่จะกังวานมาจากริมฝายใหญ่ ที่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร ที่นั่นเป็นแหล่งพักค้างแรมอย่างดีของนายพราน ภายใต้ร่มเงาใหญ่ของต้นมะม่วงเฒ่าริมน้ำ เมื่อเย็นย่ำของสามวันก่อน ฉันเดินเล่นไปถึงที่นั่น ได้พบกับชายฉกรรจ์สามสี่คนกำลังสุมไฟ พวกเขาบอกว่าคืนนี้จะออกล่าหนูแถวๆนี้
หนูนาตัวใหญ่ๆ มีจำนวนมากมายมหาศาล ตามทุ่งนาป่าดอนละแวกนี้ เพราะนี่คือพื้นที่ที่อุมดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ ทั้งข้าว ทั้งมันสำปะหลัง ทั้งรากไม้ธรรมชาติที่หอมหวานอร่อยๆ มีให้เลือกกินเหลือเฟือตลอดฤดูฝนราวกับมีงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ มีความบรรเทิงเริงรมย์อย่างยิ่งยวด เพราะไร้วี่แววของนักล่า ทั้งที่เป็นสัตว์สองเท้าและสี่เท้าใดๆมารบกวน
แต่ฤดูกาลนี้ และค่ำคืนเช่นนี้..งานเลี้ยงจบสิ้นลง ถึงคราวที่มันจะต้องอพยพลูกหลานหนีตายกันแล้ว
๒.
สะดุ้งตื่นตอนใกล้สาง เหวี่ยงผ้าห่มหนาหนักออกจากกาย หนาวมากแค่ไหนก็จำต้องลุกออกไปสุมไฟอีกครั้ง สายลมหนาวพัดกรูเกรียว ท้องฟ้าคล้ายสลับทิศทาง แสงจันทร์สาดจ้าทางทิศตะวันตกดูคล้ายตะวันกำลังแย้มแสง ทั้งที่แสงแรกแห่งวันยังห่างไกล รอยต่อของเวลาย่ำรุ่ง ขับเงาไม้สูงทะมึนรอบๆไร่ เป็นคล้ายกำแพงหนาที่โอบล้อมเข้ามาอย่างช้าๆ สะกดให้หยุดนิ่งตะลึงกลัว
แต่แล้วเสียงหมาน้อยสองตัวที่ร้องอี๊ดอ๊าด ปีนป่ายที่แข้งขา ดึงใจกลับมาอยู่ที่มัน ทั้งกองไฟก็ใกล้มอดลงแล้วจริงๆ จึงต้องซุนฟืนเข้าไปอีก ไม้ดุ้นใหญ่ยังลุกไหม้เป็นถ่านแดง ดุ้นกลางๆใกล้มอดดับ ดุ้นเล็กๆกลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือฟืนไม่มากนัก พรุ่งนี้คงต้องเข้าไปในป่าเก็บฟืนอีกหน
พลัน เสียงร้องโหยหวนชวนขนลุก ก็แว่วมาจากป่าท้ายไร่นั่น คล้ายๆเสียงวิญญาณร้ายเพรียกหาพวกพ้อง เสียงโหยหวน เยือกเย็น จนขนลุกซู่ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้ยินเสียงหมาจิ้งจอกร้องรับกับเป็นทอดๆ ยาวนานขนาดนี้
โว้วววว!! จ๊อก ! จ๊อก ! จ๊อก ! เสียงหอนขานรับเป็นช่วงยาว บอกถึงจำนวนมหึมา
หมาน้อยเบียดเข้ามานั่งชิดอย่างตื่นกลัว เราทั้งคู่ต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดหวั่นขวัญผวา แต่ฉันต้องข่มใจทำหน้าที่จนกระทั่งเปลวไฟลุกโชนอีกหน แล้วค่อยๆลูบหัวหมาน้อย ปลอบโยนจนมันนอนหลับลงไป
เดินออกมาดูท้องฟ้าอีกหน เห็นแสงเรืองเรื่อเริ่มระบายที่ริมฟ้า ถอนหายใจโล่งอก ฝูงหมาจิ้งจอกคงปักหลักหากินอยู่ห่างไกลออกไป มันคงไม่ข้ามเขตมาหากินในถิ่นของคน แม้จะเป็นเพียงบ้านไร่หลังเดียวก็ตามที
ฉันหวังว่า การแบ่งปันอาณาเขตในการล่า น่าจะมีกฏกติกาธรรมชาติอย่างชอบธรรม
แต่แล้ว...เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกหนึ่งปัง ทิศทางมาจากป่าใหญ่ผืนนั้น นั่นเอง