Skip to main content


.

ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน

คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา

ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า

ทุกค่ำคืนจึงมีเสียงปืนดังปังเป็นระยะ สะท้อนสะท้านมาถึงบ้านไร่ ส่วนใหญ่จะกังวานมาจากริมฝายใหญ่ ที่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร ที่นั่นเป็นแหล่งพักค้างแรมอย่างดีของนายพราน ภายใต้ร่มเงาใหญ่ของต้นมะม่วงเฒ่าริมน้ำ เมื่อเย็นย่ำของสามวันก่อน ฉันเดินเล่นไปถึงที่นั่น ได้พบกับชายฉกรรจ์สามสี่คนกำลังสุมไฟ พวกเขาบอกว่าคืนนี้จะออกล่าหนูแถวๆนี้


หนูนาตัวใหญ่ๆ มีจำนวนมากมายมหาศาล ตามทุ่งนาป่าดอนละแวกนี้ เพราะนี่คือพื้นที่ที่อุมดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ ทั้งข้าว ทั้งมันสำปะหลัง ทั้งรากไม้ธรรมชาติที่หอมหวานอร่อยๆ มีให้เลือกกินเหลือเฟือตลอดฤดูฝนราวกับมีงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ มีความบรรเทิงเริงรมย์อย่างยิ่งยวด เพราะไร้วี่แววของนักล่า ทั้งที่เป็นสัตว์สองเท้าและสี่เท้าใดๆมารบกวน


แต่ฤดูกาลนี้ และค่ำคืนเช่นนี้..งานเลี้ยงจบสิ้นลง ถึงคราวที่มันจะต้องอพยพลูกหลานหนีตายกันแล้ว


.


สะดุ้งตื่นตอนใกล้สาง เหวี่ยงผ้าห่มหนาหนักออกจากกาย หนาวมากแค่ไหนก็จำต้องลุกออกไปสุมไฟอีกครั้ง สายลมหนาวพัดกรูเกรียว ท้องฟ้าคล้ายสลับทิศทาง แสงจันทร์สาดจ้าทางทิศตะวันตกดูคล้ายตะวันกำลังแย้มแสง ทั้งที่แสงแรกแห่งวันยังห่างไกล รอยต่อของเวลาย่ำรุ่ง ขับเงาไม้สูงทะมึนรอบๆไร่ เป็นคล้ายกำแพงหนาที่โอบล้อมเข้ามาอย่างช้าๆ สะกดให้หยุดนิ่งตะลึงกลัว

แต่แล้วเสียงหมาน้อยสองตัวที่ร้องอี๊ดอ๊าด ปีนป่ายที่แข้งขา ดึงใจกลับมาอยู่ที่มัน ทั้งกองไฟก็ใกล้มอดลงแล้วจริงๆ จึงต้องซุนฟืนเข้าไปอีก ไม้ดุ้นใหญ่ยังลุกไหม้เป็นถ่านแดง ดุ้นกลางๆใกล้มอดดับ ดุ้นเล็กๆกลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือฟืนไม่มากนัก พรุ่งนี้คงต้องเข้าไปในป่าเก็บฟืนอีกหน

พลัน เสียงร้องโหยหวนชวนขนลุก ก็แว่วมาจากป่าท้ายไร่นั่น คล้ายๆเสียงวิญญาณร้ายเพรียกหาพวกพ้อง เสียงโหยหวน เยือกเย็น จนขนลุกซู่ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้ยินเสียงหมาจิ้งจอกร้องรับกับเป็นทอดๆ ยาวนานขนาดนี้ 

โว้วววว!!  จ๊อก ! จ๊อก ! จ๊อก ! เสียงหอนขานรับเป็นช่วงยาว บอกถึงจำนวนมหึมา

หมาน้อยเบียดเข้ามานั่งชิดอย่างตื่นกลัว เราทั้งคู่ต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดหวั่นขวัญผวา แต่ฉันต้องข่มใจทำหน้าที่จนกระทั่งเปลวไฟลุกโชนอีกหน แล้วค่อยๆลูบหัวหมาน้อย ปลอบโยนจนมันนอนหลับลงไป

เดินออกมาดูท้องฟ้าอีกหน  เห็นแสงเรืองเรื่อเริ่มระบายที่ริมฟ้า ถอนหายใจโล่งอก ฝูงหมาจิ้งจอกคงปักหลักหากินอยู่ห่างไกลออกไป มันคงไม่ข้ามเขตมาหากินในถิ่นของคน แม้จะเป็นเพียงบ้านไร่หลังเดียวก็ตามที

ฉันหวังว่า การแบ่งปันอาณาเขตในการล่า น่าจะมีกฏกติกาธรรมชาติอย่างชอบธรรม

แต่แล้ว...เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกหนึ่งปัง ทิศทางมาจากป่าใหญ่ผืนนั้น นั่นเอง


บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  พักหลังๆนี้ลูกอ่านหนังสือเยอะมาก บางครั้งไม่มีหนังสือใหม่มาให้อ่าน ลูกจะเฝ้ารอคนที่รับปากว่าจะเอาหนังสือมาให้ หรือว่าเมื่อพ่อไปในเมือง ลูกก็รอว่าน่าจะมีหนังสือมาให้บ้าง
เงาศิลป์
 
เงาศิลป์
กระปุก หมาเพื่อนรักของลูกต้องกลับไปบ้านบัว เพราะพ่อพามันมาเยี่ยมลูกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น วันที่มันกลับไปกับพ่อ ลูกมองตามอย่างอาลัย แต่คงเข้าใจในความจำเป็น แม้จะรักมันมากแต่ลูกก็รู้ว่ามันต้องกลับไป เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของมัน
เงาศิลป์
ในราวกลางเดือนมิถุนายน ลูกยังลุกขึ้นนั่งได้เองบ้าง และบันทึกประจำวัน นอกจากจะเป็นเรื่องการกินยา อาหาร ที่คล้ายๆกันในแต่ละวัน จะแตกต่างไปบ้างเมื่ออาหารบางอย่างที่ตรวจต่อมไทมัสแล้วกินไม่ได้ ทั้งที่วันก่อนๆเคยกินได้ เช่น บันทึกของวันที่ 19 มิถุนายน ลูกเขียนว่า กินแกงอ่อมไม่ได้
เงาศิลป์
ลูกทำสมาธิด้วยการภาวนาพุทโธตั้งแต่ครั้งแรกที่หลวงพ่อมาสอนให้ ลูกจะนอนหลับตานิ่งๆภาวนา เมื่อวานนี้ แม่ชีคนสวยของลูก มาแนะนำว่า เวลาบริหารร่างกาย ด้วยการยกแขน ยกขา คู้เหยียด จากที่เคยนับจำนวนครั้ง ให้เปลี่ยนมาเป็นท่อง พุท-โธ ยามที่หดขาเข้า พร้อมกับหายใจเข้า ท่องว่าพุท ยามที่เหยียดขาออก พร้อมทั้งหายใจออก ลูกก็ท่องว่า โธ ลูกก็ทำตามนั้น
เงาศิลป์
วันที่ 13 มิถุนายน พ่อต้องไปบรรยายเรื่องเครือข่ายอินแปงกับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมรอบเทือกภูพานที่สกลนคร ลูกตื่นแต่เช้าตรู่ พร้อมพ่อ ในเวลา 03.55 น. พ่อออกไปแล้วลูกนอนต่อ จนตื่นราวๆเจ็ดโมงเช้า เปิดเสียงเทศน์ของหลวงพ่อที่ลูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ฟังวันนี้สดชื่นมาก พ่อบอกว่าหน้าตาแจ่มใส ฉี่ ถ่ายเหลืองเป็นก้อนปกติ(เยอะ) ชงยาญี่ปุ่นกิน แล้วอ่านคำภาวนาอุทิศบุญและคำอธิษฐานบารมีหลวงพ่อกับแม่ชีมาเยี่ยม หลวงพ่อเทศน์สอน ทำสมาธิ แม่ชีคนใหม่สวย จบ doctor บอกว่าจะเอาอาหารเสริมถั่วเหลืงผสมงาดำมาให้ หลวงพ่อกับแม่ชีกลับกินฟักทองแม่ชีเอาอาหารเสริมมาให้ ตรวจแล้วกินไม่ได้
เงาศิลป์
หนึ่งอาทิตย์ที่มาอยู่วัด ในบันทึกของลูกยังเขียนถึงเรื่องอาหารการกินที่เป็นของชอบส่วนตัว เช่น ขนมขาไก่ ทองม้วน ยังมีเรื่องบันเทิงเริงรมย์แทรกเป็นระยะ คือ ดู CD การ์ตูน อ่านหนังสือนิยายที่เป็นบทย่อจากละครโทรทัศน์ ลูกยังมีความรู้สึกนึกคิดแบบเด็กๆยังอยากได้กระเป๋าสตังค์คิดตี้ ยังมีอารมณ์หิวที่เกิดขึ้นรุนแรงจนร้องไห้งอแงยามดึก
เงาศิลป์
เราสามคน พ่อแม่ลูก กลายเป็นคนวัดไปแล้ว อ้อ บางวันมีน้านีมาจากสกลฯ ช่วยทำกับข้าวด้วย และยังผู้รู้เรื่องธรรมชาติบำบัดอีกหลายคน ที่มาช่วยแนะนำสิ่งที่ดีๆให้ แต่แม่ยังต้องเดินไปทำอาหารที่โรงครัวของวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรานัก ที่นั่นสะอาดและกว้างโล่ง มีน้ำประปาภูเขาให้ใช้อย่างสะดวกสบายเหลือเฟือ อันที่จริงก็ใช้กันทุกมุมวัดอยู่แล้ว เพราะว่าน้ำประปาที่ว่านี้ คือน้ำที่ผุดขึ้นมาเป็นน้ำพุเล็กๆ ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของภู ความสูงของพื้นที่ซึ่งสูงกว่าที่วัด หลวงพ่อจึงสร้างประปาภูเขาขึ้นมาอย่างง่ายดาย มีถังน้ำพักน้ำ ณ จุดที่มีน้ำพุหนึ่งลูก แล้วใส่ท่อให้มันวิ่งมาตามท่อน้ำ…
เงาศิลป์
แม่กับพ่อเริ่มทำสวนผักข้างๆ กุฏิ ผักที่ปลูกง่ายที่สุดคือต้นอ่อมแซ่บ พืชตระกูลล้มลุก กลีบดอกบอบบางสีม่วงอมชมพู สีของมันสวยหวานสดใส คนทั่วไปเรียกว่า บุษบาริมทาง แต่คนอีสานมองเห็นเป็นของกินได้ จึงเรียกอ่อมแซ่บ คงมาจากการแกงอ่อมแล้วอร่อยกระมัง ลูกแม่ต้องกินทุกวัน เป็นเมนูผักลวก
เงาศิลป์
เช้าวันที่ 6 มิถุนายน ลูกตื่นเต้นมาก แม่รู้ เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทางมาอยู่วัดกับหลวงพ่อ วันนั้นลูกตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เตรียมเก็บเข้าของเครื่องใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าคิดตี้ใบเล็กสีชมพูหวานแหววของลูก แต่เพราะลูกยังมีอาการตัวร้อนเป็นไข้รุมๆ ทำให้แม่กับพ่อเป็นห่วง เราจึงวางแผนเดินทางในตอนเย็น วันนั้นลูกร่าเริงมาก และเขียนบันทึกว่า วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551 วันแห่งความสุขและความสงบวันนี้ตื่นขึ้นมายิ้มรับวันใหม่ด้วยใจที่เบิกบาน มีความสุขในสมุดบันทึกสุขภาพอีกเล่ม ลูกเขียนไว้ว่า
เงาศิลป์
ตอนที่ 5 บันทึกของลูก  รูปรอยต่างๆของลูก ยังคงอยู่เหมือนที่เคยมีลูก แม้แต่ภายในห้องนอน ทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนเดิม บ้านไม้หลังเล็กๆใต้ถุนสูงแบบโบราณ ซุกตัวอยู่ใต้ร่มเงาไม้น้อยใหญ่หลังนี้ มีห้องนอนสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของลูก ที่เตียงนอนยังมีหนังสือเล่มโปรดวางไว้ที่หัวเตียง อาจมีแปลกออกไปบ้างคือสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ 4 เล่ม ที่ลูกเขียนทุกวันเกือบทุกเวลา เพราะลูกตั้งใจบันทึกกิจกรรมการดูแลตัวเองและบทธรรมะเอาไว้ ตลอดเวลาสี่เดือนของความป่วยไข้ แม้กระทั่งวันสุดท้าย โดยที่ไม่มีใครร้องขอให้ทำ
เงาศิลป์
การที่คนป่วยคนหนึ่ง ได้เลือกหนทางรักษาตัวเองด้วยตัวเอง น่าจะมีองค์ประกอบอยู่สองอย่างที่สำคัญ นั่นคือ หนึ่ง ความรู้ที่มีพร้อมในเรื่องวิธีการรักษาที่ตัวเองเลือก สอง ความไม่รู้ในวิธีการใดๆ แต่ต้องตัดสินใจเลือกในสิ่งที่คิดว่าสะดวกทั้งต่อตนเองและคนดูแล