Skip to main content

ตอนที่ 5 บันทึกของลูก 

รูปรอยต่างๆของลูก ยังคงอยู่เหมือนที่เคยมีลูก แม้แต่ภายในห้องนอน ทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนเดิม บ้านไม้หลังเล็กๆใต้ถุนสูงแบบโบราณ ซุกตัวอยู่ใต้ร่มเงาไม้น้อยใหญ่หลังนี้ มีห้องนอนสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของลูก ที่เตียงนอนยังมีหนังสือเล่มโปรดวางไว้ที่หัวเตียง อาจมีแปลกออกไปบ้างคือสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ 4 เล่ม ที่ลูกเขียนทุกวันเกือบทุกเวลา เพราะลูกตั้งใจบันทึกกิจกรรมการดูแลตัวเองและบทธรรมะเอาไว้ ตลอดเวลาสี่เดือนของความป่วยไข้ แม้กระทั่งวันสุดท้าย โดยที่ไม่มีใครร้องขอให้ทำ

\\/--break--\>

 

เรื่องการบันทึก แม่จำได้ว่าครั้งหนึ่ง แม่ พ่อ และพี่ปุ้ยอยากรู้ว่าลูกบันทึกอะไรเอาไว้จึงหวงนักหวงหนาไม่ยอมให้ใครแตะต้อง เมื่อลูกลงไปอาบแดดที่ข้างกุฏิ พ่อจึงแอบขึ้นมาเปิดอ่าน ลูกกลับขึ้นมาเห็นบางอย่างที่ผิดสังเกตจึงพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงดุๆว่า

"เปิดอ่านสมุดบันทึกของป่านใช่ไหม" เราสามคนก้มหน้าซ่อนยิ้ม ด้วยความละอายและบอกลูกว่าขอโทษนะลูก จากนั้นไม่มีใครกล้าแตะสมุดบันทึกของลูกอีกเลย

 

ลูกเริ่มเขียนบันทึกทุกวัน ตั้งแต่อยู่รับการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดที่สวนป่านาบุญ อาจเป็นเพราะพ่อซื้อสมุดบันทึกมาให้ โดยที่ไม่ได้คิดว่าลูกจะจริงจังในการบันทึก การบันทึกนี้ยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อมาอยู่ที่วัดป่าภูไม้ฮาว ลูกบันทึกทุกกิจกรรมของการดูแลตัวเองทั้งกายและจิต ยามที่หลวงพ่อมาเยี่ยมและให้ธรรมะ ลูกจะเอาบันทึกให้หลวงพ่ออ่าน ต่อมาหลวงพ่อเห็นว่าลูกชอบอ่านหนังสือธรรมะมาก ท่านจึงเอาหนังสือมาให้ลูกอ่าน แล้วบอกว่าช่วยสรุปให้หลวงพ่อฟังด้วยนะ

นั่นคือภาระกิจของลูกที่ทำอย่างเต็มใจ สมุดบันทึกของลูก จึงมีเพียงหลวงพ่อเท่านั้นที่ได้อ่าน

 

แต่เมื่อลูกจากไปแล้ว ลายมือที่ลูกทิ้งไว้ให้เราดู มีค่านับอนันต์ เพราะนับตั้งแต่วันออกจากโรงพยาบาลรามาฯ พ่อกับแม่คิดว่าต่อไปเราต้องดูแลลูกแบบไม่คลาดสายตา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ป้าน้าอาและคนที่รู้จักคุ้นเคยกับพ่อ แม่ ต่างพากันมาเยี่ยมลูกไม่ขาดสาย ทุกคนที่มาเยี่ยมลูกต่างก็ชมเชยว่า เป็นเรื่องแปลก และทึ่ง ที่ลูกไม่มีความเจ็บปวดเลย บางคนก็สงสาร มีทั้งลุ้นและให้กำลังใจตลอด ญาติ พี่น้องต่างก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแลลูก หรือมาเยี่ยมลูก และจากบันทึกของลูกทำให้แม่รู้ว่าเราเองก็อยู่ในการเฝ้าดูของลูกเช่นกัน ทุกคนที่เคลื่อนไหวทำกิจกรรมอยู่ใกล้ๆลูกจะบันทึกถึง ไม่เว้นแม้กระทั่งลุงยุทธที่ลูกผูกพันมาตั้งแต่จำความได้ ลูกยังเขียนบันทึกถึงลุงยุทธเพียงแค่ได้ยินพ่อเอ่ยถึง ซึ่งคงมาจากความห่วงใยที่รู้ว่าลุงยุทธป่วยเหมือนตัวเอง ทั้งได้เขียนจดหมายน้อยให้กำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้ายนั้นด้วย

 

หลายบทของบันทึกลูก บอกให้เรารู้ว่าสภาวะจิตของลูกกำลังก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ว อย่างเป็นรูปธรรม โดยที่มีการดูแลของคนรอบข้างเป็นแรงหนุน ภาพวันเก่าๆเหล่านั้นจึงค่อยๆทยอยเรียงแถวเข้ามาในห้วงสำนึกแม่

 

เราออกมาจากโรงพยาบาลรามาฯ ในเวลาตอนเช้า ถึงจังหวัดมุกดาหารตอนบ่าย แต่เราบอกเส้นทางไปส่วนป่านาบุญที่อำเภอดอนตาล ไม่ใช่โรงพยาบาลในเมือง รถพยาบาลเลี้ยวขวาเข้าไปจอดถึงที่พักสร้างความสงสัยให้กับพยาบาลเป็นอย่างมาก ถามเราว่าทำไมจึงพาลูกมาอยู่ที่นี่ ต่อมาพยาบาลนำตัวลูกลงจากรถพร้อมกับเข็นรถที่ลูกนอนอยู่ พวกเขาเข็นอย่างไม่ระมัดระวัง ไม่ค่อยนุ่มนวลเพราะทางไปที่พักเป็นพื้นขรุขระ แม่กลัวลูกจะเจ็บจึงบอกให้เข็นช้าๆได้ไหม แต่เราเห็นว่าลูกไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้เลย กลับนิ่งเงียบ แม่ต่างหากที่กลัวว่าลูกจะเจ็บ จากการกระทบกระเทือนในการเดินทาง

 

จากวันที่ 16 พฤษภาคม จนถึง วันที่ 6 มิถุนายน 2551 ขณะลูกพักรักษาตัวที่สวนป่านาบุญ พ่อได้บวชอุทิศบุญให้ลูก 3 วัน วันที่ 17 พ.ค. 2551 เป็นวันที่พ่อบวช ลูกอยู่กับแม่และน้านี ตกกลางคืนลูกพูดกับแม่ว่า "หนูคิดถึงพ่อ" พลางร้องไห้ แม่โอบกอดลูกและปลอบใจว่า "พรุ่งนี้คุณพ่อก็มาหาลูกแล้ว" ในวันรุ่งขึ้นลูกได้พบกับพ่อในร่างของนักบวชที่ห่มผ้าเหลือง เพียงเห็นพ่อเดินเข้ามาลูกก็พยุงตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับไหว้หลวงพ่อของลูก น้ำตาแห่งความสุขไหลออกมา เรารู้ว่าลูกอิ่มเอิบใจที่เห็นผ้าเหลืองของพ่ออย่างบอกไม่ถูก ทุกคนที่อยู่ด้วยกัน ก็สุดที่จะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ระยะที่พ่อบวช ลูกได้ทำบุญตักบาตรกับหลวงพ่อของลูกทุกวัน

 

แม่อ่านบันทึกของลูก และนี่คือบางวันที่สวนป่านาบุญ


3/6/51

ครบรอบสามเดือนในการทำธรรมชาติบำบัด


ตื่น
05.40 . ยกขาข้างละ 10 ครั้ง ยกแขนข้างละ 10 ครั้ง ถ่ายปกติ กินน้ำหนอนฯ กินน้ำนาโน กินยาทิเบต ชงยาญี่ปุ่น กินข้าวเหนียว (ข้าวเย็น) กับน้ำผึ้ง กินมังคุด กินแตงโม แตงไทย กินลวกผักบุ้ง ดอกฟักทอง

ดู CD, กินข้าว ต้มจืดผัก ตุ๋นข้าวโพด กินน้ำผึ้ง กินธัญพืช (วันนี้พ่อไปส่งน้านีที่สกลฯ อยู่กับแม่สองคน)

ถ่ายอีกหนึ่งครั้ง ก่อนกินผลไม้ ถ่ายปกติดี แม่คืนเงิน 200 บาท แปรงฟัน กินน้ำมะพร้าว กินทองม้วน 2 แท่ง อ่านหนังสือ กินน้ำผึ้งนิดหน่อย เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า กินมันต้ม ฉี่ กินยาทิเบต ชงยาญี่ปุ่น แม่กดลมปราณให้ นวดหัว นวดตัว นอนหลับ กินธัญพืช กินมังคุด 2 ลูก กินแตงโม กินข้าวเหนียว+ธัญพืช กินมันต้ม ย่ามาหา อ่านหนังสือ สระผม กินธัญพืช กินทองม้วน กินน้ำผึ้ง ย่ายืมเงิน 20 บาท กลับ ยายนีเป็นหนักไม่มีใครดูแล ตานงค์ไปกรุงเทพฯ กินข้าวปิ้งปลานาง ต้มจืดผัก ดู CD Barbie กินมังคุด ฟังเพลง กินน้ำผึ้งกับข้าวเหนียว กินยาทิเบต กินทองม้วน แม่นวดหน้า ขูดซาที่หน้า นอนหลับ กินน้ำผึ้ง กินมัน นั่งรถเข็นดูแม่ทำกับข้าว แช่เท้า อาบน้ำ นั่งรถเข็นประมาณ 30 นาที นานเกินไปจนเหนื่อย นอน แม่นวดให้ ตื่นขึ้นมากินมังคุด พ่อมา เป่าเค้ก ครบรอบสามเดือน ดีใจมาก กินลวกผักบุ้ง อ่อมแซ่บ ดอกฟักทอง ฟักทองอ่อน กินข้าว นึ่งปลานาง ผัดเจ แกงจืดเจ ต้มจืดผัก กินข้าวพร้อมกันสามคน กินซาลาเปาไส้ถั่วเหลืองถั่วแดง 1 อัน พายสับปะรด 1 อัน กินเค้ก(กินแต่ขนมปัง)ช้อนเล็ก(กินน้อยมาก) กินน้ำเขียว กินยาทิเบต นอนหลับ กินมังคุด ตอนดึก ฉี่ 2 ครั้ง ถ่ายเป็นก้อนยาวปกติ 1 ครั้ง ตอน 02.25 .

 

วันนี้เป็นวันที่ประทับใจที่สุด ถึงแม้จะมีแค่เราสามคน และคำอวยพรจากพ่อกับแม่ (ปุ้ยส่งข้อความมาอวยพร) ทำให้มีกำลังที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ต่อไป จะไม่ท้อแท้

 

กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

เพราะถ้ากายป่วยแล้ว ใจป่วยไปด้วยจะทำให้เราเกิด ความโลภ ความโกรธ และความหลง พ่อบอกว่าโรคของฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องเวรกรรมแต่เป็นอุบัติเหตุต่างหาก แต่อันที่จริงถ้าไม่ได้ไปกรุงเทพฯ ก็คงไม่รู้จักหมอทิเบต ไม่ได้รู้จักยาทิเบต ไม่ได้รู้จักลุงเผือก ไม่รู้จักคนที่ช่วยสวดมนต์ ให้เราเหมือนกัน การไปกรุงเทพฯครั้งนี้ทำให้เรารู้จักสิ่งต่างๆมากมาย สุข-ทุกข์ มาคู่กัน (หมอสุธี ส่งสมุดวาดรูป สีน้ำ ปากกามาให้)

 

ป่าน

วิมุตตา กุณวงษ์

นักสู้ที่ไม่เคยท้อแท้ต่อชะตากรรมชีวิต เพราะมีกำลังใจและอนาคตรออยู่ข้างหน้า...

 

ขอขอบคุณ คุณหมอสุธีเป็นอย่างมากที่มอบสมุดวาดรูปเล่มนี้ให้ป่าน

มันทำให้ป่านได้เขียนความรู้สึกดีๆ วาดรูปดีๆ

และมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป

 

นี่คือบันทึกที่ทำให้แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่เด็กอ่อนแอ ไม่ใช่คนป่วยที่น่าสงสาร ลูกดูแลอารมณ์ตัวเองได้ แม้บางครั้งในตอนนั้น ลูกยังมีอาการหงุดหงิดบ้าง แต่มันก็สงบลงด้วยปัญญาของลูก

 

บางตอนของเรื่องอารมณ์ ในระยะแรกๆที่ออกมารักษาตัวที่สวนป่านาบุญ

 

ด้านอารมณ์

วันนี้อารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด โมโห ไม่พูด รำคาญทุกคน

ไม่สามารถระงับความโกรธได้ แสดงว่าใจป่วยแล้ว เพราะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ใจป่วย

จะทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่เสมอ

จน แปลว่า ไม่มี มิใช่ทุกข์

รวย แปลว่า มีเยอะ มิใช่สุข

ชนะ แปลว่า ไม่แพ้ มิใช่สุข

เจริญ แปลว่า มีมากขึ้น มิใช่สุข

เติบโต แปลว่า ยิ่งใหญ่ขึ้น มิใช่สุข

เก่ง แปลว่า รู้มาก มิใช่สุข

 

ความสุขที่แท้จริง คือ ความไม่มีทุกข์

ความไม่มีทุกข์ที่แท้จริง คือ ความอิสระ

 

ความท้อแท้เบื่อหน่าย เป็นคนตายหมดอายุ

ความสุขไม่ได้อยู่ที่ความปรารถนา

การรู้จักทำใจ เมื่อไม่สมปรารถนาต่างหาก เป็นความสุข

 

มีบางวันที่ลูกยังคิดถึงโรงเรียนของลูก บอกกับแม่ว่า"ป่านอยากเรียนหนังสือ" พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
แม่กอดลูกไว้ ปลอบใจลูกว่า "เอาไว้ให้ลูกหายก่อนแล้วค่อยเรียนนะ ลูกเรียนเก่งอยู่แล้วยังไงก็เรียนทันเพื่อนแน่นอน"

น้ำตาของแม่ไหลพร่าง ต้องรีบเปือนหน้าซ่อนมันไว้ไม่ให้ลูกเห็น

"แล้วแม่จะซื้อหนังสือ ม. 1 มาให้ลูกอ่านนะลูกจะได้เรียนทันเพื่อนๆ"

 

ลูกแม่ กว่าที่แม่จะกล้าเปิดบันทึกของลูกออกอ่านได้จนจบ แม่ต้องใช้ความเข้มแข็งอย่างยิ่งยวด ส่วนพ่อนั้นเล่า แค่เห็นสมุดบันทึกของลูกวางอยู่ตรงหน้า น้ำตาก็ร่วงพรูแล้ว พ่อร้องไห้กับเรื่องราวของลูกบ่อยครั้งและง่ายดายยิ่งกว่าแม่ คงจะจริงของพ่อ ที่บอกกับใครๆว่า ลูกคนนี้รักผมมาก ผมก็รักเขามาก เขามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนผม แต่สำหรับแม่ ความรักที่แม่มี ใครจะรู้ดีไปกว่าแม่ จริงไหม...ลูกแม่

 

"ป่านจะได้ไปอยู่กับหลวงพ่อเมื่อไหร่จ๊ะแม่" ลูกเฝ้าถามแม่ แม่ยังไม่กล้าตอบ เพราะว่าร่างกายของลูกยังอ่อนแอมาก แต่ด้วยความเข้าใจในแรงปรารถนาของลูก วันที่ 5 มิถุนายน พ่อจึงได้เดินทางไปวัดป่าภูไม้ฮาว เพื่อดูที่พัก ได้ไปกราบหลวงพ่อ ท่านบอกว่ามีกุฏิว่างด้านทิศตะวันตกอยู่ติดหน้าผา มีความเป็นสัดส่วนสะดวกสบายตามสมควร

 

เราจึงเตรียมพาลูกขึ้นไปอยู่วัด ในวันที่ 6 มิถุนายน นั้นเอง

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า