Skip to main content

 

อาจเป็นเพราะว่าแม่อยู่กับลูกตลอดเวลา จนกระทั่งคิดว่าความสงบนิ่งคืออาการปกติที่ลูกเป็นอยู่ แน่ล่ะ นิสัยของลูกไม่เหมือนเด็กอื่นๆมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว ลูกเป็นเด็กที่มีสมาธิมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ บางครั้งแม่เคยเห็นลูกนั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้อยู่คนเดียว ทั้งแต่งตัวและหวีผมให้มันครั้งละนานๆ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง โดยไม่เบื่อหน่าย ก็นั่นคือกิจกรรมของเด็ก ภายในใจอาจมีจินตนาการมากมาย แต่ขณะที่เป็นคนป่วย การใช้เวลานิ่งเงียบอยู่กับตัวเองของลูก คือการเขียนบันทึกและอ่านหนังสือ ความนิ่งเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกดูคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่แม้กระทั่งพ่อกับแม่ก็ยังเกรงใจ ไม่กล้ารบกวน

 

สิ่งที่ลูกเป็น สิ่งที่ลูกทำ อาจไม่น่าแปลกใจนัก เพราะเราต่างก็รู้ว่าลูกพยายามสงบนิ่งอยู่กับการทำสมาธิตามคำสอนของหลวงพ่อ แต่มีบางอย่างที่แม่อ่านพบในบันทึก และคิดว่าลูกเองก็คงประหลาดใจเช่นกัน ว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว และในเวลาต่อมา ลูกสามารถใช้จิตดวงนั้นให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการเยียวยาตนเองตามที่หลวงพ่อสอนไว้

 

การเฝ้าดูจิต จนกระทั่งจิตเฝ้าดูกายทำงานอย่างต่อเนื่องตามธรรมชาติของมัน น่าจะเป็นอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกทิ้งไว้ให้เรารู้คือ การบันทึกในรายละเอียดการพิจารณากายแต่ละขณะ หลังจากที่มีการพอกยาไปแล้ว

 

วันที่ 4 สิงหาคม

บันทึกเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ มีเรื่องราวซ้ำเดิม คือ อาหารการกิน กินยา และอาบน้ำสมุนไพร มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นคือ ทำยาพอก สูตรของแม่ชีถนอมศรี


 

10.45 . บูชาพระรัตนตรัย ก่อนจะเริ่มทำยา (ยาพอก) แม่ชีถนอมศรี บอกว่าสรรพคุณยาทำให้เจ้ากรรมนายเวรกลัว แล้วออกไป (สรรพคุณนี้เป็นความลับระหว่างลูกกับแม่ชี)

11.56 . พอกท้อง พอกหัว

12.30 . พอกท้อง พอกหัวเสร็จ

เย็นทั่วท้องและหัว

หายใจสบายขึ้น

เย็นไปถึงตับ

เย็นไปถึงสมอง

รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดูดที่ตับ

โล่ง เบาสบาย

12.41 . กินน้ำต้มสมุนไพร หญ้าคมปาว

ตอนพอกยา ตั้งจิตอธิษฐานเปิดร่างกาย อุทิศบุญ และอโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร

กำหนดลมหายใจเข้าออก ท่อง พุท-โธ

 

ในบันทึกของวันนี้ นอกเหนือจากกินอาหาร กินยา นวด อาบแดด ยังมีการบันทึกว่า เปิดร่างกายให้หมอเทวดามารักษา อุทิศบุญ และภาวนาพุท-โธ ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมหลัก ที่ลูกทำอยู่ตลอดเวลา

 

16.24 . พอกท้อง และหัว ด้วยรากพรหมราชา

แผ่เมตตาจิต

กำหนดลมหายใจเข้า-ออก

ท่อง พุท-โธ

16.53 . พอกท้องและหัวเสร็จ

หายใจโล่ง สบาย

เย็นหัวและท้อง

ขาสั่น

รู้สึกมีอะไรมาดูดที่ท้อง

สมองปลอดโปร่ง

 

จากนั้นเป็นบันทึกถึงกิจกรรมเดิมๆ รวมทั้งสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเปิดร่างกาย ภาวนาพุท-โธ

 

วันที่ 5 สิงหาคม

ลูกตื่นมาทำวัตรเช้า ตั้งแต่ 05.40 . และพอกท้องพอกหัว เวลา 06.33 . เสร็จในเวลา 06.51 .

ในบันทึกเริ่มมีความละเอียดของอาการทางกาย ที่เกิดจากการพอกยามากขึ้น

 

06.51 . พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นท้อง และหัว

เย็นไปถึงกระดูก

รู้สึกมีอะไรมาดูดที่ท้อง

หายใจโล่งสบายท้อง

เย็นทั่วหัว

เย็นไปถึงหน้าผาก

โล่ง เบาสมอง

 

ช่วงเที่ยง มีการพอกยาที่ท้องและหัวเหมือนเดิม ในบันทึก มีรายละเอียดของอาการทางกายเพิ่มมากขึ้น

 

12.50 . พอกหัวและท้องเสร็จ

เย็นทั่วหัวและท้อง

เย็นถึงสะดือ

เย็นถึงกระดูกซี่โครง

เบาท้อง รู้สึกโล่ง

หายใจสะดวกขึ้น

รู้สึกมีอะไรมาดูดที่ท้อง

เบาหัว โล่งสมอง

เย็นถึงหน้าผาก

เย็นถึงตา

เบา สบายทั้งตัว

 

อีกทั้งอาการของร่างกายภายนอก ลูกยังเขียนว่า มือทั้งสองข้าง สีแดงลดลง เป็นสีปกติมากขึ้น

บันทึกในวันต่อๆมา แสดงให้เห็นถึงการทำงานของจิตที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แม่ดูจากบันทึกที่ว่าอวัยวะต่างๆตอบสนองการพอกยาอย่างไรบ้าง น่าจะหมายถึงว่า ในทุกขณะจิต ลูกได้เฝ้าดูการทำงานของมันตลอดเวลา

 

วันที่ 6 สิงหาคม

17.10 . พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นทั่วท้องและหัว

หายใจสะดวกมากขึ้น

โล่ง เบาท้อง

เย็นที่ตับมากขึ้น

ดูดทั่วท้อง

ดูดถึงปอด

ดูดถึงคอ

เย็นถึงต้นขา

เย็นถึงกระดูกสันหลัง

เย็นถึงกระดูกซี่โครง

โล่งเบาหัวสมอง

เย็นถึงหน้าผาก

เย็นถึงตา

เย็นถึงจมูก

เบา สบายกายขึ้นมามาก

รู้สึกว่าก้อนจะอ่อน

 

เป็นไปไม่ได้เลย ที่แม่จะมองข้ามการทำงานของจิตลูกในแต่ละวัน นั่นเป็นเพราะว่า บันทึกในแต่ละวันต่อจากนี้ คือความละเอียดอ่อน และวันเวลาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเป็นนักบวชของลูก กับการเยียวยาความป่วยไข้ของตนเอง

 

วันที่ 7 สิงหาคม

07.00. พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นทั่วท้อง

เบา โล่งท้อง

หายใจสะดวก โล่ง

เปล่งเสียงได้ดีขึ้น

เย็นถึงกระดูกสันหลัง

เย็นถึงกระดูกซี่โครง

เย็นถึงต้นขา

เย็นถึงต้นแขน เล็กน้อย

เย็นถึงตับ มากขึ้น

ดูดถึงปอด

ดูดถึงคอแรงขึ้น

ดูดถึงตับแรงขึ้น

รู้สึกว่าท้องอ่อนมากขึ้น

เบา โล่งหัวสมอง

เย็นถึงหน้าผาก

เย็นถึงตา

เย็นถึงหู

เย็นถึงริมฝีปาก

เย็นที่กลางกระหม่อมมากขึ้น

โล่ง เบาสบายตัว

 

ลูกแม่ บันทึกแต่ละวัน แม่เห็นถึงการดูกายที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ หลังการพอกยา ด้านภายนอกร่างกาย ลูกบอกว่าสีแดงที่ฝ่ามือลดลง เสียงที่พูดมีพลังมากขึ้น และการหายใจก็ช้าลง

 

วันที่ 8 สิงหาคม

13.28 . พอกท้องและหัวเสร็จ

เย็นทั่วหัวและท้องมากขึ้น

เย็นลึกลงไปทั่วหัว และท้องมากขึ้น

เบา โล่งท้องมากขึ้น

เย็นทั่วท้องมากขึ้น

เย็นถึงตับมากขึ้น

เย็นถึงปอดมากขึ้น

เย็นถึงคอมากขึ้น

เย็นถึงต้นขามากขึ้น

เย็นถึงต้นแขนมากขึ้น

เย็นถึงลำคอมากขึ้น

เย็นถึงต้นคอมากขึ้น

ตับทำงานดีขึ้น

ปอดทำงานดีขึ้น

ปอดขยายใหญ่ขึ้น

หายใจสะดวกขึ้น

เริ่มหายใจปกติ ไม่หายใจเร็ว

ดูดถึงตับมากขึ้น

ดูดถึงท้องแรงขึ้น

ดูดถึงปอดแรงขึ้น

ดูดถึงคอแรงขึ้น

โล่ง เบาสมองมากขึ้น

เย็นทั่วหัวสมองมากขึ้น

เย็นถึงตามากขึ้น

เย็นถึงหน้าผากมากขึ้น

เย็นถึงจมูกมากขึ้น

เย็นถึงริมฝีปากมากขึ้น

เย็นถึงปากมากขึ้น

เย็นลึกไปถึงรูหูมากขึ้น

เย็นถึงหูมากขึ้น

เย็นถึงแก้มมากขึ้น

ดูดที่หัวแรงขึ้น

เย็นถึงกลางกระหม่อมมากขึ้น

ดูดถึงตา

เบา สบายกายมากขึ้น

มีกำลังมากขึ้น

มีพลังแขนมากขึ้น

มีพลังขามากขึ้น

มีจุดแดงที่มือลดลง

ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

ทุกระบบเริ่มทำงานได้ดี

 

ทุกๆวันมีการพอกยา 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งมีพัฒนาการของร่างกายที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการเฝ้าสังเกตโดยใช้สมาธิจิต ในบันทึกมีเรื่องราวเดิมๆ และชื่อคนที่มาเยี่ยมทุกคน

 

วันที่ 9 สิงหาคม

ลูกพอกยา 3 ครั้ง เช้าตรู่ เที่ยง และเย็น วันนี้ลูกได้ไปสวดมนต์ นั่งสมาธิที่ถ้ำด้วย

18.47 . พี่เลย์อุ้มไปที่ถ้ำ

18.56 . เริ่มสวดมนต์ ทำวัตรเย็น ออกเสียงได้ดี นั่งสวดมนต์

19.10 . นั่งสมาธิ ตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศบุญ อโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตา กำหนดลมหายใจเข้า-ออก ท่อง พุท-โธ

19.48 . นั่งสมาธิเสร็จ (ใช้เวลา 38 นาที)

20.01 . พี่เลย์อุ้มกลับมากุฎิ

20.18 . พ่อกลับมา ได้ของมาเยอะ พ่อบอกว่า ยอดรัก สลักใจ เสียแล้ว เสียอย่างสงบ

 

บันทึกวันต่อๆมา บอกถึงอาการของร่างกายที่ปรับสภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่จิตเฝ้าสังเกตอาการได้ลึก กระทั่งเห็นก้อนในตับอ่อนที่นิ่มมากขึ้นและเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ในทุกวัน

 

เย็นถึง ตับ ปอด คอ ก้อน(เนื้อ)

เย็นถึง ต้นคอ ลำคอ สะบัก

เย็นถึง แขน ต้นแขน ศอก

เย็นถึง มือ ฝ่ามือ นิ้วมือ

เย็นถึง ขา ต้นขา เท้า

เย็นถึง ฝ่าเท้า นิ้วเท้า ก้น

เย็นถึง ก้นกบ กระดูกสันหลัง

เย็นถึง หลัง ซี่โครง ไหล่

เย็นถึง กระดูกแขน

เย็นมากขึ้น เย็นลึกขึ้น

ดูดถึง ตับ ปอด คอ ก้อน(เนื้อ)

ดูดถึง ต้นคอ ลำคอ สะบัก

ดูดถึง แขน ต้นแขน ศอก

ดูดถึง มือ ฝ่ามือ นิ้วมือ

ดูดถึง ขา ต้นขา เท้า

ดูดถึง ฝ่าเท้า นิ้วเท้า ก้นกบ

ดูดถึง ก้น กระดูกซี่โครง

ดูดถึง หลัง สันหลัง ไหล่

ดูดถึง กระดูกแขน

ดูดแรงขึ้น ดูดลึกขึ้น

ตับทำงานดีขึ้น

ปอดทำงานดีขึ้น

ปอดขยายใหญ่ขึ้น

หายใจสะดวกขึ้น

หายใจเป็นจังหวะ

หายใจลึกขึ้น

เปล่งเสียงได้ชัด

ตับ ก้อน ก้อนนิ่มขึ้น

ก้อนเลื่อนลงต่ำ

โล่ง เบาสมอง

 

เย็นถึง กระหม่อม หน้าผาก ตา

เย็นถึง จมูก รูจมูก ปาก ริมฝีปาก

เย็นถึง แก้ม คาง ท้ายทอย

เย็นถึง หู รูหู กระโหลก หลอดลม

เย็นมากขึ้น เย็นลึกขึ้น

 

ดูดถึง กระหม่อม หน้าผาก ตา

ดูดถึง จมูก รูจมูก ปาก ริมฝีปาก

ดูดถึง แก้ม คาง ท้ายทอย

ดูดถึง หู รูหู กระโหลก หลอดลม

ดูดมากขึ้น ดูดลึกขึ้น

 

โล่ง เบาสบาย

ทุกระบบเริ่มทำงานดีขึ้น

ผายลมบ่อยขึ้น

ฉี่ ถ่ายปกติ

ถ่ายง่าย เป็นก้อน

อาหารถูกดูด นำไปใช้มากขึ้น

 

มือ เท้า ศอก เข่า อุ่นขึ้น

มือมีจุดแดงลดลง

มีกล้ามเนื้อ

มีเนื้อ มีหนัง

มีกำลังมากขึ้น

มีกำลังแขน กำลังขามากขึ้น

อารมณ์ดี กินได้

ไม่เหนื่อย โล่ง เบาสบาย มีกำลัง

 

วันที่ 16 สิงหาคม

พ่ออุ้มลูกไปที่ถ้ำ ระหว่างที่รอหลวงพ่อและคนอื่นๆ ลูกยังต้องนอนรอ และลุกนั่งเมื่อการสวดมนต์เริ่มขึ้น และลูกยังนั่งสมาธิ ใช้เวลานาน 30 นาที

ลูกจบบันทึกของคืนนั้นว่า

พระจันทร์เต็มดวง สวยมาก

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ตอนที่ 3 กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง "แม่ ป่านเบื่อกินยาจังเลย"ลูกบ่นเบาๆ ขณะที่หยิบยาออกมากินตามปกติทุกวันอย่างมีวินัย เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ที่ลูกต้องเข้าออกโรงพยาบาลแล้วได้ยามากินระงับอาการปวดท้อง โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องอื่น
เงาศิลป์
ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน ..............
เงาศิลป์
    กองฟอนถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็วภายในเช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางญาติมิตรที่รักใคร่ผูกพัน ตกบ่าย ณ ลานหินริมหน้าผา เปลวเพลิงลุกโชน ลามเลียกองไม้และร่างกายผ่ายผอมนั้นให้หม่นไหม้กลายเป็นผงธุลี พร้อมๆกับน้ำตาที่หยาดลงบนร่องแก้มของใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เงาศิลป์
ใครที่เคยสูญเสียสิ่งรัก คงจะรู้จักอาการปวดแสบปวดร้อนคล้ายถูกมือยักษ์ควักใจหัวใจออกมาบี้เล่น อย่างไม่ปราณีปราศรัยได้ดียิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านั้นค่อยๆจางหายสวนทางกับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เราเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์ชีวิต แน่ล่ะ ทุกคนจะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว อย่างไม่เต็มใจ เสมอมา   ความทุกข์ จากความพลัดพรากในสิ่งที่รัก จึงเสียดแทงหัวใจเป็นที่สุด
เงาศิลป์
วันจากไปนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้ใครหลายคนมาเจอกัน วันเช่นนั้น มักจะมีม่านแห่งความเศร้าคลี่คลุมไปทั่ว บางคนที่ตั้งสติได้ อาจย้อนถามใจตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นผู้ไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้น หมายถึงอะไรเล่าหมายถึงความเศร้าโศกเสียใจของใครบ้างหรือเปล่าหรือหมายถึง ความชื่นชมยินดีในวิถีแห่งการตาย พร้อมคำว่า....สาธุ
เงาศิลป์
ทุกอณูเนื้อบนผืนโลก เราล้วนต่างเหยียบย่ำซ้ำรอย น่าแปลก ที่ไม่มีใครจำได้ว่าได้ย่ำมาแล้วกี่ครั้งกี่หน ฉันหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำซากในปัจจุบันชาติ หรืออาจลากพาย้อนกลับไปหลายอสงไขยชาติ มีบ้างไหมที่พบว่าบางพื้นถิ่นเรารู้สึกคุ้นชินเหมือนเคยอยู่ มีบ้างไหม กับบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ชิดใกล้กันมาก่อน ถ้าไม่แข็งขืนปฏิเสธการมีอยู่ของความทรงจำซ้ำซาก ที่ไม่เคยชัดเจนแต่ทิ้งเค้าลางเอาไว้อย่างแนบเนียน ฉันว่าใครหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมฉัน และทิ้งคำจำนรรเอาไว้บ้างนั้น เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่เช่นนั้นหนทางโคจรจะวกวนให้มาเจอกันได้อย่างไร
เงาศิลป์
เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังกังวานมาจากในป่า เป็นเสียงที่ดุกร้าวบอกเหตุบางอย่างว่าเร่งด่วน เจ้าหลาม...แม่หมา เจ้าเสือ...พี่หมารีบหันหลังกระโจนพรวดไปทางเสียงนั้น เจ้าตัวเล็กอีกสามตัววิ่งตามกันไปเป็นพรวน ฉันชะเง้อตามดู เห็นเจ้าด๊อกกี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าบางอย่างราวกับจะเปิดฉากต่อสู้ และเมื่อทุกตัวไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าตัวดีกลับวิ่งมาทางฉัน ในปากมีอะไรคาบอยู่ ฉันจึงเรียกให้หยุด มันทำตามแต่โดยดี พลางคายสิ่งนั้นลงบนพื้นดิน
เงาศิลป์
ค่ำคืนหนึ่ง... เม็ดฝนทิ้งรอยให้แกะรอยเช้าตรู่ ยังไม่ทันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันรีบก้มหน้าดูพื้นดิน เห็นรูพรุนเล็กๆ ที่ฟ้าทิ้งรอยไว้ให้อย่างมีเงื่อนงำ ไฉนไม่ยอมทำลายซากของฝุ่นผงให้หมดสิ้น ทำแบบนี้ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าฉันปวดร้าวหัวใจ ฝนเอ๋ย จนสาย อาการกระหายใคร่จะให้หยาดฝนริน ยังไม่ยอมจางหายไปจากใจ เทียวเดินเข้าเดินออกใต้ถุนบ้านเงยหน้าดูท้องฟ้า พลางนึกถึงอดีตที่เคยถูกทักถาม ยามที่ทำงานเร่ร่อนตามหมู่บ้าน บ้านแล้วบ้านเล่า ซอกซอนไปเรื่อยๆ ยุคสมัยที่อีสานยังรุ่มรวยไปด้วยถนนสายฝุ่นสีทองแดง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านย่านป่าลึก มักจะเอ่ยปากถามเป็นคำแรกว่า "ที่บ้านฝนตกบ่หล่า" ตอนนั้นตอบไปเรื่อยๆ…
เงาศิลป์
ไอชื้นของลมฝนที่โชยผ่านผิวมาจากที่ไกลแสนไกล ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่น มันคงเดินทางมาไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็นแม้แต่เค้ารางของม่านฝนที่จะมาถึง แต่เพียงแค่นี้ก็ช่วยขับไล่ความร้อนอ้าวให้หนีห่าง พร้อมมอบความหวังใหม่ให้แก่ชีวิต ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ให้เริงรำได้อีกครั้ง ดูนั่นสิ..สีน้ำตาลจากราวป่ารอบๆ ไร่ เริ่มระบายสีเขียวอ่อนลงไปแทน อีกไม่นานดอกไม้สีเหลือง สีขาว กลิ่นกรุ่นก็จะผลิแย้มกำจายกลิ่นไปทั่วป่า
เงาศิลป์
ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่คละเคล้าก่อตัวกันเป็นโลกและชีวิต มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ อย่างปกติ..... ลมหนาวพัดกรรโชกไร้ทิศทาง พัดพาเอาควันไฟจากกองฟืนใต้ถุนกระท่อมเล็ดลอดผ่านช่องว่างแผ่นกระดานปูพื้นทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูกอยู่เป็นระยะ
เงาศิลป์
ฉันมีเรื่องราวจะแลกเปลี่ยน ลองฟังดูนะ ตาเก้กับการลงทุน “คนอย่างผม ถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มหมดตัว” ตาเก้พูดเสียงต่ำ สีหน้ายิ้มเหยียดหน่อยๆ บ่งถึงความสาสมใจในชีวิต ขณะย่ำเดินไปบนพื้นดินทรายที่เพิ่งถูกผานไถพลิกพรวนให้กอหญ้าคว่ำหน้าลง แกกำลังจะลงทุนอีกรอบบนผืนดินนี้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของโรงงานน้ำตาลฟันธงแล้วว่า “ดินเสื่อมสภาพหมดแล้ว”
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า