จากลิงค์และพาดหัวข่าวต่อไปนี้
"ก๊วนพิทักษ์เจียม" รวมตัวค้านคำสั่งไล่สมศักดิ์ -จุดเทียนประกาศศักดา อ.ข้าใครอย่าแตะ
http://politic.tnews.co.th/content/130982/
มีคำยืนยันจากนักข่าวมติชนว่าเนื้อข่าวนั้นเหมือนกับเนื้อข่าวของมติชน แต่พาดหัวข่าวนั้น คนละเรื่อง คนละแนวทางเลย
แม้จะไม่ค่อยหวังอะไรอยู่แล้วจากสื่อ "เลือกข้าง"
แต่ผมเห็นว่าน่าผิดหวังและเศร้าใจสำหรับการทำงานของสื่อมวลชนที่ไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย
กรณีนี้ได้ข่าวชัดเจนจากผู้สื่อข่าวมติชนว่าเนื้อข่าวนั้นใช้วิธีคัดลอกข่าวจากมติชนทั้งหมด แต่หัวข่าวนั้น พาดหัวราวกับว่าบรรดาคณาจารย์ ปัญญาชนและนักศึกษาเป็น "ก๊วน" ที่ไปก่อกวน ปิดถนนเป็นเดือนๆ และทั้งๆ ที่การจุดเทียน ก็เป็นการเคลื่อนไหวอย่างสงบสันติอหิงสากว่าพวกป๊อปคอร์นเป็นไหนๆ หรือดีกว่าพระที่ต้องมีคนเดินถือปืนไปถวายสังฆทาน เด็กๆ นักศึกษาก็ยังถูกกระแนะกระแหนว่าเป็นการประกาศศักดา
การพาดหัวข่าวแบบนี้ ชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่มืออาชีพและสะท้อนให้เห็นถึงความไร้จรรยาบรรณอย่างสิ้นเชิง
ขอเรียนว่าบรรดานักวิชาการทั้งหลายและเพื่อนฝูงที่ทำงานวิชาการ ตลอดจนปัญญาชนและนักศึกษาที่ร่วมลงชื่อ ไม่ใช่คนไม่มีที่ทางหรือจุดยืนทางสังคม จำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยกับ อ. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และมีวิวาทะกันมาไม่มากก็น้อย
แต่ในทางหลักการคุ้มครองเสรีภาพทางวิชาการ ที่เป็นหลักสำคัญของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นสูงในโลก ต่างถือว่าเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่จะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลง ก้าวหน้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่มีวิกฤตการณ์ทางสังคมอย่างประเทศไทย
การกลั่นแกล้งไม่ให้ลากิจ ลาออก หรือลาเพิ่มพูนความรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็น "สิทธิ" ของนักวิชาการในสถานศึกษาชั้นสูง การไม่ให้ลาออกแล้วเอาโทษทางวินัยมาใช้บังคับกันอย่างแข็งขันนั้น ไม่ถูกต้องและเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราออกมาลงชื่อและต่อต้านกัน เป็นเหตุผลแรก
เหตุผลที่สองก็คือ กระบวนการยุติธรรมขณะนี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติ หลังจากกล่าวหากรณี 112 ดร. สมศักดิ์ไม่ได้ลี้หนีหน้าไปไหน จนกระทั่งเกิดรัฐประหาร และมีการเรียกบุคคลเข้ารายงานตัว คนที่โดนคดี 112 หลังรัฐประหาร ก็ต้องขึ้นศาลทหารที่ไม่มีโอกาสอุทธรณ์ หรือเข้าสู่ฎีกาได้เลย
ผมเห็นว่าการเลือกออกจากประเทศไทยก็เป็นทางเลือกหนึ่ง และเป็นเรื่องที่ต้องคิด
การใช้ศาลทหารกับพลเรือน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ยามศึกสงครามจะมีเหตุผลอะไรอีกที่จะอธิบายให้ชาวโลกเข้าใจได้
รัฐบาลเองก็ต้องรู้จักขบคิด ว่าทำอย่างไรจะทำให้สังคมโลกไม่ประณามหยามเหยียดสังคมไทยว่าล้าหลัง และรู้จักสักการะสถาบันอันสำคัญอย่างเหมาะสมและยืนยาว
ในสถานการณ์ปกติ ที่ศาลยุติธรรมยังเป็นกระบวนการปกติ ผมเขื่ออย่างสุจริตใจว่า ดร. สมศักดิ์คงไม่หนีไปจากสังคมไทย
ทั้งสองเหตุผลนี้ คงเพียงพอต่อการที่นักวิชาการ ปัญญาชน นักศึกษา จะออกมาเรียกร้องให้ผู้บริหารทุกมหาวิทยาลัย ทุกสถาบันการศึกษาได้ทบทวนว่า มหาวิทยาลัยมีไว้เพื่ออะไร
ในยามวิกฤต ย่อมไม่มีอะไรีดีไปกว่าการได้ศึกษา พูดคุย วิเคราะห์ หาทางแก้ปัญหากันอย่างรอบด้าน เพื่อหาทางคลี่คลาย ไม่ใช่การกดขี่ ห้ามแสดงความเห็นกันอย่างที่เป็นอยู่
สื่อประเภทนี้ก็ควรต้องตักน้ำใส่กระโหลก ว่าทำอะไรให้กับวิกฤตสังคม และมีส่วนสร้างความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้นหรือไม่
แทนที่จะให้สติ กลับสาดสี สาดโคลนกันอย่างไม่หยุดยั้ง
หรือที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ ยังเสียชีวิตบาดเจ็บล้มตายไม่พอกันอีก